“เราต้องการการระเบิดทางปัญญา” (1)

ในแวดวงคนทำสื่อรุ่นใหม่ คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เจ้าของสำนักพิมพ์ openbooks
เมื่อประมาณสิบปีก่อน ภิญโญก่อตั้งนิตยสาร OPEN ขึ้นในโลกหนังสือ และเป็นที่กล่าวขวัญมาถึงบัดนี้ว่า เป็นสื่อทางความคิดด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอันแหลมคมของคนหนุ่มสาว แม้ปัจจุบันจะต้องปิดตัวลงด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีเว็บไซต์ชื่อ onopen.com มาแทนที่ ขณะเดียวกันสำนักพิมพ์แห่งนี้ยังผลิตหนังสือเพื่อกระตุ้นต่อมปัญญาให้แก่ผู้คนในสังคมตลอดมา
openbooks จึงเป็นสำนักพิมพ์ไม่กี่แห่งที่ยังยืนหยัดผลิตหนังสือมีคุณภาพออกมาอย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางกำลังใจของบรรดาคอหนังสือที่ปรารถนาให้สำนักพิมพ์แห่งนี้อยู่ได้อย่างมั่นคง
โดยอาชีพ ภิญโญเป็นนักสัมภาษณ์ตัวยง เรียกได้ว่าเป็นมือสัมภาษณ์อันดับต้นๆ ของเมืองไทย
ภิญโญเริ่มต้นชีวิตบนเส้นทางคนทำสื่อมาตั้งแต่เป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ นิตยสาร GM หนังสือพิมพ์ เอเชียไทมส์ และเป็นมือสัมภาษณ์ให้แก่นิตยสารชื่อดังของเมืองไทยหลายเล่ม ปัจจุบันนอกจากเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์และคอลัมนิสต์แล้ว ยังหันมาจัดรายการวิทยุ “เปิดสมอง ลองตั้งคำถาม” ทาง Fat Radio คลื่น FM ๑๐๔.๕ ทุกวันเสาร์เวลาสองทุ่ม ซึ่งก็ยังเป็นรายการสัมภาษณ์บุคคลที่น่าสนใจในแวดวงต่างๆ
ด้วยอาชีพนี้เขาจึงมีโอกาสพบปะพูดคุยกับผู้คนหลากหลายอาชีพ ไม่ว่านักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ นักวิชาการ ศิลปิน ดารา นักร้อง พ่อค้า เอ็นจีโอ ไปจนถึงชาวนาชาวไร่หลายร้อยคนทีเดียว การได้สัมภาษณ์บุคคลเหล่านี้เอง บ่มเพาะให้เขาได้เข้าใจโลกในหลายมิติ
บทความจำนวนมากที่เขียนขึ้นต่างกรรมต่างวาระชี้ให้เห็นว่า ภิญโญสามารถเชื่อมโยงและวิเคราะห์ความคิดความอ่านของผู้คนจำนวนมากในสังคมได้อย่างน่าสนใจ
ภิญโญเคยบอกว่าเขาเป็นคนชอบตั้งคำถาม เป็นนักถามโดยอาชีพ แต่สำหรับครั้งนี้ เขายินดีเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์ และยินดีตอบทุกคำถามของ สารคดี
มาลองอ่านความคิดของชายหนุ่มผู้ถือว่าเป็น “ไอดอล” ของคนทำหนังสือรุ่นใหม่ ที่สามารถแทรกตัวอยู่บนพื้นที่เล็กๆ ในธุรกิจหนังสือปัจจุบัน
คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นจริงไหม
คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้นจริงตามสถิติ แต่คำถามที่ต้องถามต่อคืออ่านหนังสืออะไร ถ้าเราเดินเข้าไปในร้านหนังสือจะเห็นชัดว่าหนังสือที่ได้รับการวางอยู่ด้านหน้าสุดเป็นหนังสือประเภทไหน ซึ่งนั่นเป็นเครื่องสะท้อนว่าคนไทยอ่านหนังสือแบบไหน หนังสือแนวเอาใจวัยรุ่น หนังสือที่สร้างความหวือหวาให้ชีวิต หนังสือที่ให้ความบันเทิงในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมชาติของการอ่านในช่วงต้นๆ ของชีวิต แต่หลังจากนั้นควรมีหนังสือที่จะนำพาเราไปสู่ความลุ่มลึกของชีวิตมากขึ้น เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้นก็ต้องการปัญญาที่ลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อจัดการกับปัญหาชีวิตที่ลึกซึ้ง รวมทั้งปัญหาโลกที่ลึกซึ้งไปตามกัน หากระนาบของการอ่านยังอยู่เท่าเดิมในขณะที่ชีวิตมันไปสู่ความลึกซึ้งมากขึ้น เผชิญปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น แล้วเราจะเอาภูมิปัญญาที่ไหนจัดการกับปัญหาเหล่านั้น
ประเทศที่เจริญแล้ว ไม่ว่าญี่ปุ่น อเมริกา ก็มีหนังสือประเภทบันเทิงเริงรมย์ให้คนซื้ออ่านมาก บ้านเราก็ไม่ต่างกันมิใช่หรือ
หนังสือประเภทนั้นในต่างประเทศมีเยอะจริง แต่อีกด้านเขาก็มีหนังสือประเทืองปัญญาที่ลุ่มลึกไม่น้อยไปกว่ากัน และที่ต่างจากเมืองไทยคือหนังสือเนื้อหาหนักๆ ในต่างประเทศมันยังมีที่วาง สังคมของเขายังให้ค่ากับหนังสือประเภทนี้ ดูได้จากร้านหนังสือเชนสโตร์ขนาดใหญ่ (ร้านหนังสือที่มีสาขาหลายแห่ง) ก็ยังมีที่วางสำหรับหนังสือประเภทนี้ ร้านหนังสือในต่างประเทศไม่ได้มีเพียงชั้นเดียวเหมือนร้านหนังสือส่วนใหญ่ในเมืองไทย ไม่ได้เป็นห้องเล็กๆ ภายในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ที่ทำให้ต้องเลือกวางหนังสือที่ขายดีที่สุดเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด และไม่ได้ถูกรูปแบบของการค้าปลีกในเมืองไทยที่ร้านหนังสือเชนสโตร์ต้องผูกอยู่กับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จากต่างประเทศ ซึ่งมันบังคับไปโดยปริยายว่าต้องเลือกวางหนังสือประเภทนี้เพื่อทำกำไรให้ได้มากที่สุดต่อพื้นที่
ร้านหนังสือในอังกฤษจะมีอย่างน้อย ๒-๓ ชั้น หรือลงใต้ดินอีกชั้น หนังสือที่ไม่ได้รับการวางในชั้นล่างจะถูกวางในชั้น ๒ หรือ ๓ ดังนั้นเรายังสามารถหาหนังสืออัตชีวประวัติ การเมือง ประวัติศาสตร์ หรือหมวดหนังสือที่มีเนื้อหาซับซ้อน มีความหลากหลายได้ในชั้นอื่นๆ ไม่ต้องพูดว่าชั้นล่างก็ไม่ได้มีหนังสือประเภทบันเทิงเริงรมย์เพียงอย่างเดียว เรายังสามารถเห็นหนังสือการเมืองที่ชั้น ๑ ของร้านวอเตอร์สโตนส์ หรือหนังสือที่มีความลึกซึ้งทางปัญญา กระทั่งหนังสือจัดบ้าน จัดสวนที่มีความหลากหลาย ไม่ใช่หนังสือขายดีจะชี้นำการจัดร้านหนังสือได้ แต่เขาสามารถจัดการกระจายพื้นที่ในร้านเพียงชั้นเดียวให้แก่ความหลากหลายของหนังสือประเภทต่างๆ
