ใครอ่านอะไร อ่านทำไม อ่านแล้วได้อะไร

การอ่าน ถือเป็นกิจกรรมทางสังคมอย่างหนึ่ง และมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการอ่านวรรณกรรม ผู้เขียนวรรณกรรมส่วนใหญ่ก็พยายามสอดแทรกแนวคิด คตินิยม ความเชื่อ ค่านิยม ขนมธรรมเนียม ประเพณีให้เข้าไปอยู่ในงานเขียน หากมองโดยผิวเผิน เราอาจจะเห็นว่าคนที่ชอบอ่านหนังสือ หรือบรรดาคนที่เรียกว่าหนอนหนังสือนั้น เป็นคนที่ชอบปลีกตัวออกจากสังคมอยู่คนเดียว แต่จริง ๆ แล้วมีคุณลักษณะหลายประการที่ทำให้เชื่อว่า แท้จริงแล้วคนที่ชอบอ่านหนังสือ เป็นคนของสังคมมากกว่าคนที่ไม่อ่านหนังสือเสียอีก ยกตัวอย่างเช่น 1) การมองว่าการอ่านเป็นการรับสาร กระบวนการสติปัญญา (cognitive process) ที่ใช้ในการประมวลข้อมูลนั้นเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับการสนทนา หรือ 2) อาจมองได้ว่า กระบวนการคิดที่ตอบสนองกับข้อความในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับ ต่อต้านกับสิ่งที่อ่าน หรือการสร้างจินตนาการ ล้วนแล้วแต่เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางสังคม เช่น การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากสิ่งที่ได้อ่าน การนำจินตนาการที่ได้ไปพัฒนาต่อเป็นงานอื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าการอ่านทำให้มีมุมมองต่อโลกกว้างขึ้น
หน่วยงานอย่าง National Endowment for the Arts (NEA) ของอเมริกา ได้พยายามติดตามพฤติกรรมการอ่านวรรณกรรมของอเมริกันชนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ทำการสำรวจไปเมื่อปีที่แล้ว (2008) และรายงานผลการสำรวจชี้ ว่า ในช่วงนี้เป็นช่วงขาขึ้นของการอ่านวรรณกรรมในอเมริกา เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีที่อัตราการอ่านวรรณกรรมนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้น ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 50.2 สูงกว่าปีที่แล้วที่ลงไปอยู่ที่ 46.7 เปอร์เซ็นต์ ทำเอานักวิชาการด้านการศึกษา ภาษา และวัฒนธรรม รวมถึงบรรดาบรรณารักษ์ต่างออกมาแสดงความตื่นเต้นกันใหญ่ มีการคาดการณ์ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์นี้ไปต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพ อิทธิพลของของสื่อ (ยกตัวอย่างเช่น ช่วง Book Club ของ Oprah Winfrey) บ้างก็ว่าในช่วงหลังมีหนังสือที่ได้รับความนิยมอยู่หลายเล่ม หลายคนก็คิดว่าสาเหตุหลัก ๆ น่าจะมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำให้คนหันกลับมาอ่านหนังสือ แทนการออกไปจับจ่ายใช้สอย บ้างก็ว่าเป็นอิทธิพลของอินเตอร์เน็ต (ปล.สื่อมวลชนและอินเตอร์เน็ตถือเป็นดาบสองคม งานวิจัยหลายชิ้นพยายามหาผลกระทบของสื่อและอินเตอร์เน็ตที่มีต่อการอ่าน หนังสือจากหลายมุมมอง แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างเด็ดขาด)
พฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนไทย
ในบ้านเราก็มีการสำรวจเช่นกัน ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติได้เปิดเผยตัวเลขข้อมูลการอ่านหนังสือของประชากรปี 2551 พบว่า คนไทย (อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 66.3 อ่านหนังสือ มีการตั้งข้อสังเกตว่าตัวเลข 66.3 เปอร์เซ็นต์นี้ คงไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเลขของอเมริกาที่กล่าวมาข้างต้นได้ เนื่องจากการสำรวจของไทยนั้นครอบคลุมการอ่านทุกประเภททั้งที่เป็นการอ่าน เพื่อการเรียน หรืออ่านเพื่อความเพลิดเพลิน ในขณะที่ในอเมริกา ผลการสำรวจของ NEA นั้นเน้นเพียงแต่การอ่านวรรณกรรมเท่านั้น
