Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เส้นทาง “ชีวิต” วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

 

 
"ผมกลายเป็นตัวละครในทีวีโชว์ชุดนี้ ว่า เหมือนรายการผจญภัย มันจะไปเจออะไรอีกก็ไม่รู้ แล้วมันจะคิดอะไรออกอีกก็ไม่รู้" 
 
หากพูดถึงรายการ "พื้นที่ชีวิต" ที่ออกอากาศ ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 22.30 น. และรีรันทุกวันอังคาร เวลา 10.05 น. สำหรับ "คนเดินเรื่อง" อย่าง วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เองถือว่า นี่คือการผจญภัยอีกครั้งของชีวิต ที่มี "หลักศาสนา" และ "การเดินทาง" เป็นประตู 
 
"ผมกลายเป็นตัวละครในทีวีโชว์ชุดนี้ ว่า เหมือนรายการผจญภัย มันจะไปเจออะไรอีกก็ไม่รู้ แล้วมันจะคิดอะไรออกอีกก็ไม่รู้" เขานิยามบทบาทของตัวเองในจอทีวี 
 
จาก "สำรวจศรัทธา" 13 ตอนที่มุ่งเน้น หาความหมาย และความเชื่อมโยงระหว่างศาสนากับผู้คน ก้าวผ่านสู่ขวบปีที่ 2 ประเด็นก็เริ่ม "กว้าง" และ "หลากหลาย" ขึ้น 
 
ชีวิต พื้นที่ กับการเดินทางครั้งใหม่ (อีกครั้ง) จึงเริ่มตรงคำถามที่ว่า… 
 
ต้นคิดรายการแต่แรกเริ่มเกิดจากอะไร 
 
เกิดจาก หอสมุดพุทธทาส ครับ เขาอยากทำรายการที่นำเสนอแง่มุมของธรรมะ ให้กับผู้คน โดยไม่ออกมาพูด ไม่ออกมาเทศน์โดยผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เป็นการแสวงหา ของคนที่ยังไม่เข้าใจธรรมะมากนัก ตอนแรกก็มีการคุยกันว่าจะเอาน้องเปอร์มา ไปๆ มาๆ ก็มาจบที่ผม ชุดแรกของรายการชื่อชุด สำรวจศรัทธา ยาว 13 ตอน 
 
เพราะดูเป็นคนไม่แสวงหา ? 
 
 
คือ… เป็นคนแสวงหา ในหนังสือ อะไรต่างๆ ก็เป็นคนตั้งคำถามกับชีวิตมาเรื่อย เพียงแค่ ไม่เคยหันหน้าเข้าหาธรรมะเลย แล้วก็ไม่เข้าใจศาสนาอะไรขนาดนั้น เขาเลยรู้สึกว่าน่าสนุกดีถ้าเอาคนไม่มีศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมพูดออกทีวีตั้งแต่ตอนแรกเลยว่า ตอนนั้น ผมไม่มีศาสนา มาค้นหาความจริงผ่านแง่มุมของศาสนาดู เทปแรกก็ยังงงๆ อยู่ว่าจะเป็นอย่างไร มันจะนำเสนอผ่านสื่อทีวีได้เหรอ สุดท้ายเราก็ทำกันไปโดยธรรมชาติ ไปเจอคนทั่วไป ชาวบ้าน แล้วก็ถามสิ่งที่ผมอยากรู้ ถามหาความเข้าใจในศาสนาพุทธ ระหว่างการพูดคุยเหล่านั้น มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผมด้วย เกิดความเข้าใจมากขึ้นว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วพอจบทุกทริป ผมก็มานั่งสรุปถึงสิ่งที่ผมได้จากตอนนั้นๆ 
 
 
ทีนี้ รายการมันก็มี 2 แง่ แง่หนึ่งก็เป็นเรื่องหลักธรรม ศาสนาเลย อีกแง่คือการเดินทางของบุคคล ผมกลายเป็นตัวละครในทีวีโชว์ชุดนี้ ว่า เหมือนรายการผจญภัย มันจะไปเจออะไรอีกก็ไม่รู้ แล้วมันจะคิดอะไรออกอีกก็ไม่รู้ ก็นำมาสู่รายการที่เห็นอยู่อย่างทุกวันนี้ เป็นรายการธรรมะที่เสนอผ่านออกทางสารคดีท่องเที่ยว แน่นอน ไปประเทศต่างๆ ของกินอะไร ไปเที่ยวที่ไหน มันก็มีบ้าง แต่ไม่ใช่หัวใจหลักของรายการนี้ ซึ่งรายการท่องเที่ยวทั่วไป จะเน้นที่กินที่เที่ยว ซะเยอะ เราก็มีเป็นน้ำจิ้มเฉยๆ เรานำมาใส่รายการเฉพาะตอนไม่มีประเด็นจะใส่แค่นั้นเอง (หัวเราะ) แต่ถ้ามีประเด็นจะใส่ เราก็จะตัดเรื่องพวกนี้ทิ้งไปหมดเลย (ยิ้ม) 
 
