“เราต้องการการระเบิดทางปัญญา” (2)ตอนจบ
.jpg)
แล้วคุณมองตลาดแม็กกาซีนเมืองไทยปัจจุบันอย่างไร
มันเป็นโมโนคัลเจอร์แม็กกาซีนไปแล้ว ทุกคนมุ่งผลิตหนังสือเพื่อเอาใจกลุ่มที่ตัวเองสมมุติว่ามีกำลังซื้อ ผู้หญิง คนทำงาน อาจจะเป็นคนชั้นกลางที่อยากได้อะไรเต็มไปหมดโดยไม่รู้ตัว หรือไม่อยากได้แต่ว่ามีคนเอามายัดเยียดให้ นิตยสารผู้หญิงผุดขึ้นเต็มแผงไปหมดเพราะคิดว่าผู้หญิงคือผู้ที่มีกำลังซื้อและโฆษณาก็จะลงตรงนี้ ขณะที่หนังสือประเภทอื่นถดถอยลงไป นิตยสารแต่งบ้านเกิดขึ้นมากมายโดยคิดว่าคนไทยเริ่มมีรสนิยมอยากจับจ่าย มีการซื้อหัวแม็กกาซีนนอกเข้ามามากมายโดยไม่ดูสภาพแวดล้อมจริงในบ้านเรา รสนิยมเราก็จะเหมือนตะวันตกเข้าไปทุกที โดยที่เราไม่รู้ว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายเงิน ๒ แสนบาทเพื่อซื้อกระทะหรือเตาไฟฟ้าที่ไม่สามารถทอดไข่เจียวที่เรากินทุกวันได้ เพื่อสิ่งเหล่านี้เราถูกครอบงำด้วยสื่อเหล่านี้เต็มไปหมด ในขณะที่แม็กกาซีนในตลาดล่างก็ไปเล่นกับคนซึ่งไม่สามารถเสพปัญญาที่มีความละเมียดขึ้นมาได้ ด้วยการขายข่าวซุบซิบของดาราให้เขา ผูกโยงตัวเองกับระบบโทรทัศน์ ขายความเท็จอันบันเทิงให้ผู้คนเสพกันอย่างเมามัน คนชั้นกลางเสพความฝันอันบรรเจิด คนชั้นล่างก็เสพความเท็จอันบันเทิง นักการเมืองก็เสพอำนาจวาสนาอันฟู่ฟ่าชั่วครู่ชั่วคราว เล่นกันอยู่ตรงนั้น พื้นที่ทางปัญญาที่เหลืออยู่ผมไม่แน่ใจว่าเราเก็บมันเอาไว้ตรงไหนของประเทศนี้
สาเหตุที่ตลาดแม็กกาซีนในเมืองไทยมีไม่กี่ประเภท เพราะโฆษณาเชื่อว่ามีผู้อ่านมาก และหนังสือพวกนี้ก็ต้องพึ่งโฆษณายิ่งกว่าคนอ่านเสียอีก
ถ้าพูดถึงแม็กกาซีนระดับล่างเขาอยู่ได้โดยประชาชนทั่วไป อยู่ได้ด้วยความไม่รู้ของคน เอาความเท็จอันบันเทิงไปขายคนก็มีความสุข ในประวัติศาสตร์ยุโรปก็ดำเนินมาเช่นนี้แหละ ในยุคเริ่มต้นของแทบลอยด์ที่เกิดในอังกฤษ อเมริกา ทำมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าของสื่อระดับกลางต้องการขยายฐานการผลิตมาสู่ตลาดระดับล่าง เขาก็ต้องผลิตหนังสือพิมพ์หัวสีขึ้นมาเพื่อให้ความบันเทิงแก่กรรมกร เกิดวัฒนธรรมหัวสีขึ้น ในขณะที่คนชั้นกลางก็ยังมีสื่อคุณภาพอยู่ ในอังกฤษเขาทำขึ้นมาพร้อมกันทุกระดับ แต่เราไปรับเขามาแบบปลอมๆ ผลิตความเท็จอันบันเทิงให้แก่คนระดับล่างในสังคมไทยเพื่อให้เขาไม่ต้องไปยุ่งเรื่องอื่น ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับอังกฤษที่จะทำให้กรรมาชีพไม่ต้องไปยุ่งเรื่องอะไร ในขณะที่คนชั้นกลางไทยมันเกิดความกระอักกระอ่วน อยากไปเป็นคนชั้นสูงก็ไม่ได้เพราะมันโดนกดจากโครงสร้างอยู่ จะไปเป็นคนชั้นล่างคนชั้นกลางก็ไปดูถูกเขา เราอยากมีรสนิยมแบบคนชั้นสูง อยากใช้แบรนด์เนม เฟอร์นิเจอร์ชั้นดี เราทำได้ไม่ทั้งหมดเราก็ต้องมาเสพสื่อแบบนี้เพื่อให้มีมายาภาพอันงดงาม แต่ต้นทุนการผลิตสื่อมันไม่พอกับราคาที่เราจ่ายค่าหนังสือ วงการโฆษณาจึงต้องเข้ามามีอิทธิพลเพื่อสนับสนุนความฝันของคนชั้นกลางต่อไป โดยคนชั้นกลางหารู้ไม่ว่าเขาได้เพิ่มราคาเข้าไปในสินค้า ๑๐- ๑๕ เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นได้ถูกบวกเข้าไปแล้วด้วยการใช้สื่อแบบนี้เพื่อโฆษณาสินค้า ยกตัวอย่างตอนยังวัยรุ่น ผมอยู่บ้านนอกซื้อแชมพูขวดละ ๑๐ บาทที่ร้านโชห่วย ตอนนี้แชมพูขนาดเดียวกันราคาเพิ่มเป็น ๑๐๐ บาท แพงขึ้น ๑๐ เท่า แชมพูเหล่านี้ใช่ไหมที่มาซื้อโฆษณาหน้าแรกของนิตยสารผู้หญิง แชมพูเหล่านี้ใช่ไหมที่ถูกห่อหุ้มอย่างดีแล้วขายกับนิตยสารให้ผู้หญิงตื่นตะลึงว่าแชมพูนี้จะทำให้เส้นผมตรงสลวย ทุกบาททุกสตางค์ที่บริษัทผู้ผลิตแชมพูจ่ายไปกับค่าโฆษณามันไปเก็บคืนกับผู้บริโภคทุกคน
