Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เส้นทางสู่เรื่องสั้นซีไรต์ กับวัชระ สัจจะสารสิน

 


            ช่วงสนทนายามเย็นของกิจกรรม ปั้นนักข่าวเป็นนักเขียนรุ่น 3 มีคุณวัชระ สัจจะสารสิน  นักเขียนรางวัลซีไรต์ ปี 2551 ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ให้กับบรรดานักข่าว โดยมีคุณไพลิน รุ่งรัตน์ เป็นผู้ดำเนินรายการ

            นักเขียนรางวัลซีไรต์ปี 2551อย่างวัชระ ปัจจุบันเป็นข้าราชการอยู่ศาลปกครอง ถ้าดูจากประวัติแล้วเขียน เรื่องสั้นมาไม่มากนัก จะเห็นได้ว่างานที่ได้รับรางวัลเป็นงานเขียนรวมเรื่องสั้นเล่มแรกในชีวติของเขา สาเหตุเพราะว่างานเขียนเรื่องแรกจะมีพลังเยอะมาก ซึ่งเป็นธรรมชาติของคนเขียนหนังสือ

ผู้ดำเนินรายการเปิดฉากถามว่า กว่าจะมาถึงงานเล่มแรกมันมีเรื่องน่าสนใจ ถามก่อนว่าทำไมมาสนใจงานอ่านงานเขียน ชีวิตวัยเด็กคุณวัชระ เป็นยังไง

คุณวัชระ เล่าว่าการเขียนจะอบรมเพียงวันสองวันไม่ได้แต่จะต้องใช้การฝึกฝน  สำหรับตัวผมทำไมถึงมาเขียนหนังสือเหรอ ก็คง เริ่มจากเป็นคนสนใจการอ่านหนังสือมาก่อน อ่านมาตั้งแต่ประถม มัธยม เมื่อมาเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีพื้นครอบคลุมหลายด้าน มีกลุ่มวรรณศิลป์ ซึ่งพี่เนาว์  (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)ไปอบรมให้พวกผมตอนที่เรียนอยู่ปี1ว่า “คนเราต้องถามตนเองก่อนว่า เกิดมาทำอะไร ชอบแบบไหน”  เป็นประโยคที่จำขึ้นใจ ผมกลับมานอนคิดถามตัวเองว่า ที่เรียนมันใช่มั้ย พอมานั่งคิดรู้สึกว่าตัวเราก็มีพื้นฐานการอ่าน พอมาเจอนักเขียนตัวเป็นๆ มาพูดให้ฟัง มันทำให้อยู่ไม่ติด มันร้อนรน เราต้องกลับมาถามตนเองว่าชีวิตนี้อยากได้อะไร ก็ได้คำตอบว่าอยากนักเขียน แต่ชีวิตจริงเราก็เรียนหนังสือไป
            จากนั้นก็เริ่มตลุยอ่านงานเยอะไปหมด จนเรื่องเรียนเป็นเรื่องรอง เราถามตัวเองว่าสิ่งที่ต้องการคืออะไร คืออยากเป็นนักเขียน อ่านงานเยอะไปหมด เช่น ชาติ กอบจิตติ อ่านงานเขียนเยอะมาก และเริ่มหัดเขียน โดยงานเขียนที่เป็นแรงบันดาลใจสูงสุดคือคุณกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ซีไรต์ปี 2539 เรื่องแผ่นดินอื่น

            ผมไปเจอเรื่องสะพานขาด ของกนกพงศ์ ก่อนได้อ่านซ้ำไปมาหลายรอบ  เป็นเรื่องราวสะท้อนสภาพปัญหาของสังคมปักต์ใต้ มีปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ที่เรียกว่าพื้นที่สีแดง คอมมิวนิสต์ที่อยู่ในป่านั้นในสมัยตอนที่ผมยังเด็ก ผมก็เห็นนะ พอเรามาอ่านแล้วก็เกิดความคิดว่า เรื่องที่เคยเห็นตอนเด็ก เขาสามารถมาแปรเป็นงานเขียนได้ อ่านแล้วมันสะเทือนใจ ก็คิดว่าทำไมเราเขียนไม่ได้ เราก็เลยเอาข้อมูลที่เจอตอนเด็กๆ เอามาแปลเป็นงานวรรณกรรม และคิดว่าน่าจะเขียนได้ นั่นถือเป็นแรงบันดาลใจสูงสุด ที่ลุกขึ้นมาเขียน ตอนนั้นผมเขียนกับลายมือเพราะยังไม่มีพิมพ์ดีด