เล่าถึงเส้นทางในรายการให้ฟังหน่อย 
 
 
เส้นทาง ทีมงานจะเป็นคนกำหนด แต่ผมก็จะมีโหวตบ้าง เช่น ผมอยากไปญี่ปุ่น ทีมงานก็จะถามว่า มันมีประเด็นอะไร ผมก็ไปหาประเด็นมา อ๋อ โอเค ผ่าน อยากไปที่โน่นที่นี่ อยากไปตรุกี ซึ่งก็แน่นอน คนมีโอกาสทำงานอย่างนี้ มันก็เอาประเทศเป็นที่ตั้ง เป็นธรรมชาติว่าอยากไปไหน (หัวเราะ) ไปเจออะไรค่อยว่ากัน แต่จะไม่ไปแบบหัวโล่งๆ จะไปโดยหัวโล่งครึ่งหนึ่ง ในความหมายคือว่า รู้ว่าจะไปทำประเด็นอะไร แต่ไม่รู้มาก พอที่จะเจาะจงเกี่ยวกับประเด็นนั้นๆ คือให้ไปหา คำตอบเอาดาบหน้า… 
 
ตัวอย่างเช่น… ? 
 
 
วิถีมุสลิม เรื่องของการสอนศาสนาผ่านเรื่องเซ็กส์ในภูฏาน แต่ไม่เตรียมคำตอบไป คำตอบได้อย่างไรตรงหน้า เข้าใจ ไม่เข้าใจ ว่ากันตรงนั้นเลย ถ้าไม่เข้าใจก็บอกคนดูตรงๆ ว่าไม่รู้เรื่อง (ยิ้ม) 
 
ไปที่ไหนมาบ้าง 
 
 
ลาว อินเดีย ธรรมศาลา ซึ่งเป็นค่ายผู้ลี้ภัยทิเบตในอินเดีย พม่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อุษาคเนย์เก็บหมดแล้ว คือปีที่แล้วไปมา 13 ประเทศ สำหรับปีนี้ (2554) ที่ไปมาก็มี เกาหลี ไปสัมภาษณ์ ท่านทะไล ลามะ มา ไปฝรั่งเศส ภูฏาน หลังจากนั้นก็มี อิหร่าน บังคลาเทศ ไต้หวัน ตรุกี ราวๆ นี้ 
 
สังเกตว่า ในเชิงภูมิศาสตร์ มันดู "กว้าง" ขึ้น ? 
 
 
ตอนแรก เราไม่ได้ ทำกันยาวเลย กะว่า 13 ตอน จบ เพราะสัญญาตอนแรกมาแค่นั้น ปรากฏว่าทางทีวีไทยชอบ แล้วฟีดแบ็กจากคนดูก็ดี ฉะนั้น ที่รายการอยู่ได้ก็เพราะมีคนดู แต่พอทำแล้ว ไอ้การดำเนินภายในของคนๆ เดียว มันไม่สามารถมีพัฒนาการทุกอาทิตย์ได้ เราไม่สามารถแบบ… โอ่ บรรลุเรื่องใหม่ทุกอาทิตย์ได้ มันจะดูเป็นการฝืนตัวเองเกินไป สโคปของรายการตอนหลังๆ จึงขยายไปทางสังคมด้วย ขยายไปศาสนาอื่นด้วย ไม่ใช่แค่พุทธอย่างเดียว 
 
 
อย่างไปภูฏานไปทำเรื่อง GNH (Gross National Happiness : ความสุขมวลรวมประชาชาติ) ซึ่งไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย มันเกี่ยวแค่ว่า เป็นไปได้หรือการพัฒนาโดยเอาความสุขเป็นที่ตั้งมากกว่าทุนนิยมเป็นที่ตั้งในระดับประเทศ ก็เป็นอีกคำถามหนึ่ง ไอ้พวกการเดินทางภายในของผม ก็จะหยุดไปก่อนตอนนั้น จนกว่ามันจะเจอประเด็นที่ทำให้เกิดการเดินทางภายในจริงๆ ก็ค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะแตะประเด็นทางสังคมในเมืองไทยด้วย เช่น เราก็มีแผนว่าจะทำเรื่องค่ายอาสา การศึกษา หรือชุมชนคลิตี้ ก็จะขยายออกไป 
 