โฆษณามีส่วนในการกำหนดนโยบายแม็กกาซีนเมืองไทยจริงไหม
มันจริงอยู่แล้ว โดยเฉพาะนิตยสารผู้หญิง มันเป็นการทำงานร่วมกันว่าปกเล่มหน้าเราจะเอาอะไร ในเนื้อหาจะมีอะไรบ้าง ที่น่าสงสารคือทุกวันนี้ กอง บ.ก. ของนิตยสารก็ทำตัวเป็นพวกครีเอทีฟไดเร็กเตอร์หรือก๊อบปี้ไรเตอร์ของวงการโฆษณา เพื่อทำหน้าโฆษณาที่เรียกว่า advertorial๑ ในขณะที่คนวงการโฆษณาลดบทบาทตรงนี้ไปเป็นการสั่งงานแทน คือไปเป็นเจ้านายอีกทีหนึ่ง สั่งให้กอง บ.ก. ทำแทน เป็นการใช้แรงงานของคนในวงการนิตยสารผลิตงานให้คุณแล้วคุณก็เก็บค่าหัวคิวไป โดยคุณได้ส่วนต่างสูงมากจากวิชาชีพของคุณ แล้วคุณภูมิใจมากกับสิ่งที่คุณได้ ในขณะที่วงการนิตยสาร นักเขียนที่ผลิตเรื่องมีรายได้น้อยมาก ด้านหนึ่งเขาต้องเขียนเรื่อง ในอีกด้านหนึ่งต้องมาทำแอดเวอทอเรียลให้คุณ เขาได้เงินเดือนกันกี่บาท ราคาค่าเรื่องของนักเขียนหรือคอลัมนิสต์มันคงที่มากี่ปีแล้วในประเทศนี้ ขณะที่เงินเดือนคนในวงการโฆษณาสูงขึ้นไปเท่าไร แล้วเจ้าของนิตยสารก็ยังรู้สึกชอบธรรมที่จะจ่ายในราคานี้อยู่ ไม่ว่าจะหัวเล็กหรือใหญ่แค่ไหน โดยการอ้างว่าต้นทุนมันสูง แต่ต้นทุนที่สูงคุณเอาไปจ่ายด้านอื่นหมด คุณไม่จ่ายให้คน คุณไม่ลงทุนด้านนี้ คุณทำหน้าปกสวยๆ ได้ทุกแบบ คุณเคลือบหน้าปกอาบมันได้ คุณจ่ายค่าแฟชั่นชุดหนึ่งหลายหมื่นบาทได้ แต่คุณไม่เคยจ่ายค่าต้นฉบับดีๆ หลักหมื่นบาทได้เลย แล้วก็มาบ่นว่าไม่มีคอลัมนิสต์ดีๆ เกิดขึ้นในประเทศนี้ ไม่มีเรื่องดีๆ มาลง คำถามคือมันมีอะไรที่จะกระตุ้นให้คนมาเขียนหนังสือบ้าง ในเมื่อผลตอบแทนเป็นแบบนี้ ในขณะที่วงการอื่นมีการผลิตความคิดสร้างสรรค์มีผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่วงการหนังสือคุณบอกนักเขียนว่าอยู่กันไปเถอะอย่างพอเพียง วงการอื่นอยากจะได้ความหรูหราบนความพอเพียงของนิตยสาร ใครทำนาบนหลังใครทุกวันนี้ นี่มันทุนนิยมสามานย์ขั้นละเมียดหรือเปล่า
“ทุกวันนี้กอง บ.ก. ของนิตยสารทำตัวเป็นพวกก๊อบปี้ไรเตอร์ของวงการโฆษณา เพื่อทำหน้าโฆษณา advertorial ในขณะที่คนวงการโฆษณาลดบทบาทไปเป็นการสั่งงาน คือใช้แรงงานของคนในวงการนิตยสารผลิตงานให้คุณแล้วคุณก็เก็บค่าหัวคิวไป ในวงการหนังสือคุณบอกนักเขียนว่าอยู่กันไปเถอะอย่างพอเพียง วงการอื่นอยากได้ความหรูหราบนความพอเพียงของนิตยสาร ใครทำนาบนหลังใครทุกวันนี้”
นิตยสาร Vogue เล่มล่าสุดในอเมริกา หนา ๘๔๐ หน้า อัดแน่นด้วยโฆษณา ปรากฏการณ์นี้อาจจะเป็นความต้องการของแม็กกาซีนเมืองไทยหรือไม่
ถ้าไปดูแม็กกาซีนเมืองไทยหลายฉบับช่วงปลายปีที่มีการทุ่มงบประมาณโฆษณา จะพบว่าความหนามันกำลังเดินไปสู่ตรงนั้น ทุกคนก็อยากไปตรงนั้น มันคือกำไรสูงสุด ผมไม่ได้ก่นด่าอะไรนิตยสารแฟชั่น มันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องผลิตสิ่งสวยงามขึ้นมา กรณี Vogue มันหนา ราล์ฟ ลอเรน ไม่ได้ลงโฆษณาหน้าเดียวเหมือนกับในบ้านเรา มันลงทีเป็นชุด ๘ หน้า วงการเสื้อผ้าดังๆ จะเลือกลงแฟชั่นชุดใหม่ๆ ของตัวเองทีละ ๘-๑๐ หน้า แต่มาลงในเมืองไทยจะมาชิ้นเดียว Vogue มันเหมือนไบเบิลทางวงการแฟชั่นของอเมริกา เขาก็ลงเต็มที่ ตัวคูณมันมาก หนังสือก็หนา