ถ้าเราอยากรู้ว่าคนประเทศนั้นเป็นอย่างไรให้เดินเข้าไปดูที่ร้านหนังสือ ผมเดินเข้าไปในร้านเอเชียบุ๊คส์เมืองไทยกับเดินเข้าร้านวอเตอร์สโตนส์ที่อังกฤษ พบว่าการจัดชั้น จัดหมวดหมู่หนังสือต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่อังกฤษเวลาไปเดินหาหนังสือประเภทเดียวกับที่วางในเอเชียบุ๊คส์ในไทยจะหายากมาก ไม่ใช่ว่าเอเชียบุ๊คส์ไม่ดี เพียงแต่มันกำลังสะท้อนว่าคนไทยอ่านอะไร ซึ่งมันเป็นปรากฏการณ์คนละอย่างกับในอังกฤษ ในร้านหนังสือที่อังกฤษ เราไม่มีทางเจอหนังสือหมวดธุรกิจประเภทฮาวทูมากมายขนาดที่มีในร้านหนังสือบ้านเรา คนอังกฤษไม่มีทางอ่านภูมิปัญญาสำเร็จรูปประเภททำอย่างไรจะรวยเร็วชั่วข้ามคืน หนังสือเหล่านี้ไม่มีทางขายดี เขามีปัญญาที่จะเสพหนังสือประวัติศาสตร์ธุรกิจ เสพข้อมูลพื้นฐานเพื่อนำไปขบคิดเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพากูรูที่ไหนให้มาสรุปให้เป็นข้อๆ แต่อังกฤษก็สามารถครองโลกมาได้เป็นเวลาหลายร้อยปี
ตลาดหนังสือหมวดออกแบบ หมวดตกแต่งบ้านก็ไม่ได้ใหญ่มากเท่าเมืองไทย สังคมไทยนิยมการบริโภครูปภาพ เพราะเนื้อหาอาจจะยากกว่าในการเสพ เราถึงชอบจำรูปภาพและนำมันมาใช้โดยตรง โดยลืมบริบทที่อธิบายรูปแบบอันเป็นสิ่งจำเป็นต้องรู้ ต้องเข้าใจ มันจึงสะท้อนผ่านงานออกแบบของบ้านเรา สะท้อนวิธีทำธุรกิจ ทั้งหมดนั้นอยู่ในร้านหนังสือ ถามว่าใครที่เดินเข้าไปซื้อหนังสือในเอเชียบุ๊คส์ ก็คือชนชั้นกลาง คนที่เรียกตัวเองว่านักคิด นักออกแบบ นักธุรกิจรุ่นใหม่ คนที่มีกำลังซื้อ แล้วสิ่งที่คุณซื้อมันสะท้อนวิธีคิด วิธีเอามาใช้ในการทำงานของคุณอย่างไร ถ้าวิธีคิดแบบนี้มันโอบอุ้มประเทศให้เดินมาได้ในช่วงหนึ่ง ในที่สุด ปี ๒๕๔๐ เราพบว่าประเทศเราพังไปด้วยวิธีคิดแบบนี้ ถ้าเชื่อว่า you are what you read แล้วคุณยังจะเชื่ออีกหรือว่ามันจะทำให้คุณรอด ถ้าเกิดวิกฤตขึ้นอีกในปีนี้ คุณมีภูมิปัญญาเพียงพอหรือไม่ในการแก้ปัญหาและเอาตัวรอด ด้วยการอ่าน การกิน การบริโภคเพียงเท่านี้
แสดงว่าประเภทหนังสือในตลาดหนังสือบ้านเราเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของคนในสังคม
มันก็เหมือนละครทีวี เราพูดกันมากว่าทำไมละครไทยเป็นแบบนี้ ก็มีคำตอบทุกครั้งว่าคนดูชอบแบบนี้เลยต้องทำละครตอบสนองคนดู คนทำหนังสือก็อาจจะตอบคำถามนี้เช่นกันว่า เราต้องทำหนังสือแบบนี้เพราะตลาดต้องการแบบนี้ คำถามคือถ้าเราจะนำพาสังคมและประเทศไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น เราจะยอมให้รสนิยมตลาดกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างของประเทศขนาดนี้หรือ
ถ้าคุณเชื่อว่าคุณภาพตลาดหรือคนส่วนมากในประเทศดีพอมันก็เป็นไปได้ แต่ปัญหาคือเราอยู่ในโลกที่ไม่เท่าเทียมกัน การศึกษาไม่เท่าเทียมกัน การพัฒนาไม่เท่ากัน ในโลกตะวันตกมีประวัติศาสตร์การศึกษามายาวนานหลายร้อยปี จึงมีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะสร้างปัญญาให้คนในประเทศ มันถึงอนุญาตให้รสนิยมตลาดกำหนดการทำงานของสื่อต่างๆ ได้ เขาเชื่อใจตลาดได้ กระนั้นก็ไม่มีประเทศไหนที่ปล่อยให้กลไกตลาดครอบงำทรัพยากรทางปัญญาทั้งหมด