            พอพ่อรู้ว่าผมชอบงานเขียน อยากเป็นนักเขียน แกก็เจียดเงินเดือนอันน้อยนิดซื้อพิมพ์ดีดเครื่องเล็กๆ มาให้ เอามายื่นให้เรามันเป็นภาพที่ประทับใจมาก ผมอึ้งไปพักหนึ่ง ก็คิดว่าแกรู้ได้ยังไงว่าเราชอบ มันเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เราเริ่มลงมือทำ พ่อคงไม่เคยรู้ว่าอาชีพนักเขียนเป็นยังไง เพราะบ้านมีอาชีพค้าขาย ทำไร่ ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องหนังสือ แต่พ่อเป็นคนมีความคิดก้าวหน้า และพ่อก็จับจุดได้ว่าเราชอบเขียนหนังสือ แต่พ่อไม่รู้หรอกว่าหน้าตานักเขียนเป็นยังไง มีรายได้ยังไง คือไม่มีภาพนักเขียนในใจ แต่พ่อสร้างตรงนี้ให้ผม มันเลยตื้นตันใจมาก ตอนนี้ก็ยังเก็บพิมพ์ดีดเอาไว้อยู่เลย  แม้ว่าจะไม่ได้ใช้แล้ว

            คุณวัชระ บอกว่าเวลาที่เขียนงานวรรณกรรม แล้วเอาเรื่องจริงมาเขียน จะมีคนหาว่าเราเชย

            คุณไพลิน จึงขยายความว่า เรื่องจริงกับจินตนาการเป็นพี่น้องกัน ใกล้ชิดกัน ถ้าเขียนแล้วไม่มีใครเสียหาย ตัวละครที่ปรากฏเป็นจริงได้ อย่างเรื่องของอุทิศ เหมะมูล ที่เขียนถึงแม่อย่างหมดเปลือก ถามว่าเรื่องจริงมั้ย บางทีก็มีการแต่งขึ้นบ้าง คือจินตนาการกับข้อเท็จจริงมันใกล้กัน ถ้าเขียนแล้วเสียหาย ถ้าเรื่องไหนที่มีชื่อจริงปรากฏ ก็ต้องมีการเซฟไว้ อย่างบางเรื่องที่จะได้รางวัลซีไรต์ แม้จะดีเราก็ต้องเซฟเพื่อไม่เรื่องนี้เป็นเป้า ถ้าคนอ่านเป็นคนที่เขียนถึง ก็อาจจะทำให้เกิดการฟ้องร้องกันได้ ดังนั้นเวลาที่เราเขียนข้อเท็จจริงกับเรื่องจินตนาการมันใกล้กัน แต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบคนอื่น

            คุณวัชระ บอกว่าบางเรื่องที่เราเขียนแล้วมันเหมือนจริง คนก็จะเข้ามาถามว่ามันจริงรึเปล่า อย่างเรื่องแนวอิโลติก บางทีที่เราใช้สรรพนามว่า “ผม” คนอ่านก็เข้าใจว่าเป็นตัวผมจริงๆ

คุณไพลิน กล่าวเสริมว่าคนอ่านเองก็ต้องพัฒนาการอ่าน เพราะเวลาที่คนเขียนใช้แทนสรรพนามว่า “ผม” มันไม่ใช่ตัวคนเขียน ถ้าคนอ่านเข้าใจผิดมันจึงเป็นความไม่พัฒนาของคนอ่าน

คุณวัชระ อธิบายว่า เมื่อก่อนคิดว่าซีไรต์ จะต้องเป็นหนังสือที่ไม่มีพิษมีภัยกับเยาวชน เพราะในเล่มที่ผมเขียนมีเรื่องแนวอิโลติก และสองเรื่องเป็นแนวการเมืองก็ไม่คิดว่ากรรมการจะเปิดกว้าง ตอนแรกคิดว่าตกรอบแรกแน่ ก่อนรวมเล่มมันก็มีปัญหา จึงคุยกับบก. บอกว่ายังไงก็ต้องคงเรื่องเดิม เพราะฉากในเรื่องมันสื่อนัยยะ บก.ก็ผ่านให้รวมเล่ม คือมันเป็นอิโลติดที่ขนานไปกับเรื่องการเมือง

