Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เสวนากับ ตุล ไวฑูรเกียรติ และ อังคาร จันทาทิพย์ โดย พอล เฮง

 

 
ไม่ได้รายงานข่าว เพราะมัวแต่วุ่นวายกับการเป็นเบ๊ (เบ๊เบื้องหลัง) ให้สมาคมใหญ่ๆ หนึ่งสมาคม เหนื่อย แต่อะไรก็ไม่เหนื่อยเท่าเวลาเราทำงานแล้วมีคนมาคอมเม้นต์แบบไม่รู้เรื่อง เฮ้อ …
 
เอาล่ะ มาว่าถึงข่าวคราววรรณกรรม ที่ไปแอบฟังมาตั้งนานแล้ว นั่นคือ เสวนาหัวข้อยากๆ  เรื่อง  หรือกวีนิพนธ์คือญาติอนาถาของบทเพลง จัดโดย นิตยสารเวย์ นำโดย อธิคม คุณาวุฒิ ร่วมกับกับ สำนักพิมพ์ไชน์ โดย วาด รวี ณ ร้านกาแฟเล็กๆ เวย์คาเฟ่
 
ร่วมเสวนาโดย ตุล ไวฑูรเกียรติ และ อังคาร จันทาทิพย์ ดำเนินรายการโดย พรเทพ เฮง
 
เปิดงานได้น่าสนใจ ด้วยการให้คนฟังเงี่ยหูฟังเสียงสำเนียงสุพรรณ ของ พิทักษ์ ใจบุญ จากโทรทัศน์ ในประเด็นเดียวกับหัวข้อเสวนา (แต่เราฟังไม่ค่อยออกอ่ะ ขออภัยค่ะ)
 
จากนั้น ถึงรายการของเวทีเสวนา
 
อังคาร จันทาทิพย์  กวีหนุ่มจากแผ่นดินที่ราบสูง อำเภอมัญจาคีรี ผู้มีผลงานรวมบทกวีนิพนธ์เล่มที่ 3 ‘ที่ที่เรายืนอยู่’  ก่อนหน้านี้กวีนิพนธ์ วิมานลงแดง ได้รับรางวัลจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ (รางวัลงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ) มาแล้ว
 
 
 อังคารเล่าถึงความเป็นมาแห่งกวีของเขา ว่าเติบโตมาจากเส้นทางสายวรรณกรรมและเพลงเพื่อชีวิต โดยเติบโตขึ้นจากการอ่านและการเข้าชมรมวรรณศิลป์ รามคำแหง อันเป็นที่มาของการเรียกขานว่าเป็นหนึ่งในกลุ่ม กวีหน้าราม
 
 
 ส่วนตุล นักร้องนำของวงดินดี้ชื่อดัง อพาร์ตเมนต์คุณป้า เล่าถึงการเขยนบทกวี ว่าเกิดจากความคิดที่ล้นเกินจากการแต่งเพลง ความคิดที่ตุลคิดว่ามันอิสระกว่าการจะแต่งเป็นเพลง ตุลยอมรับว่า เขียนบทกวี เมื่อยู่ในความเศร้า อึดอัด เหงา ไม่มีทางออก เพราะเวลาที่ตุลมีความสุข เมื่อนั้น ตุลจะไป “ปาร์ตี้” มากกว่าการนั่งเขียนบทกวี
 
 
 แม้ใครหลายคนเชื่อว่า การเขียนเพลง และการเขียนบทกวี ของตุล มาจากความคิดก้อนเดียวกัน แต่ตุลอธิบายเพิ่มว่า การเขียนเพลง ตุลจะเขียนเนื้อเพลงออกมาพร้อมกับทำนองเลย ในขณะที่บทกวีจะเป็นอิสระจากทำนอง
 
 
 ในมุมมองของหนุ่มนักดนตรีกวีอย่างตุล  มองว่าทั้งสอง เพลง และกวีเป็นเหมือนญาติสนิทที่มาด้วยกัน ทุกคนไม่ได้เป็นนักแต่งเพลง แต่ทุกคนมีความเป็นกวีเงียบๆ อยู่ในตัวเอง เพียงแต่อาจจะไม่ได้ร่ายความคิดออกมา
 
 
 ประเด็นของพื้นที่ของกวี กับพื้นที่ของเพลง ดูเหมือนเพลงจะมีพื้นที่มากกว่าบทกวี เพราะบทกวีมีพื้นที่ในหน้ากระดาษเท่านั้น ต่างจากการแสดงของดนตรี ตุลเสนอประเด็นว่า ในต่างประเทศมีการ “อ่านบทกวี” เป็นการแสดง ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมมาก และกวีหลายๆ คนก็มีอาชีพ “แสดงการอ่านบทกวี”  ซึ่งตอนนี้ตุล กับเพื่อน ที่ร้านกาแฟเล็กๆ ชื่อ cosmo ที่ อาร์ซีเอ ก็จัดการอ่านบทกวีขึ้นเป็นประจำ
 
 
 อังคาร ดูจะเชื่อมั่นในอำนาจของบทกวี  “บทกวีพาไปสู่บางอย่างที่เพลงพาไปไม่ได้ คือเชื่อว่างานศิลปะไปพาไปจุดจุดเดียวกัน แต่ทิวทัศน์ระหว่างทางไม่เหมือนกัน"
 
 
 แต่หากมองในแง่การตลาด แล้ว วรรณกรรมดูจะได้รับความสำคัญน้อยมาเสมอ
 
 
 "ย้อนดูประวัติศาสตร์ ก็ไม่มีจังหวะไหนที่กวีจะมายืนอยู่แถวหน้าในแง่ของยอดขายหรือได้รับความนิยม เป็นตลอดมา คือไม่ใช่เฉพาะบ้านเรา ต่างประเทศก็เป็นยอดพิมพ์ไม่เกิน 2-3 พัน เป็นธรรมชาติ ไม่ได้วิตกกังวลกับมัน"
 
 
 ดูเหมือนว่า หัวข้อของการเสวนา ที่ว่า “หรือกวีนิพนธ์คือญาติอนาถาของบทเพลง”  จะเป็นการตั้งหัวข้อที่ค่อนข้างตัดสินไปแล้วก็ตาม และผู้เสวนา ยากจะเถียงให้ชัดเจน ยากที่จะยืนยันความเท่าเทียม ยากที่จะเชื่อว่า กวีนิพนธ์ ใช่ญาติอนาถาของบทเพลง
 
 
 แต่เราเชื่อว่า ศิลปะแต่ละอย่าง ย่อมมีที่ทาง มีหน้าที่ของตัวมันเอง และมีผลกระทบต่อผู้รับสารที่แตกต่างกัน 
 คนที่ชื่นชอบกวีนิพนธ์ ย่อมมองเห็นมิติที่ลึกล้ำของกวี มากกว่า ในเพลง และคนที่ชื่นชมการฟังเพลง ย่อมนิยมเพลงมากกว่าอ่านบทกวี
 
 
 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือ เราจะทำอย่างไร ให้ “การอ่าน” เป็นที่นิยม ของคนรุ่นต่อไป เพราะการอ่าน ก็ย่อมสร้างการเขียน ไม่ว่า คุณจะเขียนเพลง หรือเขียนกวีนิพนธ์
 
เขียนขึ้นโดยท่าน : kwachuen
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.oknation.net