มันเป็นการหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมแฟชั่นในบ้านเขาที่จะต้องทำมาหากินแข่งกับชาวจีนที่ผลิตสินค้าแบบเดียวกันในราคาที่ถูกกว่าร้อยเท่า คุณจะทำยังไง ก็ต้องคงแบรนด์อันเข้มแข็งของคุณไว้ด้วยสื่อแบบนี้ สร้างอิทธิพลมาครอบงำจิตใจคนเอเชียที่ไปลอกคุณมาเพื่อให้เขาจ่ายแพงกว่าร้อยเท่า นี่คือวิธีของตะวันตกที่จะทำให้พวกเขาสามารถอยู่ได้ในสถานการณ์นี้ ปัญหาคือเราไปเอาของเขามาทั้งดุ้น คนผลิตนิตยสารของไทยไปเอารูปแบบการผลิตเข้ามาโดยลืมไปว่าเราไม่มีแฟชั่นเฮาส์หรือแบรนด์เนมที่ใหญ่ขนาดนั้นที่จะสนับสนุนโฆษณา อุตสาหกรรมการผลิตกระเป๋า สิ่งทอของเรายังไม่มีตัวไหนเลยที่สามารถไปซื้อโฆษณาใน Vogue ได้ ผมเห็นใน เวิลด์ออฟอินทีเรียส์ มีแบรนด์ไทยแบรนด์เดียวที่ซื้อโฆษณาได้คือของ จิม ทอมป์สัน ซึ่งก็เผอิญเป็นฝรั่งอีก เรารับแพตเทิร์นการทำสื่อเขาเข้ามาโดยไม่ดูว่าฐานอุตสาหกรรมแฟชั่นของเราเข้มแข็งขนาดไหน และในตะวันตกเขามีความหลากหลายของหนังสือเยอะมาก ไม่จำเป็นต้องหนา ๘๔๐ หน้าเขาก็อยู่ได้ แต่เราไม่ได้เลือกสื่ออื่นที่มีความหลากหลายพอในการผลิตปัญญาให้คนของเราไปแข่งขันกับเขาได้ ผมไม่ได้ประณาม Vogue ในแง่นั้น ผมพยายามบอกว่าคุณต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมอะไรในชีวิตจริง และคุณต้องสู้กับอะไร
———————————————
๑ advertorial เป็นรูปแบบโฆษณาประเภทหนึ่งในสื่อสิ่งพิมพ์ โดยมีเนื้อหาและการจัดวางคล้ายกับหน้าบทความในสื่อสิ่งพิมพ์นั้นๆ
การที่หนังสือพิมพ์ วอลล์สตรีตเจอร์นัล ถูกเทกโอเวอร์จากนักธุรกิจอย่าง รูเพิร์ต เมอร์ด็อก เป็นตัวบอกอะไรกับโลกของสื่อในปัจจุบัน
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ วอลล์สตรีตเจอร์นัล คือตระกูลแบนครอฟต์ มีสมาชิกประมาณ ๖๐-๗๐ คน คนกลุ่มนี้เป็นปัญญาชน ตระกูลนี้ไม่เคยยอมรับคำเสนอซื้อเลยในประวัติศาสตร์ เราก็คิดว่านี่คือความเข้มแข็งทางจริยธรรมของตระกูลปัญญาชนแห่งสหรัฐอเมริกา แต่วันหนึ่งเมื่อเมอร์ด็อกเข้ามาเสนอซื้อ วอลล์สตรีตเจอร์นัล ด้วยราคาสูงมาก ในที่สุดสมาชิกส่วนมากก็ยอมรับเงินก้อนนี้เพื่อที่จะโอนย้ายถ่ายมือ โดยตั้งข้อแม้มากมายเพื่อปลอบใจตัวเองว่ามันจะเป็นเหมือนเดิมได้ต่อไปในอนาคต เช่นบอกว่าจะมีบอร์ดที่ดูแลกองบรรณาธิการแยกต่างหาก ไม่มีการแทรกแซงกอง บ.ก. ซึ่งในความเป็นจริง ในประวัติศาสตร์การทำงานของเมอร์ด็อกมีครั้งไหนบ้างที่เขาเทกโอเวอร์สื่อแล้วไม่แทรกแซง คำตอบคือไม่มี เพราะที่ผ่านมาเขาใช้สื่อในการสนับสนุนพรรคการเมือง ในอังกฤษเขาสนับสนุนแทตเชอร์ แต่เขาไม่ใช่พวกอนุรักษนิยม พอ โทนี แบลร์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เขาก็สนับสนุนแบลร์ต่อเพื่อที่จะสามารถสร้างสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับนักการเมือง รวมทั้งการสนับสนุนประธานาธิบดีบุชด้วย ดังนั้นการที่สื่อยักษ์ใหญ่อย่าง วอลล์สตรีตเจอร์นัล จะมีความเป็นอิสระอยู่หรือไม่ นี่เป็นคำถามใหญ่ และผมคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในหนังสือพิมพ์ที่ถือว่าเป็นเสาหลักของสื่อในสหรัฐฯ เสาต้นนี้กำลังสะเทือน เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าแม้แต่เสาหลักก็โดนซื้อได้ถ้ามีราคาสูงพอ
ปรากฏการณ์แบบนี้กำลังจะเกิดในเมืองไทยไหม