            ผู้ดำเนินรายการถามว่า เวลาเขียนพอมีประเด็น คุณเลือกประเด็นยังไงถึงจะมาเป็นเรื่องสั้น

            คุณวัชระ อธิบายว่า ในเรื่องของทฤษฎี ต้องวางพล็อตก่อน มีฉาก ตัวละคร นั่นเป็นทฤษฏี แต่พอไปฟิกกับทฤษฏีมาก บางทีไปไม่เป็นเลย คือเอาให้รู้ว่าโดยหลักพื้นฐานการเขียนเรื่องสั้น นิยาย บทกวี ว่ามันเป็นยังไงก็พอ

 แต่พอมาเขียเอง ผมจะมีหลักอยู่สองอย่างคือ 1. จะมีประเด็น มีสาระสำคัญของเรื่องว่าจะเสนออะไร เก็บรายละเอียดแล้วมาใส่องค์ประกอบของเรื่อง 2. ภาพประทับใจ อย่างนั่งรถเมล์ เราเห็นอะไร คนบนรถคุยกันเรื่องอะไร แล้วเก็บไว้ แล้วเราจะเอามาสร้างเป็นเรื่องสั้น คิดถึงสาระสำคัญของเรื่อง เปิดยังไง กลางเรื่องยังไง ฉากที่ไหน วางพล็อต จะจบอย่างไร ถ้าเจอคนแปลกก็คุยกับเขาหน่อย จะได้ข้อมูล ส่วนการเสร้างเรื่องเก็บไวก่อนสร้างทีหลังได้

ผมเจอภาพประทับใจเยอะมาก จำไม่หมดหรอก ผมจะมีสมุดบันทึกจดไว้ แล้วค่อยมาวางพล็อตทีหลัง เช่น เรื่องเพลงชาติไทย ตรงกับประเด็นสมัยนี้พอดี  คือที่ตลาดบ้านผมจะมีคนบ้าคนหนึ่ง เวลาตอนเข้าที่เขาเคารพธงชาติกัน แกก็จะไม่สนใจ คือตอนเด็กผมเคยสงสัยตั้งคำถาม เรื่องการเลือกเคารพธงชาติทำไมต้องแปดโมงเช้า หกโมงเย็น แล้วพอมาเจอคนบ้า เขาชื่อน้าแสง แกไม่ยืนตรงเคารพธงชาติ แก้ผ้าประชด มันเป็นภาพที่เก็บประทับใจ  เขียนไว้ในสมุดบันทึกนานมากปี 2538 ไม่เคยคิดจะมาเขียนเป็นเรื่อง และย้อนมาสมัยที่ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ ผมนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ปรากฏว่าเพลงชาติหกโมงเย็นดังขึ้น ที่ธรรมศาสตร์ เมื่อมีสัญญาณเพลงชาติหมาจะหรลั่นเลย มีอาจารย์คนหนึ่งเดินมา ถามพวกผมว่าทำไมไม่เคารพเพลงชาติ ขนาดหมายังรู้เรื่องเลย มันจึงเป็นประเด็นขึ้นมาว่าบังคับได้ด้วยเหรอการรักชาติ ให้ยืนตรงแค่นั้นเหรอ เขาไม่ยืนตรง แต่ใจเขาอาจรักชาติ บางทีมันเป็นแค่รูปแบบ อาจารย์ก็ด่าว่าคอมมิวนิสต์ ผมเลยประสานสองเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ซึ่งก็เพิ่งรู้ว่าเขายืนตรงเคารพธงชาติอย่างทุกวันนี้

            คุณไพลิน แสดงความเห็นว่าเรื่องนี้กรรมการเกือบไม่ให้ซีไรต์  ส่วนเรื่องคนบ้ามีทุกคน จะมีคนบ้านในชีวิต คนบ้าน่าสนใจ มีอะไรที่เราจะจินตนากรได้เยอะมาก อย่างเรานักข่าวจะมีภาพที่ประทับใจเท่าไหร่