เพราะเขาเห็นถึงอันตรายและการบิดเบือนของมัน แต่ประเทศเราซึ่งระดับการศึกษายังไม่เข้มแข็งเท่า แล้วเราอนุญาตให้ตลาดกำหนดทิศทางการนำประเทศ โดยมีกลุ่มธุรกิจ กลุ่มทุนใช้ความอ่อนด้อยของตลาดเป็นข้ออ้าง เรายังมั่นใจอีกหรือว่ามันจะนำประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถ้าดีจริงเราคงไม่ต้องส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศกันมากมายขนาดนี้หรอก
ตัวอย่างง่ายที่สุดคือเราต้องการรายการโทรทัศน์ที่ดี ตอนนี้ทุกคนเริ่มจะเห็นว่าวิธีการให้การศึกษาประชาชนที่ดีที่สุดคือผ่านสื่อโทรทัศน์ เพราะมันเข้าถึงทุกครัวเรือนและคนไทยเลือกที่จะใช้เวลาว่างไปกับการดูโทรทัศน์ ถ้าเราเปลี่ยนรายการช่วงเวลาไพรม์ไทม์ รวมไปถึงเวลาข่าวของเมืองไทยให้มีคุณภาพ มันจะยกระดับการศึกษา ความเข้าใจโลกและชีวิตของคนไทยได้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ถามว่าทำไมตอนนี้รายการข่าวไทยจึงเป็นอย่างนี้ ทำไมจบข่าวต้องเป็นละครเพื่อความบันเทิง ก็เพราะโทรทัศน์มันถูกทำให้เป็นธุรกิจอย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าของสินค้าที่มาลงโฆษณาเป็นผู้ชี้นำว่า ต้องมีผลตอบแทนจากการลงทุน ต้องมีคนดูมากที่สุดจึงยอมลงโฆษณาให้ รายการที่ดีไม่มีเรตติงจึงแทรกตัวเข้าไปในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ไม่ได้ แม้กระทั่งช่วงเวลาหลังจากนี้ก็อยู่ไม่ได้ เมื่ออยู่ไม่ได้ก็ไม่มีใครยอมทำเพราะต้นทุนสูงมาก ไม่มีใครอยากทำรายการแล้วเจ๊ง รายการดีๆ มันจึงไม่เกิด รัฐบาลก็ไม่มีภูมิปัญญาพอที่จะมาทำรายการแบบนี้และทำให้มันสนุกและอยู่รอดได้ วันนี้รัฐก็เก็บค่าเช่าสัมปทานอย่างเดียว ปล่อยให้บรรดาบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ที่ผลิตสินค้าเข้ามาครอบงำปัญญาคนในประเทศผ่านการให้เลือกตามรสนิยมที่พวกเขากำหนด ดังนั้นมันเลยเปลี่ยนไม่ได้ เพราะมันผูกกันเป็นลูกโซ่ รัฐบาลมาเก็บค่าต๋ง บริษัทก็เข้ามาหากินกับการกำหนดรสนิยมในการบริโภค ผู้ผลิตรายการก็อยู่ได้ด้วยการกินส่วนต่าง ประชาชนคนไทยก็กลายเป็นเหยื่อ เลยไม่ไปไหนกันทั้งประเทศ ดังนั้นรายการโทรทัศน์เมืองไทยมันจึงสะท้อนไปถึงการเมืองและการศึกษาในบ้านเรา เราไม่สามารถพูดเรื่องทีวีเรื่องเดียวโดยไม่พูดถึงนโยบายรัฐบาลในเรื่องการจัดการสื่อ ไม่สามารถพูดเรื่องรายการโทรทัศน์ใดๆ โดยไม่พูดถึงการยกระดับการศึกษาของคนในสังคมไทยได้
ถ้าคุณไปเป็น ผอ. สถานีโทรทัศน์จะทำรายการทีวีตามอุดมคติได้หรือ