สื่อเมืองไทยอยู่ในยุคที่น่าสนใจมาก ถ้าเราดูเฉพาะหนังสือพิมพ์มันกำลังอยู่ในยุคผลัดใบ สามสิบปีก่อน คนรุ่น คุณสุทธิชัย หยุ่น คนรุ่นคุณขรรค์ชัย บุนปาน คนรุ่นคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กำลังก่อร่างสร้างตัวในธุรกิจสื่อแนวใครแนวมัน ตอนนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปเรียบร้อยหมด เป็นอาณาจักรเล็กบ้างใหญ่บ้างแตกต่างกันไป และบุคลิกก็ต่างกัน วันนี้ถึงเวลาที่คนรุ่นก่อร่างสร้างตัวกำลังเดินลงด้วยการเกษียณ จากไปโดยธรรมชาติ หรือวางมือ คนรุ่นต่อไปกำลังจะสานต่อ คนรุ่นนี้ไม่ได้เติบโตมากับประวัติศาสตร์ในสมัยเมื่อ ๓๐ ปีก่อน แต่เขาโตมากับกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา จากกระแสตะวันตก จากความเป็นจริงของชีวิตสังคมไทย รูปแบบการทำธุรกิจที่ยังอิงกับความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าของสังคมไทยจะยังอยู่ไหม หรือมันจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่องค์กรธุรกิจแบบเต็มตัวเพื่อแข่งขันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ นักบริหารองค์กรรุ่นต่อไปเหล่านี้จะบริหารมันอย่างไร ระหว่างความงามขององค์กรแบบไทยๆ ที่สร้างข้อด้อยในการแข่งขัน กับความสามารถในการแข่งขันและทำกำไรขององค์กรแบบต่างประเทศที่มันทำลายคุณค่าที่ทำให้คุณอยู่มาได้จนทุกวันนี้ ท่ามกลางสื่อที่เกิดขึ้นมากมายในยุคนี้ คุณมีคู่แข่งเยอะมาก และงบโฆษณามันกระจาย มันไม่สามารถจะรวมอำนาจได้อย่างเดิมแล้ว สิ่งที่มันน่ากลัวคือภายใต้สถานการณ์ที่ต้องแข่งขันและอยู่รอด คุณจะรักษาคุณค่าดั้งเดิมเอาไว้อย่างไร ความท้าทายมันอยู่ตรงนี้ หรือสื่อก็ไม่ต่างกับธุรกิจอื่นๆ เราไม่ต้องไปเรียกร้องความสูงส่งของสื่ออีกต่อไป
“อาชีพของผมคือการตั้งคำถาม ผมเป็นสื่อมวลชนอิสระ มีหน้าที่ตั้งคำถามที่น่าสนใจให้คนที่เกี่ยวข้องตอบ แต่ผมก็ไม่มีภูมิปัญญามากพอที่จะตอบทุกคำถามที่ตัวเองตั้งได้ ผมจึงจำเป็นต้องตั้งคำถามในที่สาธารณะเพื่อให้ปัญญารวมหมู่ของสังคมตอบ”
ในด้านรูปแบบของสื่อจะเปลี่ยนไหม อย่างที่ นิวยอร์กไทมส์ บอกไว้ว่าอีก ๑๐ ปีหนังสือพิมพ์จะหมดความหมาย ทุกอย่างจะพุ่งมาที่อินเทอร์เน็ต
ตอนนี้มันเปลี่ยนแล้ว กระดาษคงไม่หมดไปแต่บทบาทจะลดลง คำถามนี้เคยถามกันในตอนที่มีวิทยุเกิดขึ้น ว่าการอ่านจะหมดไปไหม แต่กระดาษมันก็รอดมาได้ ตอนมีทีวีเราก็ถามกันว่าหนังสือพิมพ์จะหมดไปไหม มันก็รอดมาได้ วันนี้มีอินเทอร์เน็ต คำถามเดิมก็เกิดขึ้นอีก คนที่อยู่กับการอ่านมาตลอดเขาก็คงเชื่อว่ามันจะไปต่อได้ หนังสือมันก็จะคงอยู่คู่กับโลก ถามว่าหนังสือพิมพ์จะยังมีอยู่ไหม ก็น่าจะมีอยู่ เพียงแต่บทบาทและรูปแบบการใช้งานมันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นสื่อต้องปรับตัว วันนี้คนคาดหวังอะไรกับกระดาษ ถ้าเย็นนี้คนที่กำลังกลับบ้านรู้ข่าวเท่ากับคนที่กำลังจัดหน้าหนังสือพิมพ์กรอบเช้าที่โรงพิมพ์ เช้าวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์วางแผง เขาคาดหวังที่จะอ่านอะไรในหนังสือพิมพ์ เท่ากับที่เขาได้อ่านในเว็บหรือที่ฟังวิทยุในรถเมื่อเย็นวานไหม คนจะต้องการอะไรที่มันมากขึ้นกว่าในอินเทอร์เน็ต วิทยุ รายการทีวี หนังสือพิมพ์อาจจะไม่สามารถขายข่าวได้อีกต่อไป มันอาจจะต้องการอะไรที่ลึกกว่านั้นหรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หนังสือเล่ม รวมถึงสื่อทั้งหมดจะต้องปรับตัว