            เวลาลงมือเขียนงานมีปัญหาอะไรบ้าง ผู้ด้ำเนินรายการถาม

            คุณวัชระกล่าวว่า ข้อ1. เจอเรื่องของภาษา คือวรรณกรรมไทยมันจะเป็นภาษาสากล ไม่ว่าอยู่ภาคไหนมันมีภาษากลางเป็นภาษาสากล แล้วผมเป็นคนใต้บางทีเวลาเขียน จะติดคำทองแดงเป็นภาษาพูด มันใส่ได้แต่ต้องดูบริบทของเรื่อง แต่ถ้ามันเป็นเรื่องกลางๆ เราใช่ภาษาติดทองแดงมันไม่ได้ ส่งไปก็ไม่ผ่าน อย่างเรื่องที่เขียนในปัจจุบันผมว่าบรรณาธิการดูเรื่องภาษาว่าไปได้หรือไม่ บางทีพล็อตไม่ต้องดีมากเขาก็จะปล่อย คุณนิรันศักดิ์ ให้โอกาสผมได้ลงเรื่องสั้น มันเป็นเรื่องสั้นที่พล็อตเรื่องเชยๆ ธรรมดา แต่ภาษามันลื่นหมดเลย ไม่ตะกุกตะกัก ตอนหลังมาผมจึงเริ่มเน้นเรื่องภาษา

            ตอนหลังที่เป็นปัญหาคือเรื่องการหาประเด็นมาเขียน  เป็นปัญหามาก สุดท้ายคือปัญหาที่ได้รางวัลซีไรต์  พอได้รางวัลแล้ว ทุกคนก็คาดหวังว่างานที่ออกมาต้องดีกว่าเดิม คนที่เป็นนักอานเขาซีเรียส งานที่ออกมาต้องดีกว่าเดิม คือเล่มนี้กว่าจะออกมาก็เป็น 10 ปี แล้วเอามารวมเล่ม พอเล่ม 2 ทุกคนก็คาดหวังผมก็เกร็ง

            คุณไพลิน เพิ่มเติมว่า รางวัลทำให้มีกำลังใจ แต่ก็กดดันเหมือนกัน บางทีรางวัลไม่ต้องไปสนใจมาก แต่ขอให้เขียนให้ได้ดังใจก่อน งานของวัชระเอง เวลาเราอ่านจะมีลักษณะของตัวความคิดแปลกใหม่ ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน อย่างบางประเด็นที่มีคนส่งมาให้ลงพิมพ์ความคิดของเรื่องมันดีมากๆ ก็ได้ลง บก.ยินดีที่จะยอมให้ลง แก้ภาษาให้ด้วย แต่ภาษาก็ไม่ควรผิดทุกบันทัด เคยอ่านเรื่องหนึ่ง ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องแรกที่เขาส่งมา เรื่องลมหายใจปลายจมูก ความจริงมันแรง จนกลบความเป็นมือใหม่ของเขา ประเด็นมันครบเลยได้ลง แต่จนวันนี้น้องคนนั้นก็ยังไม่ได้ลงอีกเพราะประเด็นมันยังไม่ถึง

            อย่างคุณวัชระ จะใช้ภาพประทับใจ คือประสบการณ์ที่รับเอาสิ่งที่มาประทะกับชีวิตของเราแล้วเอามาเขียน อย่างนักข่าวเองก็คงได้ปะทะเยอะมาก เหมือนหมอก็ปะทะกับภาพเยอะ แต่พอมาปะทะเยอะก็ชิน เรามีข้อมูลเยอะทุกอย่างเป็นของชิน นักข่าวจึงต้องถามอันแรกว่า ภาพแรกที่ยังประทับใจอยู่คืออะไร มันจะได้แรงและมาบรรจบกัน ตอนนี้ทุกคนอาจจะมีจิตนาการแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ลงมือเขียน ยังไม่ปรากฏ
            คุณวัชระ เวลาที่เก็บภาพประทับใจและยังไม่เป็นเสียง ในกรณีที่เป็นตัวละครอย่างน้าแสง มันเก็บภาพไว้ยังไง คนแบบไหนบ้างที่คุณวัชระเก็บมาเขียน นอกจากน้าแสง ผู้ดำเนินรายการถาม

