Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

เก็บตกจากข้างโต๊ะกาแฟ “คนทำหนังสือยุคใหม่ต้องเป็นนักธุรกิจ”

 

 
ท่านผู้อาวุโสที่คร่ำหวอดบนยุทธจักรหนังสือ ต่างบอกผมเป็นเสียงเดียวกันว่า ปี 2553 ….รอดมาได้ก็บุญแล้ว!!
 
ครับ-ในช่วงวันเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมา ผมถือโอกาสที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ตระเวนไปเยี่ยมคารวะบรรดาผู้อาวุโสในแวดวงธุรกิจหนังสือหลายท่านครับ ทั้งที่อยู่ในแวดวงของสำนักพิมพ์และระดับเจ้าของกิจการบริษัท ที่มีนิตยสารชื่อดังอยู่ในเครือหลายสิบเล่ม ต้องบอกว่า ส่วนใหญ่ท่านผู้อาวุโสที่คร่ำหวอดบนยุทธจักรหนังสือ ต่างบอกผมเป็นเสียงเดียวกันว่า ปี 2553 ….รอดมาได้ก็บุญแล้ว!! 
 
 
เพราะการทำหนังสือสมัยนี้ เจอศึกหลายด้าน ทั้งจากคู่แข่งในตลาดหนังสือประเภทเดียวกัน รสนิยมของผู้อ่านที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ราคากระดาษ ค่าGP ที่ทางสายส่งหรือว่าร้านค้าเรียกเก็บ ฯลฯ ต่างๆ นานา ล้วนแต่เป็นตัวแปรสำคัญทั้งสิ้น
 
 
นี่ยังไม่นับรวมไปถึงการรุกคืบเข้ามาเงียบๆ ของ E-Books ที่หลายคนหวั่นใจว่าจะเข้ามาแทนที่หนังสือเล่มในอนาคต
 
 
มีอยู่ท่านหนึ่งน่าสนใจครับ….หลังจากที่ได้นั่งจิบกาแฟพูดคุยกัน เขาบอกว่า มากกว่า 20 ปีในยุทธจักรสื่อสิ่งพิมพ์….สรุปได้ว่า การทำธุรกิจประเภทนี้ ยากขึ้นเรื่อยๆ ต้องพัฒนาตลอดเวลา ทั้งในเรื่องของรูปแบบการนำเสนอ,รูปเล่มและการขายโฆษณาให้นิตยสารในเครือ แต่ที่ผ่านมาได้ก็ด้วยความคิด การตัดสินใจที่เด็ดขาด ฉับไว นำพาให้บริษัทผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ 
 
 
หลายเหตุการณ์ ต้องใช้คำว่า “ต้องกลืนเลือด” กันเลยทีเดียว!! โดยเฉพาะในการทำนิตยสาร เพราะคนทำนิตยสารส่วนใหญ่จะมีลักษณะการทำงานจะเป็นแบบคนทำหนังสือจริงๆ คือไม่ค่อยคิดถึงต้นทุน การตลาด การปรับตัวก็ช้า แนวคิดก็ยังเดิมๆ เวลาเกิดปัญหาก็ไม่ยอมแก้ กลัวเสียหน้า มันจึงไม่ค่อยมีความเป็นธุรกิจ ตัวเขาเองก็เป็นคนอย่างนั้น….
 
 
จนมาถึงช่วงก่อนปี 40 ก็เริ่มคิดว่า ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันเป็นการสูญเสีย และไม่มีเวลาแล้วที่จะมาลองผิดลองถูก ต้องกล้าตัดสินใจ ก็พอดีเกิดวิกฤตปี 40 ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เศรษฐกิจตกหมด ทุกคนก็คิดหาวิธีเอาตัวรอด
 
เขาบอกว่า ช่วงนั้นได้คุยกับนักธุรกิจหลายคน บวกกับได้อ่านหนังสือธุรกิจบ้าง ก็มีคนบอกว่า วิกฤตที่เกิดขึ้น ไม่ได้กระทบให้ทุกคนต้องย่ำแย่เหมือนกันหมด แต่คนที่รอดก็มี แล้วทำไมเขาถึงรอดล่ะ… ส่วนหนึ่งมาจากการตัดสินใจต้องรวดเร็ว อย่าแก้ปัญหาเป็นขั้นบันได แบบค่อยๆ แก้ทีละขั้น ให้แก้เป็นเส้นตรง เพราะมันจะไม่ทันกาล โดยเฉพาะกรณีของนิตยสาร มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน 
 
 
ธุรกิจนิตยสารส่วนใหญ่ รายได้มักจะอยู่ที่โฆษณา ช่วงนั้นโฆษณาก็หล่นไป 50 % วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ประเมินตัวเองไว้ต่ำที่สุด ว่าแย่ที่สุดของหนังสือเราอยู่ตรงไหน เขายกตัวอย่างให้ผมฟังว่า
 
 
"สมมติง่ายๆ ว่าอย่างแย่ที่สุดโฆษณาจะเหลือกี่หน้า สมมติว่า จาก 100 หน้า เหลือ 30 หน้า ก็เอา 30 หน้ามาคิดว่าเรามีรายได้เท่าไร บวกกับค่าขายหนังสือ แค่นี้ก็คือต้นทุน เราก็ลดต้นทุนให้มันอยู่ที่สมดุลเหลือลงมาตรงราคานั้น…คุณจะรอด อย่าค่อยๆ ลดโดยหวังว่า โฆษณาจะค่อยๆ ตก คุณจะไม่ทัน อั๊วก็ยึดหลักนี้มา สมัยนั้นเป็นรายปักษ์อยู่ แล้วก็เปลี่ยนเป็นรายเดือน คือมันไม่มีประโยชน์ที่จะออกหนังสือถี่ขึ้น เพื่อให้มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น
 