มันไม่ได้แก้ตรงที่ให้ผมไปดำรงตำแหน่งอะไรสักอย่าง แล้วมีวาสนาไปสั่งการเปรี้ยงปร้างอย่างนั้น สังคมไทยต้องเรียนรู้การยกระดับจิตสำนึกขึ้นพร้อมกัน แก้ปัญหาไปด้วยกัน แต่ถามว่าจะให้ใครเริ่ม ก็ต้องเป็นผู้ที่กุมนโยบาย ผู้นำรัฐบาล ไม่อย่างนั้นเราจะมีรัฐบาลไปเพื่ออะไร เราเลิกมีรัฐบาลกันดีไหมให้ประชาชนอยู่กันเอง การที่เรายังมีรัฐบาล มีนายกฯ มีนักการเมือง ก็เพื่อให้ทำหน้าที่แทนเรา ปัญหาตอนนี้คือพวกเขาไม่ทำ มันเป็นวิกฤตนโยบายของประเทศ แม้ว่าตอนนี้จะมีการแย่งกันเป็นรัฐบาล แต่ก็ไม่มีใครบอกว่าเป็นแล้วจะทำอะไร แม้จากกลุ่มนักการเมืองที่ก้าวหน้าที่สุดในสังคมไทย ไม่มีใครบอกว่าภาระเร่งด่วนคืออะไร จะปฏิรูปสื่ออย่างไร ไม่มีการพูดเรื่องวิกฤตทางการศึกษา ทุกคนพูดกันแต่เรื่องจะตั้งรัฐบาล จะอยู่ได้ยาวไหม ชิงตำแหน่งอย่างเดียวแต่ไม่ชิงว่าจะลงมือทำอะไรหลังจากได้รับเลือกตั้งเข้ามา ในประเทศที่ประชาชนเข้มแข็งเขามีการใช้พลังประชาชนกดดันนักการเมืองให้ทำอะไรบางอย่างโดยไม่สามารถที่จะใช้นโยบายเดิมอีกต่อไปแล้ว
“สังคมไทยเหมือนสี่แยกที่รถทุกคันมาเจอกัน แล้วไม่มีใครยอมถอยให้กัน ทุกคนก็นั่งตากแอร์อยู่ในรถ ตำรวจจราจรผู้คุมกฎของประเทศก็คอยดูแต่ว่าใครจะล้ำเส้น ถ้าวันนี้เกิดหายนะขึ้น ภูมิปัญญาและประสบการณ์ของสังคมไทยจะรับมือได้หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ ง่ายๆ ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ สังคมไทยกลับแก้ด้วยการผุดซิตี้คอนโดขนาด ๓๐ ตารางเมตร ราคาล้านต้นๆ แล้วคนกรุงทั้งหมดก็ยอมจ่ายต้นทุนตรงนี้”
ยกตัวอย่างอังกฤษ การเมืองเขาเข้มแข็งพอที่จะกดดันให้ โทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ทำการปฏิรูปนโยบายหลายอย่างเมื่อเข้ารับตำแหน่ง แต่เมื่อแบลร์ส่งทหารไปอิรักโดยไม่ฟังเสียงประชาชนอังกฤษและรัฐสภา ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนอังกฤษ ดังนั้นเมื่อ กอร์ดอน บราวน์ เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ต้องคืนอำนาจการตัดสินใจเข้าสู่สงครามอิรักให้ประชาชนผ่านทางรัฐสภา ว่าต่อไปจะต้องฟังเสียงสภาและประชาชน แต่ในเมืองไทยไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณทักษิณมาแล้วก็จากไป ขณะที่นักการเมืองรุ่นใหม่ก็ไม่มีพันธสัญญาอะไรต่อประชาชนว่าจะทำการเมืองให้ดีขึ้น ไม่นำประเทศไปสู่จุดวิกฤตอีก ในเชิงนโยบายมันต้องมองภาพใหญ่ถึงจะขับเคลื่อนสังคมไปได้ แต่ถ้ามองเฉพาะจุดแล้วแยกส่วนกันทำมันไปไหนไม่ได้ ตอนนี้สังคมไทยเหมือนกับสี่แยกที่รถทุกคันมาเจอกันแล้วไม่มีใครยอมถอยให้กัน ทุกคนก็นั่งตากแอร์อยู่ในรถ ไม่ยอมเปลืองตัวลงจากรถมาโบกมาจัดการว่าทำอย่างไรให้การจราจรเคลื่อนที่ไปได้ กูนั่งในรถดีอยู่แล้ว ฟังเพลงฆ่าเวลา มีโทรศัพท์มือถือก็โทร. คุยกับคนที่อยู่ไกลออกไป ป้อนข้าวลูกในรถ ทุกคนบอกไม่เป็นไร แต่รถก็ยังติดอยู่สี่แยก ไปไหนไม่รอด ไม่มีใครยอมลงมาบอกว่าให้ใครสักคนถอยไปนิด แล้วใครจะถอย หรือทุกคนจะถอย จะได้เคลื่อนกันต่อไปได้ ตำรวจจราจรผู้คุมกฎของประเทศก็ยืนโด่เด่อยู่ตรงนั้น คอยดูแต่ว่าใครจะล้ำเส้น ล้ำมาก็เก็บค่าปรับ เขียนใบสั่ง แต่ก็ไม่โบกไม่ห้าม ที่ว่าเกียร์ว่างก็เป็นแบบนี้