 คุณวัชระ กล่าวว่าอย่างชีวิตน้าแสง เป็นชีวิตที่ดูแปลกแยกเหมือนคนบ้า แต่จริงๆ เขารู้เรื่องทุกอย่าง แต่คนในสังคมมองข้ามหาว่าเขาบ้า คนบ้าในประเทศเยอะมาก คนที่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงเยอะนะ แต่เราไม่มีการบันทึกตรงนี้ บางทีเจอคนบ้า จะมีมุมแปลกๆ มุมที่เราไปเจอต่างกันเยอะมาก บันทึกไว้บางคนนั่งรถไปเห็นอะไรแปลกๆ เราอาจจะต้องจดบันทึก นักข่างเจอข้อมูลเจ๋งๆ เยอะ ถ้าสามารถเอามาแปลเป็นงานเขียนได้จะเยี่ยมมาก ข้อสำคัญคือต่อให้คุณไปเจอข้อมูลเยอะขนาดไหน แล้วไม่ได้แปลภาพประทับใจแล้วไม่ได้ลงมือเขียนเป็นงานศิลปะ ชนกับข้างในคือความรู้สึกที่เราจะระบายออกก็ทำไม่ได้

คุณไพลิน เสริมว่าอย่างที่คุณวัชระเล่ามา จะเอาเรื่องข้อมูลในวัยเด็กสะสมยาวนาน อยากให้นักข่าวทุกคนนึกถึงข้อมูลในวัยเด็กที่วิ่งมาชนกับข้อมูลปัจจุบัน เพื่อให้วงของมันครบแล้วจะเป็นแรงบันดาลใจ เหมือนเราจะจุดปะทัดจุดพลุ ให้มันมาชนกันแล้วถึงจะเกิดขึ้นมาได้

คุณวัชระ เล่าว่า เรื่องเล่าหนามเตย เป็นเรื่องเล่าชะตาชีวิตคนเรา ผ่านเรื่องร้ายๆ บวกความจริงที่เกิดขึ้น ตัวละครจริงไปอยู่กับความเชื่อตรงนั้น สุดท้ายเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่ตอกย้ำตอกลิ้มความคิดให้กับชาวบ้าน เป็นประสบการณ์วัยเด็ก และตอนหลังมาเรียนในเมืองมีประสบการณ์ในเมือง อย่างน้าชัยผมเคยเจอตอนเด็ก ฉากก็เคยเจอตอนเด็ก เอามาผนวกกันมาโยงถึงตอนหลังที่มาเรียนในเมืองด้านวิทยาศาสตร์ มันมีศาสตร์หลายศาสตร์ ก็โยงว่าตำนานความเชื่อเกิดขึ้นจริงๆ ซ้ำๆ จะอธิบายโดยนำประสบการวัยเด็กมาผสานความคิดที่ผมเรียน

คุณไพลิน เสริมว่า คือเอาข้อมูล 2 ข้าง ประสบการณ์วัยเด็ก และประสบการณ์ในเมืองที่เจอมาประสานกัน ในที่สุดก็จบด้วยเรื่องความเชื่อ เรื่องการจบลงด้วยความคลุมเครือ ทำให้เกิดการตั้งคำถาม เป็นเรื่องปกติของเรื่องสั้น  ยิ่งทำให้คนอ่านตั้งคำถามมากเท่าไหน่ก็เป็นเรื่องดี บางเรื่องอาจจะปล่อยให้คนคิดเอง เรื่องจบแบบกระจ่าง จะไม่น่าสนใจ ถ้าจบแบบคลุมเครือจะดูมีเสน่ห์

            คุณวัชระ บอกว่าการจบแบบคลุมเครือมันทำให้เราคิด บางทีมีเรื่องแปลประหลาดเยอะแยะ การจบเรื่องสั้นจบแบบคลุมเครือมีเยอะ เปิดโอกาสให้คนอ่านได้คิด ไม่บังคบให้จบแบบนี้นะ เรื่องสอนให้รู้ว่าอย่างนี้นะเรื่องมันจะไม่มีเสน่ห์  เรื่องมันจะตายไป ไม่อยู่ในความทรงจำ ถ้าเราอ่านแล้วคิดถึงมันตลอดอาทิตย์ ผมว่ามันโอเคนะ

            คุณไพลิน ถามว่าเวลาที่หยิบมาเขียนก็จะประเด็นเล็กๆ ที่จบภายในหนึ่งวัน  เก็บไว้ประเด็นยังไง

