Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เล่มโปรด ของ กวีัซีไรต์ ศักดิ์สิริ มีสมสืบ

 


 
     “ สมัยผมเรียนศิลปะที่เพาะช่างฝึกฝนเขียนรูปจนเขียนดีขึ้น ทักษะดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไปหาอาจารย์จ่าง แซ่ตั้ง แกว่านี่มันคนอื่น นี่มันเรอนัวร์ นี่ปิกัสโซ นี่มันไอ้นั่นไอ้นี่ มันไม่ใช่เธอ โลกคือมหาวิทยาลัยที่กว้างใหญ่ ประโยคเดียวประกาศิต ผมลาออกเลย ”
 
     วิญญาณขบถของศักดิ์ศิริ มีสมสืบแสดงบทบาทตั้งแต่วัยหนุ่ม ภายหลังเมื่อเป็นผู้ใหญ่ในอาชีพครู เขาก็ได้ลาออกอีกครั้ง เพื่อมาทำหน้าที่ “ ครูที่แท้จริง ” อย่างที่เขาว่า
     ปัจจุบันนอกจากเลี้ยงลูกวัย 3 ขวบแล้วศักดิ์ศิริ มีสมสืบทำงานศิลปะทั้ง 3 สาขา คือวรรณกรรม จิตรกรรม และคีตศิลป์ ใบแบบฉบับของตนเอง ซึ่งเขาเล่าว่าทั้ง 3 อย่าง มี “ หัวใจ ” อันเดียวกัน นั่นคือนำเสนอเรื่องความดีและความงาม
 
     งานวรรณกรรมของศักดิ์ศิริมีหลากหลายประเภททั้ง กวีนิพนธ์ นิยาย และเรื่องสั้น เนื้อหาส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเยาวชนและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม นำเสนอผ่านมุมมองบริสุทธิ์ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย สอดแทรกด้วยอารมณ์ขัน
 
     เขาได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย อาทิรางวัลซีไรท์ , รางวัลพระพิฆเนศวร์ , รางวัลปราศราหุล , และล่าสุดคือรางวัลศิลปาธร สาขาวรรณศิลป์ ของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย(สศร.) เงินรางวัล 1 แสนบาทที่ได้ เขาบอกว่าอย่างแรกที่จะทำคือเอาไปซื้อ “ สี ” มาวาดรูป เพราะปัจจุบันใช้สีผสมอาหาร(ซองละ 3-5 บาท)อยู่
 
     เมื่อถามถึงหนังสือที่ชอบ ศักดิ์ศิริเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้
 
     “ ชอบหนังสือกอไก่มั้ง ป้ากับปู่ปู้อีจู้มั้ง หรือนิทานร้อยบรรทัดมั้ง หนังสือวรรณกรรมอื่นๆก็อ่านแบบคนโต อ่านแบบพอจะรู้ว่ามันมีโครงสร้างยังไง กลวิธียังไง อ่านเอาความรู้ เชิงวิเคราะห์ ความประทับใจก็จะต่างกันไป
 
     “ ชอบหนังสือเด็กเพราะขณะนั้นเราอ่านด้วยจิตใจจริงๆ ไม่ได้อ่านเพราะอยากรู้ ไม่ได้อ่านเพราะเราจะเอาอะไรจากมัน อ่านเพราะมันเป็นความสุขที่ได้อ่าน ตื่นเต้น เป็นโลกใบใหม่ จินตนาการโลดแล่น ทำงานได้เต็มที่ แต่เมื่อโตขึ้นมาเราใช้ความคิดอ่านเสียมาก เราเท่าทันมันมากขึ้น ในวัยเด็กเราอ่านทั้งชีวิตจิตใจ อ่านด้วยอารมณ์ ความรู้สึกที่แท้จริง เป็นความทรงจำที่งดงาม 

     ศักดิ์ศิริออกตัวว่าเขาเป็นคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือมาก ไม่ถึงกับเป็นหนอนหนังสือ พอใจที่จะอ่านก็อ่าน แต่เล่มหนึ่งที่เขาชอบคือ สิทธารถะ ของ เฮอร์มานน์ เฮสเส มันสอดคล้องกับวัยหนุ่มของเขา คือวัยแสวงหา “ บทกวีของปรัชญาชีวิต คาลิล ยิบราน บางบททำให้เราเข้าใจชีวิตได้แจ่มชัดขึ้น ลึกซึ้งมากขึ้น ละเอียดอ่อนมากขึ้น หนังสือเล่มนั้นก็เป็นหนังสือในดวงใจ เช่นบท ‘ เมื่อความรักเรียกร้องเธอจงตามมันไป แม้ว่าทางจะขรุขระและชันเพียงไร เมื่อปีกของมันโอบอุ้มกาย เธอจงยอมทน ไม่ว่าหนามแหลมที่ซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ ' เขาพูดถึงเรื่องความรัก ความรักที่มีพลังแต่ต้องถูกทดสอบด้วยความเจ็บปวดเสมอ กว่าที่มันจะให้รสที่หอมหวาน เหมือนข้าวสาลี ถูกเอามาแกะเปลือกออก บดและร่อน จนเป็นแป้ง ถูกทุบตี กระแทกกระทั้น กว่าจะออกมาเป็นขนมปัง มันทดสอบเรา ทำให้เราเข้าใจความรักมากขึ้น เปลี่ยนชีวิตโดยทำให้เราลึกซึ้งกับความรักที่เรามีอยู่ เห็นว่ามันคืออะไร ทำให้มันเจริญงอกงามขึ้นได้ มันหยั่งรากลงไปในจิตใจเราได้ ถ้าเราไม่เข้าใจมันเราอาจจะถอนมันทิ้งในวันหนึ่งก็ได้ ถ้าเราเข้าใจและเห็นคุณค่าของมันเราก็จะรักษามันไว้ บทกวีบทนั้นทำให้เราเห็นเรื่องนี้

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : เว็บไซด์ ประพันธ์สาส์น