มีโอกาสที่ทุกคนจะลงมาบอกให้ช่วยกันถอยไหม คุณมองโลกในแง่ร้ายไปไหม
ในประวัติศาสตร์ของโลกผมว่ามันต้องไปถึงจุดหายนะก่อน มันไม่มีอะไรสอนมนุษย์ได้ดีกว่าหายนะกรรม คนไทยเหมือนเป็นคนหัวอ่อน แต่ไม่ยอมเชื่อจนกว่าจะประจักษ์กับสายตาและเห็นว่ามันเกิดขึ้นจริง ความตกใจจะทำให้ลุกขึ้นมาคิดวิธีแก้ปัญหา ถามว่าถ้าวันนี้เกิดหายนะขึ้นกับสังคมไทย ไม่ว่าจะรุนแรงหรือละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง สิ่งที่สังคมไทยสั่งสมมา ภูมิปัญญาและประสบการณ์ของสังคมไทยที่ผ่านมาจะรับมือและแก้ปัญหาหลังเกิดเหตุการณ์ได้หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ สังคมไทยเคยแสดงออกซึ่งภูมิปัญญาในการแก้ไขปัญหา ๓ จังหวัดภาคใต้หรือไม่ ผมยังไม่เคยเห็นใครผลิตปัญญาแก้ปัญหาที่ซับซ้อนขนาดนี้ออกมาได้ ไม่เห็นว่ารัฐบาลทักษิณทำได้ เอาแค่รัฐบาลทหาร อำนาจเต็มมือยังทำอะไรไม่ได้ สถานการณ์กลับแย่ลง ต่อให้รัฐบาลหน้าก็แก้ไม่ได้ อย่าว่าแต่แก้เลย แค่เสนอปัญญาที่แหลมคมออกมาแก้ปัญหานี้ผมก็ยังไม่เห็นใครออกมานำเสนอเลย
ง่ายๆ ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ทุกคนก็รู้ว่าวิกฤต แต่ไม่มีใครยอมแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง สังคมไทยกลับแก้ด้วยการผุดซิตี้คอนโดใจกลางเมืองขนาด ๓๐ ตารางเมตร ราคาล้านต้นๆ ทุกคนก็แห่กันไปซื้อ เพราะไม่มีปัญญาขับรถไปกลับบางบัวทองวันละ ๓ ชม. อีกต่อไปแล้ว ดูในแบบจำลองมันสวย ตบแต่งดีเมื่อเทียบกับราคาล้านต้นๆ แต่ไม่มีใครคิดว่าถ้าคุณกับเมียเข้าไปอยู่ในนั้น ๑๒ ชม. ชีวิตส่วนตัวของคุณคืออะไร เพราะแบบแปลนในห้องขนาด ๓๐ ตารางเมตรคือ เข้าไปทางซ้ายจะเป็นตู้เสื้อผ้า มีครัว มีทีวีอยู่ปลายเตียง นั่นหมายถึงว่าเวลาว่างถ้าคุณไม่เมกเลิฟกันคุณก็ต้องดูทีวี ในห้องขนาดนี้คุณไม่มีพื้นที่ส่วนตัว คุณจะตากผ้าตรงไหน คุณจะผัดกะเพราใส่กระเทียมพริกน้ำปลาได้อย่างไร เพราะตู้เสื้อผ้าอยู่ห่างออกไปไม่ไกล คุณจะซื้อเตาไฟฟ้าสวยๆ ยี่ห้อแพงๆ ไปทำไมในเมื่อมันเจียวไข่ไม่ได้ แล้วกระทะแบบเทฟลอนมันก็เจียวไข่ไม่ได้ เครื่องดูดอากาศในคอนโดก็ดูดควันจากผัดกะเพราไม่ได้ มันดูดได้แต่ควันจากการทอดแฮมธรรมดา ถ้าเพดานเหนือห้องของคุณมีน้ำรั่วคุณจะจัดการมันอย่างไร คุณต้องอิงแอบคนที่อยู่รอบๆ จำนวนมาก ทั้งข้างบนข้างล่าง ห้องข้างๆ รอบด้านเต็มไปหมด ไม่ต้องพูดถึงคอนโดขนาด ๕๐๐ ยูนิต ปัญหาเรื่องที่จอดรถจะจัดการอย่างไร นี่เป็นประสบการณ์กึ่งๆ ชีวิตจริง มันต้องเห็นถึงจะรู้ แต่คนกรุงทั้งหมดต้องยอมจ่ายต้นทุนตรงนี้ เพราะปัญหาเชิงโครงสร้างการจราจรมันไม่ได้รับการแก้ไข เลยต้องซื้อคอนโด ๓๐ ตารางเมตร ราคาล้านต้นๆ ผ่อนไป ๒๐ ปีเพื่อพื้นที่เท่านี้ ถามว่าคุณมีลูกคุณจะเอาเขาไปไว้ตรงไหน ไม่ต้องคิดต่อเลย มันไปต่อไม่ได้ คุณโดนบีบให้กลายเป็นอย่างฮ่องกงซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ทั้งๆ ที่กรุงเทพฯ มีพื้นที่กว้างกว่านั้นเยอะ