            คุณวัชระ อธิบายว่า อย่างบางเรื่องเก็บมาจากประสบการณ์วัยเด็กมาเขียน เป็นโครงรื่องใหญ่ แต่ประสบการณ์ในเมืองที่อยู่กับนักคิดนักปรัชญา นั่งคุยกันกับพวกที่ทำงานร่วมกันได้เก็บมาสะท้อนประเด็น แต่ไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิด ไม่บอกว่าอันนั้นถูกนะผิดนะ แต่จะบอกให้รู้ว่าพวกเขาคิดยังไงกับสังคม อำนาจ ประชาธิปไตย มันจะออกมาในเรื่อง ตรงนี้มันจะมีประเด็นเล็กๆ เยอะ เรื่องเพศ เรื่องปัญญาชน ที่คิดว่าต้องเก่ง เรียนสูง บอกตัวเองว่าเป็นปัญญาชน แต่ความเป็นปัญญาชนมันมีปัญหาอยู่ คือนั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง แต่ไม่สนใจดูวิถีชีวิตของชาวบ้านเลย  คิดแต่ว่าจะแก้ปัญหาตามใจคุณ อย่างเรื่องเพศ เป็นเรื่องน่าคิดนะ เพราะชนชั้นกลางเรื่องแบบนี้มีเยอะ เราไปดูข่าวพวกข่มขืนชาวบ้าน ดูเป็นเรื่องคนละดับล่าง แต่เราไม่มาดูว่าชั้นกลางนี่แหละมีปัญหาเรื่องเพศเยอะมาก แต่ไม่เอามาเขียนมาตีแผ่ ผมได้เสนอไปบางเรื่อง สุดท้ายมนุษย์ทุกคนจะคิดถึงแต่ชาติญาณตัวเองเป็นหลัก มันอาจจะมาก่อนศีลธรรม มันอาจจะวูบในใจ แต่การแสดงออกอาจจะไม่ชัดเจน

            คุณไพลิน บอกว่าเรื่องที่คุณวัชระเอ่ยมา เรื่องปัญญาชนทำวิทยานิพนธ์ มันก็คลุมเครือ เรื่องนี้คณะกรรมการถกกัน เขาตกใจว่าปัญญาชน มันให้ตำรวจไปยิ่งคนธรรมดาได้ยังไง เขารับไม่ได้ เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องกำลังจะชี้ว่าคนนี้มันเลวอ่านแล้วเพลิน ทำให้เราเข้าไปอยู่ในเรื่อง แต่ก็ต้องระมัดระวัง เพราะบางทีคนอ่านรับสารผิด

            คุณวัชระ เสริมว่าคือเรื่องนี้อย่ากตีแผ่ว่า พวกนักคิด ปัญญาชน นักคิดในใจลึกๆ แต่ละคนก็มีเรื่องที่ไม่เปิดเผย ในเรื่องนี้เสียงปืนดัง ตำรวจยิงคนบ้าสองคนรึเปล่า ถกเถียงกัน ซึ่งในเรื่องไม่ได้บอกว่ายิงใคร กรรมการก็ไม่ยอม ถามว่าถ้าไม่ยิงแล้วทำมาทำไมเสียงปืน เป็นนัยยะว่าต้องยิง

            เสียงปืนดังสามนัด ปรากฏว่าปัญญาชนคนนี้ เขาไม่สนใจเลยว่า คนบ้าสองคนจะตาย แต่เขาได้วิทยานิพนธ์คืนแล้ว ไม่สนใจชะตากรรมของคนอื่นเรื่องจบไปอย่างนั้น ประเด็นการยิงตายไม่ตายอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ถ้าเราเข้าไปคุยกับเขาดีๆ ก็คงจะไม่มีปัญหา และสุดท้ายก็ไปยืมเครื่องมือของรัฐ ในเรื่องถ้าแก้ปัญหาเป็นก็เข้าไปคุยดีๆ แต่เขาไปตั้งป้อมไง วิเคราะห์ปัญหาสังคมคนพลัดถิ่นอะไรได้หมดเป็นฉากๆ แต่ไม่สามารถเอาวิทยานิพนธ์กลับคืนมาได้

            ผู้ดำเนินรายการ เสริมว่าคุณวัชระ ใช้วิธีเล่าไปเรื่อยๆ ให้คนอ่านรู้เองว่า ไอ้คนนี้วิเคราะห์ตัวเองไม่ได้ แต่วิเคราะห์คนอื่นได้ มันเป็นวิธีการเขียนสมัยใหม่  คนอ่านก็อ่านไปทือๆ ไม่คิดตาม