กรณี นิวยอร์กไทมส์ ก็ยังตอบได้ไม่ชัด มีนักศึกษาเขียนจดหมายไปหาบรรณาธิการ นิวยอร์กไทมส์ ว่าในหอพักของเขาคนเลิกอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว แต่เข้าไปอ่านในเว็บไซต์ของ นิวยอร์กไทมส์ ผมคิดว่าเราจำเป็นที่จะต้องรักษาทั้งสองด้านเอาไว้ด้วยกัน ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีคุณภาพ และสร้างกอง บ.ก. ออนไลน์ขึ้นมาเพื่อตอบคำถามคนกลุ่มใหม่ แต่โฆษณามันยังไม่สามารถเคลื่อนมาลงออนไลน์ทั้งหมดได้ ถ้าหันมาทำออนไลน์อย่างเดียวมันก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงองค์กรได้ มันยังจำเป็นต้องทำไปด้วยกัน ถ้าเข้าไปอ่านในเว็บ ไฟแนนเชียลไทมส์ ของอังกฤษจะพบว่าเขาลงข่าวให้อ่านเฉพาะย่อหน้าแรก ถ้าอยากอ่านต่อต้องจ่ายเงิน โดยสมัครออนไลน์แล้วคุณจะได้รหัสเข้าไปอ่านข่าวออนไลน์ฉบับเต็ม เป็นต้น ดังนั้นเรากำลังอยู่ในยุคที่ต้องปรับตัวว่าจะอยู่ภายใต้สมดุลใหม่ได้อย่างไร
ในทัศนะของคุณมองสังคมไทยหลังการรัฐประหาร ๑ ปีที่ผ่านมาอย่างไร
ก่อนเกิดรัฐประหารมันเหมือนสังคมไทยหาทางออกไม่ได้ สังคมไทยไม่รู้ว่าจะออกจากแรงปะทะและการเผชิญหน้าได้อย่างไร เมื่อรัฐประหารเกิดขึ้นเลยคิดว่าอย่างน้อยมันจะมีทางออกจากปัญหาเฉพาะหน้าให้เราเดินหน้าต่อไปได้ แต่ ๑ ปีที่ผ่านมามันสะท้อนให้เห็นแล้วว่าเรายังหาทางออกไม่ได้ ถามว่าคณะทหารที่ทำการรัฐประหารมีอำนาจจริงอย่างที่ตัวเองสมมุติว่ามีหรือเปล่า คำตอบมันชัดแล้วก็คือคุณไม่มีอำนาจเด็ดขาดขนาดนั้น เอาแค่การไหลเข้าออกอย่างรวดเร็วของเงินตราต่างประเทศคุณก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว คุณจะจัดการค่าเงินบาทแข็งอย่างไร ปัญหาวิกฤตการณ์ซับไพรม์๒ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา คุณจะจัดการกับมันอย่างไร ปัญหาที่จีนสามารถผลิตสินค้าราคาถูกส่งไปขายทั่วโลกได้ ต่อให้ คมช. มีอำนาจปกครองแผ่นดินไทยโดยประกาศกฎอัยการศึกไปทั่ว คุณก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้แต่เว็บ You Tube คุณก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว อำนาจที่คุณเคยคิดว่ามีมันไม่มีเหมือนเดิมอีกต่อไป คุณแค่พยายามสร้างองค์อำนาจในพื้นที่แคบๆ ที่เรียกว่าประเทศไทยขึ้นมาแล้วคิดว่าจะจัดการได้ วันนี้มันก็ตอบโจทย์แล้วว่ารัฐประหารทำให้ประเทศหยุดชะงัก ไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมาได้ แม้ว่าจะเอาท่านผู้เฒ่าที่มีประสบการณ์มากมายจากระบบราชการไทยเข้ามาจัดการ มันก็พิสูจน์แล้วว่าท่านผู้เฒ่าก็เริ่มสึกกร่อนไปตามกาลเวลา ผมยังแปลกใจที่มีท่านผู้เฒ่าหลายคนในสังคมไทยออกมาวิจารณ์ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ โดยลืมไปว่าเมื่อปี ๒๕๔๐ สิ่งที่ตัวเองพูดนั้นผิดหมด ท่านผู้เฒ่าที่อยู่ในแวดวงการเงินทั้งหลายลืมประวัติศาสตร์ของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง คิดว่าคนรุ่นหลังจำไม่ได้ ขอโทษครับ ผมจำได้นะครับ ท่านพูดอะไรไว้บ้าง กรุณาไปทบทวนอดีต และถ้าจะพูดกรุณาผลิตภูมิปัญญาใหม่ๆ ออกมา อย่าเอาแต่เทศน์หรือเที่ยวสั่งสอนชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นลักษณะของผู้ใหญ่ในสังคมไทยที่ชอบเทศน์แต่ไม่ผลิตภูมิปัญญาใหม่ หากินอยู่กับอดีตอันรุ่งโรจน์ของตัวเองโดยไม่ได้สร้างสิ่งใหม่ๆ ที่จะเป็นคำตอบสำหรับอนาคตของสังคมไทย
————————————-
