แสงจากดาวระเบิดวัน อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ลาโลก

ถ้าวิญญาณมีจริง และวิญญาณของคนดีได้ขึ้นสวรรค์ ในวันที่ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ลาจากโลกไปอย่างไม่มีวันกลับ ดูเหมือนสวรรค์จะส่งพลุซูเปอร์ยักษ์เกิดเป็นแสงจากดาวระเบิดขนาดใหญ่ที่สุด เห็นได้ไกลสุดจากโลก ส่งหรือรับวิญญาณของ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ลาจากโลกไปแล้วเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. ของวันที่ 19 มี.ค. 2008 ที่ศรีลังกา และในวันเดียวกันก่อนเวลาที่อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก จะลาโลกไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง กล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์สวิฟต์ (Swift’s X-ray Telescope) ในอวกาศก็ตรวจจับการระเบิดเกิดรังสีแกมมา (Gamma Ray Burst) เรียก จีอาร์บี ขนาดใหญ่ที่สุด และอยู่ห่างไกลจากโลกมากที่สุดที่เคยตรวจจับได้ สร้างสถิติใหม่สิ่งอยู่ไกลสุดที่มนุษย์เห็นได้ด้วยตาเปล่า ถึงแม้จะเป็นสถิติเกิดอยู่ไม่นาน เพราะความสว่างของจีอาร์บี จะขึ้นสูงสุดอยู่ได้เพียงไม่กี่วินาทีหรือนาที และความสว่างของจีอาร์บีสว่างที่สุดนี้ก็คงความสว่างสูงสุดอยู่ได้ไม่ถึง 30 วินาที
จีอาร์บี หรือ การระเบิดเกิดรังสีแกมมา เป็นปรากฏการณ์ที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล ถัดจากการเกิดบิกแบงลงมา และในวันที่ 19 มี.ค. 2008 นั้น กล้องโทรทรรศน์อวกาศสวิฟต์ ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อเดือน พ.ย. 2004 เพื่อไปตรวจจับการเกิดจีอาร์บีโดยตรง ก็ทำสถิติใหม่ตรวจจับการเกิดจีอาร์บีได้ถึง 4 ครั้ง โดยครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งได้รับการตั้งชื่อเรียกว่า GRB 080319B ตรวจจับได้ก่อน อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก จากโลกไปไม่กี่ชั่วโมง อยู่ในกลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์ หรือกลุ่มดาวบูเทส
ถึงแม้ว่า จีอาร์บี จะถูกค้นพบเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 1960 ทว่าถึงวันนี้ก็ยังไม่ทราบกันชัดเจนว่าจีอาร์บีเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงทรงพลังเป็นรองเพียงบิกแบงเท่านั้น
ตามแนวความคิดของวงการวิทยาศาสตร์ล่าสุด มีกระบวนการที่เป็นไปไม่ได้หลายประการ แต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า น่าจะเกี่ยวกับสภาพวาระสุดท้ายแบบหนึ่งของดาวฤกษ์มีมวลมาก ซึ่งโดยปกติ ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต จะเปลี่ยนสภาพไปเป็นซูเปอร์โนวา และพัฒนาการต่อไปอีกเป็นดาวนิวตรอน พัลซาร์ และในที่สุดคือหลุมดำ ถ้ามวลที่เหลืออยู่ (หลังการระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา) มากพอ
จากการตรวจสอบเรดชิฟต์ (Redshift) ของ GRB 080319B พบว่า จีอาร์บีนี้มีเรดชิฟต์ 0.94 ซึ่งมีความหมายว่า การระเบิดของ ดาวต้นกำเนิดของ GRB 080319B เกิดขึ้นเมื่อ 7,500 ล้านปีมาแล้ว แสดงว่ารังสีแกมมาและส่วนเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นแสงสว่างของ GRB 080319B ได้เดินทางมาแล้วเป็นระยะทาง 7,500 ล้านปีแสง จนกระทั่งทั้งรังสีแกมมาและส่วนเป็นแสงสว่างมาถึงโลกวันที่ 19 มี.ค. 2008 ทำให้ GRB 080319B สร้างสถิติใหม่ทางดาราศาสตร์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอวกาศเห็นได้ไกลสุดด้วยตาเปล่า คือเป็นระยะทาง 7,500 ล้านปีแสงจากโลก หรือประมาณครึ่งทางของจักรวาล ซึ่งกำเนิดจากบิกแบงเมื่อประมาณ 1.4 หมื่นล้านปีมาแล้ว