จากเดินทางในรายการ เคยรู้สึกว่าเหมือนเป็นการปฏิบัติธรรมไหม 
 
 
รู้สึกว่าเป็นการเข้าใจธรรม แต่ว่า การเข้าใจไม่ใช่การปฏิบัติ การปฏิบัติต้องหาเวลาส่วนอื่นของชีวิตในการทำ ซึ่งตอบตรงๆ ว่า ตอนนี้ยังไม่รู้สึกจำเป็นกับตัวเอง สนุกกับการเข้าใจ แล้วก็ได้เข้าใจแล้วว่า คนเราต้องการธรรมที่สุดตอนที่มันทุกข์ที่สุด ซึ่งผมยังไม่ถึงจุดนั้นของชีวิต ยังไม่ถึงขนาดที่ว่าต้องหาทางให้ได้ แต่ว่า มีเบาะรองไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาเรารู้แล้วว่า ทางไหนเราควรจะไป แล้วก็ได้พูดคุยกับคนปฏิบัติธรรมมากมาย วันก่อนได้คุยกับ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ แกก็ดูรายการผมเยอะ แกก็… นี่สิงห์รู้ตัวไหม ได้คุยกับพระอรหันต์มาหลายคนแล้ว เราก็… เหรอครับ ไม่รู้เรื่องเลย (ยิ้ม) ทุกคนในรายการที่เราคุยด้วยก็เหมือนเป็นครู เป็นคนที่ให้การศึกษาเพื่อเตรียมตัวว่า ถึงวันหนึ่งที่มรสุมชีวิตมันมา มันมีวิธีการที่รู้อยู่แล้ว แน่นอน 
 
มีที่ไหนที่ติดอยู่ในใจเป็นพิเศษ 
 
 
มีบางที่ที่ไปแล้วยังไม่เข้าใจ แล้วก็อยากกลับไปอีกเพื่อทำความเข้าใจเพิ่ม อย่างเช่น เวียดนาม ไปตอนนั้นไปดูเรื่องที่เขานับถือเจ้าแม่กวนอิม เราพยายามไปเจาะอะไรก็แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่รู้เรื่องมากเท่าไหร่ ถามไปแล้วยังไม่รู้ประเด็นคืออะไร มันยังตีประเด็นไม่แตก สุดท้ายแล้ว รายการออกมาเหมือนรายการนำเที่ยวธรรมดา ซึ่งเราก็ยังไม่พอใจมากขนาดนั้น แล้วยังมีเรื่องญี่ปุ่นที่ รอบที่แล้วเราไปเจาะมาแล้วว่าศาสนาพุทธมีความจำเป็นต่อคนญี่ปุ่นค่อนข้างน้อยมาก แต่เรายังไม่ได้เจาะที่ว่า แล้วอะไรที่เขานับถือกัน พวกวัฒนธรรมทางสังคมอย่างการยื่นนามบัตร 2 มือ การโค้งคำนับ การจิบชาแล้วต้องปิดปาก มันมากจากไหนกัน มีบทบาทขนาดไหนในสังคม แล้วนำไปสู่สภาพจิตยังไง ก็ยังเจาะไม่ลึกเท่าไหร่ แน่นอนเราไปแต่ละที 10 วัน มันก็ได้ประมาณหนึ่ง แต่ก็ยังมีค้างประเด็นเยอะ เนื่องด้วยทีมงานก็อยากเที่ยวที่ใหม่ๆ กัน (หัวเราะ) จะไม่ไปซ้ำประเทศกัน ยกเว้นอินเดีย ไปมาหลายรอบเหลือเกิน 
 
ภาพที่เราจับสังเกตได้ สิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างคนกับสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจในแต่ละสถานที่มันคืออะไร 
 