๒ วิกฤตการณ์ซับไพรม์ (Subprime) คือปัญหาวิกฤตสินเชื่อในตลาดโลก อันมีสาเหตุมาจากหนี้เสียของสินเชื่อบ้านที่ธนาคารปล่อยกู้แก่ผู้มีเครดิตทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐานในสหรัฐอเมริกา และลุกลามไปทั่วโลกจนทำให้ธนาคารหลายแห่งล้มละลาย
ผมคิดว่าสังคมไทยต้องเจอความจริงของชีวิตสอน เมื่อคุณเห็นว่ารัฐประหารมันทำอะไรไม่ได้ มันจะสอนเองว่าคราวหน้าจะกล้าทำไหม พลังการรัฐประหารกับอำนาจที่ยึดมาได้มันก็ไม่ได้มากเท่ากับในอดีตอีกแล้ว อีก ๑๐ ปีข้างหน้าอำนาจของทหารก็จะลดลงเรื่อยๆ คุณจะหาทางลงลำบากมาก จะลงเล่นการเมืองก็ไม่ได้ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะประกาศว่าจะเล่นการเมืองไหม คุณไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว อำนาจมันถูกกระจายไปยังทุกส่วนของสังคมอย่างที่คุณไม่รู้ตัว เว็บไซต์เดียวก็สามารถถล่มคุณได้แล้ว ถึงคุณปิดเว็บเมืองไทย มันก็ไปถล่มคุณจากต่างประเทศ เวลานี้อำนาจมันไม่ได้อยู่ในมือคุณอีกต่อไปแล้ว คุณเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตในทุกวันนี้หรือไม่
แสดงว่าในทัศนะของคุณการรัฐประหารที่ผ่านมาล้มเหลว
ผมไม่ได้มองเป็นขาวเป็นดำ ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว แต่มองว่ามันอยู่ในจุดที่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ยากมาก เรากำลังเผชิญปัญหาที่หนักหน่วงมาก แล้วสื่อมวลชนไทยก็ไม่เคยมองอะไรที่สูงกว่าการเผชิญหน้า สามสี่เดือนที่ผ่านมาเราเสียพื้นที่ข่าวกับ ๒ เรื่อง หนึ่ง ใครจะมาเป็น ผบ.ทบ. เราคุยกันเพื่ออะไรวะ เพื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๐ จะได้รู้ว่าพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้เป็น ผบ.ทบ. คนใหม่ แล้วถามว่ามันเปลี่ยนประเทศตรงไหน สอง เรื่องพรรคมัชฌิมาจะรวมกับพรรครวมใจไทยได้ไหม พรรคเพื่อแผ่นดินไทยจะเป็นอย่างไร สุดท้ายมันก็เหมือนแกงโฮะ ที่ผ่านมาเราต่อสู้มากมายเพียงเพื่อที่จะเห็นคุณสมัคร สุนทรเวช ได้มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน โดยมีหมอเลี้ยบ (นพ. สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) เป็นเลขาธิการพรรค ดังนั้นจะพบว่าเมื่อหันไปทางซ้ายสุดๆ มันจะหมุนกลับมาเจอทางขวา แล้วในที่สุดเราก็พบว่าเรามองอะไรรอบตัว วนไปรอบๆ เป็นวงกลม สุดท้ายเราก็พบว่าเราไม่มีอุดมการณ์จริงๆ หรอก เรากำลังหลอกตัวเอง
นับแต่รัฐประหารมาจนถึงวันนี้ได้สร้างความแตกแยกในหมู่ปัญญาชนอย่างรุนแรง ในฐานะที่คุณรู้จักนักวิชาการทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดี มองอย่างไรกับเรื่องนี้
ผมคิดว่านักวิชาการไปติดกับการรัฐประหารกับ คมช. โดยมองมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ต้องแบ่งเป็น ๒ ข้าง เอาไม่เอา รับไม่รับ แต่กลับไม่ได้มองเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือปัญหาเรื่องกระแสโลกาภิวัตน์ที่ซัดเข้าใส่สังคมไทย ถ้ามองกันยาวๆ ในทางประวัติศาสตร์ตรงนี้เป็นเพียงจุดหนึ่งที่เราต้องก้าวผ่านไปให้ได้ แต่เรายังก้าวข้ามไปไม่ได้ กระบวนการขัดแย้งแบ่งขั้วคือการหาทางออกที่จะก้าวข้ามมันไป เพียงแต่เผอิญคนที่อยากจะก้าวข้ามมัน คนที่ผลิตปัญญาที่จะพาสังคมก้าวผ่านเผอิญไปติดกรอบวิธีคิด อุดมคติ อุดมการณ์ที่ตัวเองยึดถือ ไม่ว่าคุณจะมีหรือไม่มีก็ตามที คุณติด คุณไม่สามารถมองให้พ้นจากความคิดความเชื่อที่คุณยึดถืออยู่เพื่อไปสู่สิ่งใหม่ได้ ตอนนี้เราใช้ปัญญาทั้งหมดทางวิชาการที่เรียนรู้มาเข้าไปจับสิ่งที่เราให้ค่าอย่างมากมาย อธิบายกันอย่างเอาเป็นเอาตายว่าในทางทฤษฎีกูถูกมึงผิด คำถามคือแล้วมึงเถียงกันเรื่องนี้อย่างเดียวทำไม ทำไมไม่คิดเรื่องใหม่ที่จะเดินต่อไปข้างหน้าได้ คุณบอกว่ารัฐประหารเป็นสิ่งไม่มีค่า ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทย แต่การเถียงกันแทบตายก็เป็นการให้ค่ากับมันไม่ใช่หรือ