การรวมการอ่านแบบจริงจัง (serious reading) กับการอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน (reading for pleasure) เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ข้อมูลภาพรวมที่ออกมาไม่สามารถชี้เหตุและผลที่ชัดเจนได้ ทั้งนี้เนื่องการอ่านแบบจริงจังเป็นกิจกรรมที่จำเป็น (mandatory) ในขณะที่การอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการอ่านด้วยความสมัครใจ ซึ่งการอ่านทั้งสองแบบมีแรงจูงใจและปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น งานของ Cox และ Guthrie (2001) ชี้ว่า แรงจูงใจโดยทั่วไปมีผลต่อการอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน ในขณะที่กลยุทธ์ทางสติปัญญา (intellectual strategies เช่นการตั้งคำถาม) นั้นที่เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณและความลึกในการอ่านหนังสือเพื่อการเรียนที่ดีกว่าแรงจูงใจทั่วไป ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับแรงจูงใจในการอ่านนั้นจะได้กล่าวถึงในลำดับต่อไป
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ข้อมูลอัตราการอ่านหนังสือตามประเภทของหนังสือและกลุ่มอายุ ถ้านำข้อมูลจากผลสำรวจมาพิจารณาโดยตรง โดยภาพรวม เราก็จะเห็นอิทธิพลของหนังสือพิมพ์สูงมาก แต่เมื่อพิจารณาลงไปตามกลุ่มอายุแล้ว ดูเหมือนว่าการอ่านหนังสือพิมพ์เป็นที่นิยมของผู้ใหญ่เท่านั้น ในขณะที่ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ของเยาวชน (อายุ 6-24 ปี) อ่านหนังสือตำราเรียน รองลงมาเป็นนวนิยาย การ์ตูนและหนังสืออ่านเล่น ในขณะที่กลุ่มนี้มีอัตราการอ่านหนังสือพิมพ์เพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่ได้พิจารณาตามกลุ่มอายุ ค่ากลางที่ได้ก็จะมีความผิดพลาดอยู่สูง เนื่องจากไม่สามารถพฤติกรรมการอ่านของประชากรได้ทั้งหมด
แผนภูมิที่ 1 อัตราการอ่านหนังสือแต่ละประเภทของประชากรตามกลุ่มอายุ (ผลการสำรวจ ปี 2548)
ที่ผู้เขียนตระหนักถึงข้อนี้ เนื่องจากบทบาทของบรรณารักษ์และนักสารสนเทศนั้นเกี่ยวข้องกับการอ่านโดย ความสมัครใจมากกว่าการอ่านด้วยความจำเป็น บรรณารักษ์คงไ่ม่สามารถไปบีบคอใครให้อ่านหนังสือ แต่สามารถหาวิธีการที่จะสร้างแรงจูงใจให้คนอ่านหนังสือได้ ดังนั้นความสนใจในด้านการอ่านในด้านบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ จึงเป็นไปในทิศทางของการอ่านเพื่อความเพลิดเพลินมากกว่าการอ่านเพื่อการศึกษา ซึ่งประเด็นหลังนี้น่าจะเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักวิชาการด้านการศึกษาและการอ่านออกเขียนได้มากกว่า
ตัวแปรมาตรฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไม่ว่าจะสำรวจครั้งไหน ๆ ก็ดูเหมือนจะหนีไม่พ้น เพศ อายุ การศึกษา ใน/นอกเขตเทศบาล ซึ่งผลการสำรวจชี้ว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างชายและหญิง พบว่าความแตกต่างของอัตราการอ่านหนังสือระหว่างชายและหญิงนั้นลดน้อยลง อัตราส่วนของผู้หญิงอ่านหนังสือน้อยกว่าผู้ชายเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่ปัจจัยด้านการศึกษาก็เป็นไปตามคาด คือ คนที่เรียนสูงก็มีอัตราส่วนการอ่านหนังสือมากกว่าคนที่เรียนน้อยหรือไม่ได้ เรียน ในขณะเดียวกันคนอายุน้อยกว่าก็มีอัตราส่วนการอ่านหนังสือมากกว่าคนอายุสูงกว่า
สำหรับประเภทหนังสือที่คนอ่าน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหนังสือพิมพ์ ยกเว้นกลุ่มเด็กที่มีอายุระหว่าง 6-14 ปีเน้นอ่านตำราเรียนตามหลักสูตรเป็นหลัก ตามมาด้วยกลุ่มนวนิยาย การ์ตูนและหนังสืออ่านเล่น ในขณะที่ผู้สูงอายุนอกจากจะนิยมอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว ยังสนใจอ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสนาด้วย (ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่) โดยเฉลี่ยคนไทยในปี 2551 อ่านหนังสือประมาณ 39 นาทีต่อวัน นอกจากนี้ผลการสำรวจยังระบุด้วยว่า คนไทยประมาณ 3.2 ล้านคนอ่านหนังสือนอกเวลาหรือทำงานทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ส่วนตัวเลขอื่น ๆ แนะนำให้เข้าไปอ่านที่รายการสรุปเบื้องต้นได้โดยตรง