            คุณวัชระ บอกว่ามันมีคนถามว่า คนบ้า บ้าจริงมั้ย บางทีคนเราไปด่วนตัดสินไง

            คุณไพลิน อธิบายว่า ที่เขียนเป็นวิธีสมัยใหม่ เวลาเขียนเรื่องไป ไม่สรุปให้ชัดเจน ไม่เขียนชัดเจน เขียนเปิดปลาย คนตั้งคำถาม ทำไมเขียนอย่างนี้ คุณวัชระ บอกว่าให้คนอ่านวิเคราะห์เอง คนอ่านรุ่นหนึ่งจะรับไม่ได้เลยนะ บอกว่า “อ่าวคุณเป็นคนเขียนนิ ทำไมไม่รู้ ว่าบ้าหรือไม่บ้า” บางอย่างในสังคมเราก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่คลุมเครือของสังคมก็ทิ้งไว้ได้ เรื่องสั้นของวัชระ มันมีคนอ่านแล้วงงๆ เหมือนกัน ดังนั้นนักอ่านก็ต้องพัฒนาตนเองด้วย คุณไพลินทิ้งท้ายว่า เวลาที่เราเขียนเรื่องสั้นร้อยข่าวอาจจะถูกกลั่นมาได้เป็นเรื่องเดียวแล้วมันจะแรง

            ในช่วงท้ายของการสนทนา มีนักข่าวถามคุณวัชระว่า ทำงานทางศาลได้นำมาใช้ในงานเขียนหรือไม่

            คุณวัชระ อธิบายว่า ทำงานด้านกฎหมาย แต่เราไม่ชอบนิติศาสตร์เลย เกลียดมากชีวิตนี้จะไม่ข้องแวะกับกฎหมาย แต่ชีวิตเราแปลกไม่ชอบอะไรกลายเป็นว่าเราได้ไปอยู่ตรงนั้น ก็มองว่างานศาลก็มีเสน่ห์ ศาสตร์ของกฎหมาย ทำให้เรารู้ว่ากฎหมายก็มีเสน่ห์ ใช้อย่างถูกต้องมีคุณธรรมก็ดี ทำงานอยู่ 10 ปี ได้เจอคนร่วมงาน นำมาใส่ในงานเขียนด้วย แต่ถ้ามาเขียนเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมยากมาก งานศาลเขียนยากสุด

คือหลังจากได้รางวัลซีไรต์ มันรู้สึกเขียนงานลำบากหรือไม่ รู้สึกลำพองมากขึ้นหรือไม่ ต้องบอกว่าหลายคนคิดอย่างนั้นแต่สำหรับผม ยิ่งทำให้เราตัวเล็กเขาไปอีก บางทีเขิน การขึ้นเวทีกับนักเขียนเก่งๆ มันเขิน เราได้ซีไรต์เรื่องแรก มันก็กดดันมากๆ แต่หลังๆ มันก็เฉยๆ เราอยู่โลกความจริง ต้องเขียนงานต่อไป เราเป็นนักเขียนธรรมดา และสร้างงานชิ้นต่อไป ไม่ดีก็ไม่ว่า เอาแค่พออานได้

            วัชระ ยังฝากบอกนักข่าวว่า เอางานเขียนไปเป็นแรงบันดาล ใจ  ถ้ายังไม่พร้อมก็เป็นนักข่าวไป วันเสาร์อาทิตย์ ว่างๆ ก็เขียนเรื่องสั้นใส่โน้ตบุ๊คไปเรื่อย ทำทีละนิด เรามีงานประจำก็ทำไปงานเขียนเรื่องสั้นไปด้วยก็ได้  ก็ทำคู่ขนานกันไป ถ้าเรายังไม่พร้อมที่จะเป็นนักเขียนมืออาชีพ คิดว่าทุกคนเขียนได้

            ด้านคุณไพลิน ทิ้งท้ายว่า เขียนให้ได้อย่างที่เราอยากเขียน เป็นสุขที่สุด เวลาที่เขียนงาน เราต้องใจนักเลง อย่ามีความกลัวอยู่ไม่ได้ อะไรมีปล่อยให้เต็มที่ เขียนให้ดีอย่างที่อยากเขียนจะมีความสุข 

 

เรื่องราวดีๆเรื่องนี้มาจากอินเตอร์เน็ตมิใช่แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านสัมภาษณ์เอง