สมัยนั้นยังเป็น 4 สีทั้งเล่มอยู่ เราก็เปลี่ยนเป็นขาวดำ ลดค่าใช้จ่ายลงไปครึ่งค่อนเล่ม สมัยนั้นผมใช้คำว่า “เราจะต้องดำน้ำให้อึดที่สุด” นิตยสารของเราจึงไม่เคยปิดเลย  ผมไม่ปลดพนักงานเลย แต่ก็ไม่มีการปรับเงินเดือน ไม่มีโบนัส เราก็ผ่านภาวะช่วงนั้นมาได้"
น่าสนใจนะครับ….การตัดสินใจเพื่อปรับตัวเอง…เพื่อรักษาบริษัทไว้ได้ 
 
 
ทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของ คุณปกรณ์ พงษ์วราภา ครูในวงการหนังสืออีกคนหนึ่งที่เคยบอกผมไว้ว่า
 
"คนทำหนังสือต้องดำน้ำให้นานที่สุด หรือในการทำธุรกิจถ้าเกิดตายขึ้นมา ก็อย่าเผา ให้ดองศพไว้ก่อน เผื่อวันหนึ่งมันจะมีอะไรที่ทำให้ฟื้นได้"
 
 
คนเราไม่ว่าจะทำงานอะไรแบบไหน ต้องสู้ครับ…ต้องสู้จึงจะชนะ…ไม่ใช่อยู่ดีๆ นั่งเฉยๆ แล้วจะประสบความสำเร็จ….คนอย่างมีอยู่ก็แต่ในนิยายหรือหนังการ์ตูนเท่านั้นแหละครับ!!
 
 
ในรอบปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่ามีบริษัทผลิตหนังสือ สำนักพิมพ์หลายแห่งที่ไม่ได้มีกำไรเลย แต่พอจะ ทรงตัวไปเรื่อยๆ ซึ่งผมต้องบอกว่าดีมากแล้ว เพราะหลายคนตายกันหมด
 
แต่ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของกิจการ,เป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์…อย่าท้อครับ….ในฐานะที่เป็นเหมือนกัปตันเรือ ยังไงก็ต้องหาทางเข้าฝั่งให้ได้…
 
"คุณตัน ภาสกรนที" อดีตเจ้าของโออิชิ ที่ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ตันจำกัด บอกไว้ว่า เรือถ้ามันถึงท่า…ไม่ต้องกลัวหัวเรือมันจะไม่ตรง…เดี๋ยวมันก็ตรงเอง…อย่าไปกังวลให้มาก
 
ครับ-ถ้าโจทย์ของการทำหนังสือ อยู่ที่รายได้จะขึ้นอยู่กับโฆษณา ผมว่าเราต้องมาคิดกลับกันว่า ทำหนังสือให้อยู่ได้ด้วยยอดขาย ถึงไม่มีโฆษณาก็อยู่ได้ ซึ่งราคาขายก็ต้องสูงขึ้น… แล้วหนังสืออะไรล่ะที่ขายได้ถ้าคนอ่านของคุณเป็นกลุ่มผู้ชาย ที่ต้องการดูรูปเซ็กซี่ของนางแบบดังๆ คุณต้องเดินหน้าทำให้มันเกิด ถ้าคุณจะทำหนังสือดารา หนังสือบันเทิงต้องดูกำลังความสามารถของตัวเองด้วยว่าทำออกมาแล้วสู้เจ้าเดิมในตลาดได้หรือเปล่า… 
 
 
การทำสำนักพิมพ์ก็เหมือนกันต้อง…รู้จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง…ไม่งั้นก็ไม่รุ่งหรอกครับ ถึงอย่างไรการอ่านหนังสือของคนไทยเรายังไม่แข็งแรงมากมายประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น คนจะดูทีวีมากกว่าอ่านหนังสือ!! 
 
 
แต่ว่าเป้าของประเทศเหล่านี้ก็คือการพัฒนา ดังนั้น การอ่านก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังมีช่องอยู่ แต่ถ้าเราอยู่ประเทศญี่ปุ่น เราจะไม่โตแล้ว การอ่านของเขามีถึง 90 % แล้ว ส่วนเมืองไทยยังโตได้อีก ผมว่า ยุคนี้มันหมดสมัยแล้วที่ คนจะมาทำหนังสือทำสำนักพิมพ์อยากทำหนังสือ แล้วก็เอาบ้านไปจำนองมาลงทุนทำ เวลานี้จะมีแต่ค่ายใหญ่มาเล่น เพราะเขามองว่า การมาทำสำนักพิมพ์หรือการทำหนังสืออะไรก็แล้วแต่….มันเป็นเรื่องของธุรกิจล้วนๆ
 
 
สรุปสั้นๆ เป็น ของขวัญปีใหม่ว่า…คนที่มาอยู่ธุรกิจหนังสือตรงนี้…ถ้าอยากจะลืมตาอ้าปากได้จะต้องเป็นนักธุรกิจมากขึ้นครับ!!

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com โดย : Mr. QC akeakkee@gmail.com