สมมุติวันนี้ไฟมันไหม้บ้านคุณไปแล้ว คุณจะยังมานั่งอยู่ในบ้านเพื่อดูว่ามันไหม้จริงหรือเปล่า หรือคุณจะเก็บสิ่งที่มีค่าที่สุดในบ้านที่จำเป็นต่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เดินออกไปแล้วคิดว่าจะเอาไงต่อ ผมไม่ได้หมายถึงให้คุณทิ้งบ้านเก่า คุณยังมีเวลากลับมาจัดการกับมันได้ และคุณต้องกลับมาจัดการด้วย เพราะมันเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของคุณ แต่คำถามที่ยิ่งใหญ่กว่าคือคุณจะอยู่อย่างไรต่อไป ความเป็นมนุษย์คือการอยู่กับปัจจุบันแล้วมองไปในอนาคต แน่นอนคุณไม่สามารถไปสู่อนาคตได้ถ้าคุณไม่ชำระอดีต แต่คุณไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่จะสามารถทำทุกเรื่องพร้อมกันได้ คุณต้องจัดลำดับความสำคัญของชีวิต อดีตต้องสะสางเพื่อก้าวไปข้างหน้า ใครมีหน้าที่ก็ต้องทำเพื่อให้ความจริงปรากฏ แต่ไม่ใช่เรียกร้องให้สังคมใช้พลังที่มีอยู่จัดการกับอดีต แล้วเรียกร้องคนทั้งสังคมให้จัดการกับอดีตอย่างเดียวโดยไม่เหลือพื้นที่ให้กับคนที่มองปัจจุบันและอนาคตพูดเลย ถามว่าคุณจะอยู่อย่างไร นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่มีหน้าที่จัดการกับอดีต แต่มันคือประเทศ คือสังคม คุณต้องจัดการทุกอย่างไปพร้อมกัน จัดการอดีต พูดเรื่องปัจจุบัน มองไปในอนาคต คุณต้องอนุญาตให้คนที่พูดถึงปัจจุบันและมองไปในอนาคตมีพื้นที่ทางปัญญาให้ถกเถียง ไม่ใช่ผูกขาดบอกว่าใครไม่จัดการกับอดีตคนนั้นไม่มีรากฐานทางประวัติศาสตร์ แบบนั้นคุณจะโดนไฟไหม้อยู่ในบ้านก่อนจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ผมย้ำว่าไม่ใช่ไม่ให้จัดการอดีต แต่มันต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกคนผลิตปัญญาร่วมของสังคมขึ้นมา ปัญหาตอนนี้เราเอาปัญญาของสังคมทั้งหมดไปถกเถียงกันในเรื่องที่ไม่ควรเสียเวลามากเกินไป ปัญญาใหม่ๆ เลยไม่เกิด
นักวิชาการอาจพูดได้ว่าคนเหล่านี้เป็นพวกปฏิบัติอย่างเดียว เลยไม่สนใจการถกเถียงทางปัญญา ก็เพราะนักวิชาการไม่ต้องทำมาหากินในการมีชีวิตอยู่ ถ้านักวิชาการเป็นนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ หรือคนหาเช้ากินค่ำที่ต้องรับแรงปะทะต่างๆ ไม่มีรั้วมหาวิทยาลัย ไม่มีเงินทุนวิจัยแล้วใช้เวลาว่างในการสร้างสรรค์ทางปัญญาอย่างเดียว วิธีคิดคุณจะเปลี่ยนไป คุณจะรู้ว่าคุณต้องอยู่ให้รอดด้วยตัวเอง คุณจะไม่กล่าวหาการทำมาหากินและการมองชีวิตที่เป็นจริงเลวร้ายจนเกินไปนัก คุณจะไม่ทำให้กระบวนการเหล่านี้เป็นสิ่งด้อยค่า และทำให้กระบวนการทางปัญญาเป็นสิ่งสูงส่ง ปัญญาสูงส่งไม่ได้ถ้าชีวิตคนยังเลวร้ายอยู่ ถ้าครอบครัวคุณเดือดร้อน ลูกไม่มีเงินไปโรงเรียน เศรษฐกิจพัง คนในสังคมอยู่ไม่ได้ แล้ววันนั้นเราจะมีปัญญาไปทำอะไร ปัญญามันกินไม่ได้ในชั่วโมงนั้น มันจะเป็นสิ่งหรูหราเกินไปในวันที่คนในสังคมไม่มีอะไรจะกิน ถ้าคุณไม่หาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้วทำให้สังคมเคลื่อนต่อไปได้
โดยสรุปแล้วอาชีพสื่อมวลชนของคุณให้อะไรแก่ชีวิตบ้าง