ก่อนการเกิด GRB 080319B สิ่งที่มนุษย์เห็นได้ด้วยตาเปล่าไกลที่สุดในอวกาศ โดยทั่วไปจะหมายถึงกาแล็กซีแอนโดรมีดา หรือ กาแล็กซี M 31 ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 2.5 ล้านปีแสง แต่จากเทคโนโลยีการสำรวจอวกาศที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้สามารถหาระยะห่างของสิ่งต่างๆ ในอวกาศได้แม่นยำขึ้น ทำให้กาแล็กซีแอนโดรมีดากลายเป็นสิ่งอยู่ไกลสุดในอวกาศเห็นได้ด้วยตาเปล่าอันดับสอง รองจากกาแล็กซี M33 หรือกาแล็กซีไทรแองกูลัม หรือกาแล็กซีสามเหลี่ยม ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 2.9 ล้านปีแสง
กาแล็กซีไทรแองกูลัม เป็นกาแล็กซีรูปเกลียวคล้ายกาแล็กซีแอนโดรมีดา แต่มีการกระจายของดาวแถบขอบนอกของกาแล็กซีเป็นกระจุก ทำให้กาแล็กซีไทรแองกูลัมมีลักษณะรูปร่างคล้ายรูปสามเหลี่ยมมากกว่ารูปเกลียว เมื่อมองจากโลกมีขนาดเล็กกว่าและสว่างน้อยกว่ากาแล็กซีแอนโดรมีดา อีกทั้งตำแหน่งในท้องฟ้าก็อยู่ใกล้กาแล็กซีแอนโดรมีดา ทำให้ในอดีตมนุษย์บนโลกจึงมองไม่เห็นกาแล็กซีไทรแองกูลัมได้ง่ายๆ และจึงไม่รู้จักกาแล็กซีไทรแองกูลัมกันนัก
เมื่อเปรียบเทียบความสว่างของกาแล็กซีไกลสุดเห็นได้ด้วยตาเปล่ามาก่อน กับ GRB 080319B จะเป็นดังนี้
กาแล็กซีไทรแองกูลัมมีค่า ความสว่างปรากฏ หรือ แมกนิจูดปรากฏ (Apparent Magnitude) 5.7 ในขณะที่ GRB 080319B เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2006 มีแมกนิจูดปรากฏ 5.8 และกาแล็กซีแอนโดรมีดา มีแมกนิจูดปรากฏ 3.4 ซึ่งหมายความว่า GRB 080319B ขณะมีความสว่างสูงสุด ปรากฏเป็นดาวสว่างในท้องฟ้าเห็นได้ด้วยตาเปล่าน้อยกว่ากาแล็กซีไทรแองกูลัมเล็กน้อย หรือใกล้เคียงกับกาแล็กซีไทรแองกูลัมมาก แต่ก็ไม่สว่างเท่ากาแล็กซีแอนโดรมีดาอย่างชัดเจน
ตามระบบการกำหนดค่าความสว่างแมกนิจูดปรากฏ ดาวหรือวัตถุในท้องฟ้าที่มีความสว่างปรากฏให้เห็นได้ จะต้องมีค่าแมกนิจูดปรากฏสูงสุด 6 กล่าวคือ ถ้าค่าแมกนิจูดปรากฏมีค่ามากกว่า 6 ก็จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าสำหรับมนุษย์บนโลก
จากตำแหน่งของ GRB 080319B ซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกถึง 7,500 ล้านปีแสง และปรากฏให้เห็นด้วยตาเปล่าของมนุษย์ได้ ทำให้ GRB 080319B ซึ่งอาจเป็นซูเปอร์โนวาขนาดใหญ่ หรือดาวระเบิดขนาดใหญ่ มีความสว่างมากกว่าซูเปอร์โนวาสว่างที่สุดที่เคยบันทึกได้มาก่อนถึง 2.5 ล้านเท่า โดยที่อาจเป็นดาวฤกษ์มีมวล (ก่อนการระเบิดเกิด GRB 080319B) มากกว่าดวงอาทิตย์ของเราประมาณ 40 เท่า
การปรากฏตัวขึ้นมาเป็นดวงดาวสว่างในวันที่ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก จากโลกไปของ GRB 080319B ทำให้นักดาราศาสตร์ที่เป็น “แฟนพันธุ์แท้” ของ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก จำนวนหนึ่งเสนอให้ตั้งชื่อของ GRB 080319B ตามชื่อของ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เป็น Clarke Event
ทว่า ตามหลักการตั้งชื่อของการระเบิดเกิดรังสีแกมมา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (International Astronomical Union หรือ IAU) ไม่มีระเบียบการตั้งชื่อ จีอาร์บี ตามชื่อสามัญ อย่างไรก็ตามก็มีการชักชวนกันในวงการดาราศาสตร์ทั่วไปว่า ให้เรียกการระเบิดเกิดรังสีแกมมา GRB 080319B เป็น คลาร์กอีเวนต์
ย้อนหลังไปเมื่อปี 1955 อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ได้เขียนเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ชื่อ The Star ซึ่งนับเป็นเรื่องสั้นคลาสสิกดีที่สุดเรื่องหนึ่งของ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก โดยมีประเด็นหัวใจของเรื่องว่า ดาวที่ปรากฏสว่างขึ้นมาเหนือเบทลีเฮม ในวันพระเยซูคริสต์ประสูติ เป็นดาวระเบิดเกิดเป็นซูเปอร์โนวา
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เชื่อว่า ซูเปอร์โนวานำทางนักเดินทางไปสู่ตำแหน่งที่ประสูติของพระเยซูคริสต์ ในปัจจุบันก็คือ พัลซาร์ 1913+16B ซึ่งก็มีการเสนอให้ตั้งชื่อเรียก พัลซาร์นี้เป็น Clarke’s Star (ดาวคลาร์ก) หรือ Clarke Pulsar (พัลซาร์คลาร์ก)
เรื่อง : ชัยวัฒน์ คุประตกุล
โพสต์ ทูเดย์ – แมกกาซีน