ตัวเลขสถิติเชิงบรรยายเหล่านี้ดูเหมือนไม่มีความหมายอะไรมากนัก เพราะไม่ได้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้เขียนจึงคิดว่าอย่างน้อยการวิเคราะห์ตามขวาง (cross-sectional) น่าจะทำให้เห็นพฤติกรรมการอ่านของคนไทยที่น่าสนใจมากขึ้น แต่เนื่องจากรายการผลการสำรวจโดยละเอียดของปี 2551 ยังไม่ออก ก็เลยต้องย้อนกลับไปนำผลการสำรวจของปี 2548 มาลองพิจารณา และก็พบปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอยู่หลายประการ แต่กระนั้นก็ต้องขอออกตัวก่อนว่า เป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data) ที่ได้จากผลการสำรวจอีกที มิได้นำข้อมูลจากแบบสอบถามโดยตรงมาพิจารณา ดังนั้นอาจมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการอ่านไปในตัว
ข้อสังเกตประการแรก คือ เมื่อจำแนกตามประเภทของหนังสือจะเห็นว่า การศึกษาไม่มีผลต่อการอ่านเลย กล่าวคือทุกกลุ่มตัวอย่างมีแบบแผน (pattern) อัตราส่วนการอ่านที่คล้ายกันมาก ซึ่งนั่นหมายความว่า กลุ่มคนที่ได้รับการศึกษาสูงมีอัตราส่วนการอ่านหนังสือประเภทตำราเรียน (นอกเหนือหลักสูตร) พอ ๆ กับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการศึกษา หรือต่ำกว่าประถมศึกษา อันนี้ผมก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเพราะอะไร และทำไมตัวเลขจึงออกมาเป็นเช่นนี้
ประการที่สอง เมื่อพิจารณาตัวแปรด้านอายุ ดูเหมือนว่าแบบแผนของอัตราการอ่านหนังสือนั้นเป็นไปในทางเดียวกัน แต่กระนั้นโดยส่วนตัวของผู้เขียนเห็นว่า ข้อมูลอายุ นอกเหนือเป็นตัวชี้วัดในเรื่องของความเป็นผู้ใหญ่ (Maturity) ของปัจเจกแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดในด้านรุ่น (Generation) ได้ด้วย ซึ่ง Generation นั้นสามารถนำไปอ้างอิงสภาพสังคมของคนในวัยเดียวกันได้ด้วย เช่น รุ่นของคนที่เกิดในช่วงที่อินเตอร์เน็ตมีบทบาทมากในสังคม รุ่นของคนที่อยู่ในยุคการเมืองเดียวกัน เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์จะต้องอาศัยการวิเคราะห์ในเชิงเวลา (Time-series analysis) กล่าวคือ เป็นการตั้งสมมติฐานว่า ถ้าอายุ (ที่เป็นตัวบ่งชี้ความเป็นผู้ใหญ่ของปัจเจก) เป็นปัจจัยสำคัญต่อการอ่าน (เมื่อมีการควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ทั้งหมด) แบบแผนของอัตราส่วนการอ่านก็ควรจะคงอยู่ในรูปแบบเดิมเรื่อยไป แต่ถ้าเกิดว่าอัตราส่วนเหล่านั้นเกิดมีการเปลี่ยนแปลง (ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ อัตราการอ่านของทุกกลุ่มอายุควรสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป) ก็แสดงว่า Generation ที่เป็นตัวชี้วัดทางสังคมก็มีส่วนต่อการอ่านหนังสือของคนไทยเช่นกัน อย่างไรก็ตามผู้เขียนเนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอ จึงหยุดข้อสงสัยไว้เพียงเท่านี้
ประการที่สาม เท่าที่ลองคำนวณคร่าว ๆ (เนื่องจากในตารางผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2548 แสดงผลข้อมูลจำนวนชั่วโมงในเชิงลำดับ (ordinal) ผู้เขียนจึงต้องทำการประมาณค่าโดยเอาค่ามัธยฐาน (median) มาหาค่าเฉลี่ยอีกครั้ง) พบว่าจำนวนเวลาเฉลี่ยในการอ่านหนังสือต่อวันอยู่ที่ประมาณ 59 – 60 นาที และพบว่าไม่มีความแตกต่างในกลุ่มอายุ (หมายความว่า คนไทยไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ใช้เวลาอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยพอ ๆ กัน) ถ้าหากการคำนวณ (ของทั้งผมและทั้งของสำนักงานสถิติแห่งชาติ) ไม่มีข้อผิดพลาด ก็เป็นข้อที่น่าเป็นห่วงมากว่า จำนวนชั่วโมงที่อ่านต่อวันนั้นลดลงอย่างมาก ซึ่งในข้อมูลปี 2551 นั้นอยู่ที่ 39 นาทีต่อวัน
มีต่อนะ