ตอนทำนิตยสาร OPEN ผมเด็กมาก อายุแค่ ๒๙ ปี เข้ามาทำธุรกิจที่ว่ากันว่ายากที่สุดในโลก แถมยังทำหัวข้อที่ยากเพราะคนทั่วไปเขาไม่อ่านกัน ตอนเราเข้ามาทำไม่ได้ทำเพราะความคิดทางธุรกิจเลย ทำเพราะเราอยากทำ แล้วมันไม่รู้จะทำยังไง ทำแบบลูกทุ่ง ทำตามความเชื่อ ทำตามความคิดของตัวเอง ลองผิดลองถูก ด้วยความมัน ความสด เขาสั่งห้ามอะไรเราทำหมดด้วยความอยากลอง เราทำลายล้างทฤษฎีไปเยอะมาก ผ่านไปๆ เราโตขึ้นจากการทำงานนั้น ชีวิตเราได้ลองผิดลองถูกผสมกันไป มันทำให้ด้านนอกและด้านในชีวิตเราโตขึ้น เรารู้สึกว่ามันมีคุณค่า จนวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าไม่ต้องใช้สื่อนิตยสารอีกต่อไปแล้ว เราก็วางมันลง เหมือนกับชีวิตเราที่วันหนึ่งก็ต้องตายไป เพียงแต่เราเลือกที่จะตายกับสื่อตัวนี้หรือว่าเราจะเติบโตด้วยสื่อตัวอื่นต่อไป จากนั้นเราก็มาลองทำเว็บดูเล่นๆ บ้าง เพื่อความบันเทิง ความสนุกสนาน เป็นการทำในหมู่เพื่อนพ้อง ทำกันเป็นชุมชน ไม่ใช่เพื่อธุรกิจ มันเหมือนวัดแห่งหนึ่ง วัดที่ใครอยากมาก็มา คุณอยากมาทำการกุศลก็เข้ามา มีปัญญา มีความรู้ให้ ไม่มีความรุนแรง แล้วเราก็มาทำหนังสือที่คิดว่าเป็นภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อน จากการที่เราลองผิดถูกมา ผลที่ได้มันไม่ใช่แค่รายได้ มันทำให้เราโตทั้งด้านนอกและด้านในของชีวิต ถ้ากระบวนการทำงานเหล่านี้มันทำให้เราโตและสามารถที่จะรักษาความสุขความพอดีในชีวิตต่อไปได้ผมก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ ส่วนตัวผมไม่ได้คาดหวังให้มันโตกว่านี้ ไม่เคยตั้งเป้าเรื่องยอดขาย ไม่เคยตั้งเป้าเรื่องกำไร ไม่เคยคิดว่าต้องทำกี่เล่ม อาจดูเป็นนักธุรกิจที่ไม่ค่อยจะได้เรื่อง ผมเรียนบัญชีมาแต่ก็ไม่เคยทำงบดุลเลย มีแค่เงินหมุนเวียนธรรมดา
ทุกวันนี้อาชีพของผมคือการตั้งคำถาม ผมเป็นสื่อมวลชนอิสระ มีหน้าที่ตั้งคำถามที่น่าสนใจให้คนที่เกี่ยวข้องตอบ แต่ผมก็ไม่มีภูมิปัญญามากพอที่จะตอบทุกคำถามที่ตัวเองตั้งได้ ผมจึงจำเป็นต้องตั้งคำถามในที่สาธารณะเพื่อให้ปัญญารวมหมู่ของสังคมตอบ มันจำเป็นที่จะต้องมีคำถามดีๆ โยนเข้ามาในวงเพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคม มองเห็นปรากฏการณ์แล้วเรามาช่วยกันอธิบาย หาทางออกร่วมกัน คำตอบอันโดดเดี่ยวของใครคนใดคนหนึ่งไม่สามารถสร้างฉันทามติร่วมของสังคมที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ มันจำเป็นจะต้องมีอะไรที่แหลมคมออกมาแล้วทุกคนมาช่วยกันขัดเกลาให้มันกลมกล่อม แล้วเราใช้ยาตัวนี้แก้ปัญหาที่มันปั่นป่วนสังคมไทยและสังคมโลกอยู่ โครงสร้างที่เป็นอยู่นี้มันทำให้คนรุ่นหลังมีทางออกน้อยลงทุกที และเราจะอยู่ได้ยากขึ้น สังคมจะเดินสู่ทางตันถ้าเราไม่ระเบิด หรือถ้าเราไม่ถอยให้กันบ้าง มันจะชนกัน
ศตวรรษที่ ๒๑ เป็นศตวรรษที่โลกเรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตในทุกด้าน เราจะไปสู่ศตวรรษที่ดีขึ้นสำหรับคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเราในบั้นปลายได้หรือไม่ คำตอบอยู่ที่การกระทำของเราเอง สำหรับสังคมไทยวันนี้เราต้องการการระเบิดทางปัญญา ไม่ใช่ระเบิดในภาคใต้หรือในกรุงเทพฯ ถ้าเราผลิตปัญญาได้ ความรุนแรงจะลดลง สังคมจะสงบสุขมากขึ้น แต่ถ้าเราไม่จุดระเบิดทางปัญญา เราจะต้องเผชิญหน้ากับลูกระเบิดจริงๆ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 272 > ตุลาคม 50 ปีที่ 23