ถ้ารัฐบาลไทยใจถึงพอ ลงทุนแทนประชาชน สร้างระบบขนส่งสาธารณะ ดีๆ ชั่วๆ ให้เขาได้อยู่บ้านเดี่ยว ๕๐ ตารางวา ไกลหน่อย แต่รัฐบาลควรจ่ายค่าระบบขนส่งให้เขาไปซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้วเข้ามาทำงานในเมืองด้วยระบบขนส่งนั้นได้ ทำไมรัฐไม่ลงทุนเรื่องเหล่านี้ ทำไมปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ทำไมรัฐบาลไม่คิดเสียก่อนที่จะปล่อยให้ประชาชนรับต้นทุนที่เขามองไม่เห็น สิ่งที่ธุรกิจทำตอนนี้ก็ทำเหมือนรัฐบาล คือขายความฝันอันสวยหรู แล้วก็น่าเศร้าว่าแค่นี้เราก็ซื้อมันแล้ว
ดูเหมือนสังคมไทยเวลานี้เปรียบเสมือนเรือที่ลอยไปไร้หางเสือ
มันเหมือนกับเรือที่ลอยไปโดยไม่มีหางเสือ ซ้ำร้ายคนบนเรือก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเรือไม่มีหางเสือ กัปตันก็ไปร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลกับพวกไฮโซที่ชั้นดาดฟ้า ปล่อยลูกน้องคุมพังงาไปเรื่อยๆ คิดว่ามันจะถึงฝั่งได้ โดยที่ไม่รู้ว่าอุปสรรคสมัยนี้มันไม่ได้มีแค่ภูเขาน้ำแข็งอย่างเดียว
ตอนนี้สิ่งที่เกิดกับการเมืองไทยตั้งแต่ช่วงปลายรัฐบาลทักษิณเป็นต้นมา มันยังทำให้คนไทยรู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง วังเวงกับสภาพแวดล้อมทางการเมืองในประเทศ เมื่อคนรู้สึกอย่างนี้ในที่สุดก็จะเลิกยุ่งกับมัน เราจะถอยห่างออกมา ไม่สนใจการเมือง เราจะไม่อยากอ่านข่าวการเมือง การเมืองก็จะตกอยู่ในวังวนของคนกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่หดหู่สิ้นหวัง ยังครื้นเครงยังสนุกสนานกับมัน โดยที่ไม่รู้ว่าคนส่วนใหญ่ได้ลุกออกจากงานเลี้ยงไปแล้ว และเป็นคนที่พอจะมีปากมีเสียงสามารถเดินเข้าไปในงานเลี้ยงของคุณได้ ไม่ต้องพูดถึงคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีโอกาสเข้ามาในงานเลี้ยงนี้เลย
ในฐานะคนทำหนังสือ สำนักพิมพ์ openbooks ไม่ประสบความสำเร็จเลยในเชิงธุรกิจ หนังสือก็ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำนิตยสารก็เจ๊งมาแล้ว ทำไมถึงยังยืนหยัดทำอยู่
ข้อแรก เราต้องตัดเรื่องความสำเร็จหรือล้มเหลวออกไปก่อน เพราะทุกวันนี้เราถูกมายาคติของวิธีคิดการบริหารธุรกิจวัดผลความสำเร็จหรือล้มเหลวกันที่ผลกำไรหรือขาดทุนเท่านั้น ถ้าเอาตรงนี้มาจับมันเหลือประเด็นเดียว กำไรหรือขาดทุน กำไรเยอะแสดงว่าประสบความสำเร็จมาก ถ้าขาดทุนมากแสดงว่าคุณล้มเหลวสุดๆ ถ้าใช้วิธีคิดแบบนี้มองโลก ชีวิตและสิ่งที่เราทำ เราจะแคบมาก เราจะโดนบีบให้ไม่ทำอะไรเลย เพราะต้องตอบสนองวิธีคิดการทำกำไรสูงสุดอย่างเดียว เราจะไม่สามารถทำอะไรที่เราอยากทำได้ เราต้องลืมข้อนี้ไปก่อน แล้วมาถามว่าเราอยากทำอะไร กำไรของชีวิตที่มากกว่าเรื่องเงินคืออะไร มิตรภาพที่เราได้จากการทำงานตีเป็นมูลค่าได้ไหม เวลาที่เราได้คืนมาตีมูลค่าได้ไหม งานที่เราได้ทำแล้วเรารักเราตีมูลค่าได้ไหม ธุรกิจเราไม่ได้ล้มหายตายจาก เรายังสามารถทำต่อไปได้ แสดงว่ามันได้กำไร แน่นอนมันไม่ใช่กำไรสูงสุด แต่เราได้หลายสิ่งในชีวิตที่เราอยากได้ ซึ่งเราคิดว่ามันมีคุณค่าสำหรับเรา นี่เป็นเหตุผลให้เราทำในสิ่งที่ยังเชื่ออยู่
“ทุกคนมุ่งผลิตหนังสือเพื่อเอาใจกลุ่มที่ตัวเองสมมุติว่ามีกำลังซื้อ ขณะที่คนชั้นกลางเสพความฝันอันบรรเจิด คนชั้นล่างก็เสพความเท็จอันบันเทิง นักการเมืองก็เสพอำนาจวาสนาอันฟู่ฟ่าชั่วครู่ชั่วคราว เล่นกันอยู่ตรงนั้น พื้นที่ทางปัญญาที่เหลืออยู่ผมไม่แน่ใจว่า เราเก็บมันเอาไว้ตรงไหนของประเทศนี้”
เหตุผลที่เราเลิกนิตยสาร เพราะนิตยสารมันเป็นแค่กระดาษที่เราพิมพ์ความคิด ทัศนคติ รสนิยมของเราลงไป การที่เราจะรักษากระดาษรักษานิตยสารไว้ ถึงวันนั้นมันอาจจะยังอยู่ แต่ทัศนคติและแนวคิดของเราอาจจะไม่อยู่แล้ว เพราะเราอาจต้องสมยอมกับหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเพื่อรักษากระดาษ วันหนึ่งเราจึงเลือกที่จะรักษาแนวคิดของเราเอาไว้ เพราะเราเชื่อว่ากระดาษมันย่อยสลายได้ แต่ความคิดมันจะไม่ตาย มันจะอยู่ แล้ววันข้างหน้าคนที่มองเห็นความคิดนี้ว่ามันยังอยู่ หรือเขาอาจจะคิดต่างออกไปก็ได้ ก็จะเอาแนวคิดของเราไปใช้สืบเนื่องทำงานต่อได้ ในวันข้างหน้าโลกอาจไม่มีกระดาษ แต่แนวคิดมันยังอยู่ ผมกำลังพยายามจะบอกว่าผมเลือกที่จะรักษาความคิด ไม่ใช่รักษากระดาษ
การทำหนังสือเล่มเป็นการผลิตปัญญาต้นทุนต่ำที่สุดที่สังคมไทยอนุญาตให้ทำได้ ผมไม่สามารถทำแม็กกาซีนต้นทุนสูง ทำหนังสือพิมพ์ใช้ทุนนับร้อยล้านบาท ทำรายโทรทัศน์ก็ต้องซื้อเวลาที่แพงมาก แม้กระทั่งทำรายการวิทยุส่วนมากก็เป็นของทหารของราชการ ปัจเจกชนที่ต้องการทำงานทางด้านปัญญา ต้องการผลิตปัญญาให้แก่สังคมในราคาถูกจะมีช่องทางอะไรบ้างนอกจากเป็นอาจารย์ ผมคิดว่าสิ่งที่เราทำได้คือเราคัดสรรภูมิปัญญามาทำหนังสือเล่มในราคา ๑๐๐ กว่าบาทที่ทุกคนสามารถซื้อได้ ถ้าห้องสมุดใจดีซื้อไปก็สามารถทำให้คนเข้าถึงปัญญาได้ในราคาต่ำกว่า ๑๐๐ บาทเสียอีก ด้วยการยืมหนังสือจากห้องสมุด นี่เป็นกระบวนการสั่งสมองค์ความรู้ สังคมตะวันตกที่พัฒนามาสู่สังคมสั่งสมองค์ความรู้ได้ เพราะรากฐานมาจากเทคโนโลยีการพิมพ์อันทำให้ความรู้กระจายออกจากกลุ่มคนระดับสูง มาสู่ชนชั้นกลางระดับสูง มาสู่คนชั้นล่าง ความรู้ที่ทั่วถึงในทุกระดับชั้นมันทำให้เกิดการปฏิวัติทางสังคมได้ ผมแค่กำลังทำในสิ่งที่ย้อนหลังไป ๕๐๐ ปีที่สังคมตะวันตกเคยทำ หวังว่าสิ่งเล็กๆ นี้จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงสังคมได้
มีต่อ