 
คนเราจริงๆ เหมือนกันมากกว่าที่เราเข้าใจเยอะครับ ทุกมนุษย์ ต้องการทฤษฎีที่ว่าด้วยความสุข และทฤษฎีที่ว่าด้วยความถูกต้อง ซึ่งศาสนาในเบื้องตื้นจะให้ทฤษฏีที่ว่าด้วยความถูกต้องได้ และเบื้องลึกลงไปเป็นทฤษฏีที่ว่าด้วยความสุขได้ บางทีความถูกต้อง และความสุขค้นหากันเองก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้วมันเป็นสัจธรรม มันไปทางไหนมันก็เจอเหมือนกัน แต่ว่าคนเราต้องการไกด์นิดหนึ่ง ว่ามันควรจะไ-ปทางไหนดี ไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะหลงทาง แล้วก็หาไม่เจอเลยก็ได้ ศาสนาคือไกด์ แต่จุดมุ่งหมาย และปลายทางของทุกศาสนาผมค่อนข้างเห็นแล้วว่ามันเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นพอเราขยายออกไป มนุษย์จริงๆ แล้วเหมือนกันมากกว่าที่เราคิด พุทธ คริสต์ อิสลาม หรือฮินดูอะไรก็ตาม เพียงแค่เราเลือกทางต่างกัน บางทีเราไม่ได้เลือกด้วยซ้ำ บางทีเราเกิดมาในที่ต่างกัน ทางมันก็เลยต่างกัน 
 
 
พอมันสะท้อนหาตัวผมเอง ตั้งแต่ผมทำรายการนี้ ผมเข้าใจคนอื่นมากขึ้น แล้วผมก็ยินดีให้อภัยในสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยมากขึ้นเยอะ เพราะผมเห็นแล้วว่า สุดท้ายมันเป็นเรื่องเดียวกับที่เรารู้สึกเลย แต่ว่าเขายึดเสาคนละต้นกับเราเท่านั้นเอง ทำให้ความแตกต่างไม่ใช่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วย เพียงแต่เรารู้สึกว่าความแตกต่างมันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว และในความแตกต่างมีความเหมือนกันอย่างน่าอัศจรรย์ พอเข้าใจจุดนี้ก็ไม่เหลือความคิดที่เราไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่ก่อน เราไม่เห็นด้วยเพราะอย่างนี้ 1 2 3 เอาตรรกะมาโต้แย้ง แต่เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่อยู่เหนือตรรกะขึ้นไปอีกมาก เพียงแต่เรามองไม่เห็นว่ามันคืออะไร 
 
เหมือนตัวเราก็พัฒนา เติบโตตามรายการขึ้นไปด้วย 
 
 
ใช่ครับ ซึ่งจุดนี้ ผมว่ามันเป็นจุดที่ทำให้คนเขาอยากดูกันว่า ไอ้บ้านี่จะไปเจออะไรต่อ ก็มีทั้งคนที่ดูด้วยความเมตตา เห็นเราไม่รู้เรื่องบางเรื่อง เขาก็หัวเราะ หึ หึ เออ เดี๋ยวมันก็รู้เองแหละ บางคนก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าเรื่องนี้มันผิด คุณพูดอย่างนี้มันผิดหลักการ ซึ่งผมก็ฟังไว้ อันไหนที่ผิดจริงก็ยอมรับ อันไหนที่รู้สึกเป็นความคิดที่ค่อนข้างตายตัวเกินไปก็ปล่อยผ่านไป 
 
ถ้าถามถึงสุดปลายทางของรายการจะอยู่ตรงไหน 
 
 
ยังตอบตอนนี้ไม่ได้ครับ ตอบตอนนี้พอถึงจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันก็เป็นการขี้โม้ไป (ยิ้ม) แต่มันก็กลายเป็นสนุกตรงที่รู้ว่ามันไม่รู้ว่าจะอยู่ตรงไหน แต่ที่แน่ๆ คือรายการนี้เป็นรายการที่จริง แล้วก็ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง การเรียนรู้เกิดขึ้นจริง เพราะฉะนั้นปลายทางสุดท้ายก็อาจจะเป็นสัจธรรมก็ได้ ซึ่งมันคือความจริงที่อยู่เหนือความจริงที่เหลือ และมันก็เป็นแค่ความจริงของผมที่ทำในรายการ แล้วผมก็จะบอกทุกคนว่า คนอื่นอาจจะเจอความจริงทางอื่นด้วยวิถีทางอื่นก็ได้ 
 
 
แต่ที่แน่ๆ เราอยากให้คนหันกลับมาสำรวจชีวิตตัวเองอย่างถีก้วนอีกทีว่า ทำไมสิ่งที่เราเชื่อ มันผ่านการตั้งคำถามมาหรือยัง ความคิดที่อยู่ในหัวเราทั้งหมดมันเป็นของเราจริงหรือเปล่า หรือจริงๆ มันมีปัจจัยภายนอกที่มาส่งผลต่อตัวเรา ที่เราเป็นทุกวันนี้บ้าง 
 
 
Life Style : Society 
วันที่ 10 กันยายน 2554 
By : bangkokbiznews.com