เกมลูกแก้ว
เกมลูกแก้วถูกจัดว่าเป็นนิยาย"ที่สุด" ของเฮสเสในหลายๆด้านเล่มสุดท้ายใช้เวลาเขียนยาวนานสุดคือสิบเอ็ดปีหนาสุด(ฉบับแปลภาษาอังกฤษของสำนักพิมพ์Picador หนาห้าร้อยกว่าหน้า) เป็น“นิยายวิทยาศาสตร์” เพียงเล่มเดียวและถ้าจะเพิ่มความที่สุดเข้าไปอีกอย่างเกมลูกแก้วอาจเป็นนิยายของเฮสเสที่คนไทยรู้จักดีที่สุดด้วย(ยิ่งกว่าสิทธารถะซึ่งมีตัวเอกชื่อเหมือนพระพุทธเจ้าและมีพระพุทธเจ้ามาเป็น“ตัวละครรับเชิญ”) ต้องขอบคุณฝีมือการแปลของอาจารย์สดใสและสำนักพิมพ์สามัญชนที่ช่วยให้เกมลูกแก้วไม่เคยห่างหายไปจากร้านหนังสือ
อย่างเป็นทางการแล้วเหตุการณ์ในเกมลูกแก้วเกิดในอนาคตล่วงหน้าไปอีกสามร้อยปีแต่ระหว่างที่อ่านทุกคนคงอดถามตัวเองไม่ได้ว่า"นี่มันศตวรรษที่เท่าไหร่กันแน่" ยิ่งถ้าคุ้นเคยกับนิยายย้อนยุคของเฮสเสจะพบว่าแทบไม่มีความแตกต่างอันใดเลยระหว่างโลกของโจเซฟเคนคช์และโลกของคนุลป์นาร์ซิสซัสโกลมุนด์หรือสิทธารถะฉากของเกมลูกแก้วคือคาสเตเลียนครที่ไร้ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์พอประมาณได้ว่าน่าจะตั้งอยู่ในประเทศบ้านเกิดของเฮสเสจากการอ้างถึง"หมู่บ้านเยอรมัน" ซึ่งอยู่ติดกันไม่ต้องพูดถึงเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับนิยายโลกอนาคตทั่วไปนอกจากการอ้างถึง"รถยนต์" และ"วิทยุ" สักประมาณสามสี่หนก็ไม่ประสบพบเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยใดๆทั้งสิ้นถ้าจะบอกว่าเกมลูกแก้วมีฉากเป็นยุโรปยุคกลางก็คงเชื่อได้ไม่ยาก
เกมลูกแก้วเปิดด้วยเหตุการณ์ใน"อดีต" (ซึ่งก็คือศตวรรษที่20หรือปัจจุบันนี่เอง) ผู้เขียนเล่าถึงยุคฟูลเลอตันซึ่งผู้คนยึดติดกับความเป็นปักเจกทรัพย์สินทางปัญญามีคุณค่าแค่ให้เจ้าของใช้ไขว้คว้าหาชื่อเสียงและความร่ำรวยหนังสือขายดีไม่ใช่วรรณกรรมหรือผลงานปรัชญาแต่เป็นบทความเบ็ดเตล็ดชีวิตคนดังเช่น"เฟอเดอริกนิทเช่และแฟชั่นสตรีในปี1870" หรือ"อาหารจานโปรดของคีตกวีรอสซินี" เหล่านี้แตกต่างกันอย่างสุดขั้วกับ"โลกพระศรีอาริย์" แห่งศตวรรษที่23เมื่อปักเจกถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะแต่ละบุคคลถูกจัดวางหน้าที่และความรับผิดชอบตามทักษะซึ่งเบื้องบนจะเป็นผู้พิจารณา กำหนด
เฮสเสประพันธ์เกมลูกแก้วในรูปแบบสารคดีชีวประวัติของโจเซฟเคนคช์"อธิการบดีแห่งเกม" โดยมีผู้อ่านในอุดมคติ(ideal reader) คือผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในศตวรรษที่23เฮสเสในฐานะผู้เขียนในอุดมคติ(ideal writer) ตั้งสมมติฐานว่าผู้อ่านทราบเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องราวที่เขากำลังจะเล่านี้อยู่แล้วซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความจริงเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้จึงอยู่ที่ทำอย่างไรเฮสเสถึงค่อยๆคลายปมเหตุการณ์ซึ่งรายล้อมโจเซฟเคนคช์ตั้งแต่ประวัติศาสตร์สังคมรวมไปถึงข้อขัดแย้งอันเป็นกลไกขับเคลื่อนตัวละครยกตัวอย่างเช่นต้องอ่านไปสองสามบทแรกก่อนเราถึงตระหนักว่าสังคมพระศรีอาริย์ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นจริงก็แต่เฉพาะในคาสเตเลียเท่านั้นโลกภายนอกยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งแก่งแย่งชิงดีอ่านไปอีกสี่ห้าบทเราถึงรู้ว่ามีอีกหลายคนในโลกภายนอกที่จ้องมองนครแห่งนี้ด้วยสายตาหวาดระแวงและจวบจนบทสุดท้ายเฮสเสกล่าวถึงสงครามครั้งใหญ่ซึ่งจะส่งผลให้คาสเตเลียกลายเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับประเทศเยอรมันเพราะความขัดแย้งค่อยๆถูกเผยทีละนิดการจะอ่านเกมลูกแก้วให้สนุกจึงต้องอาศัยความอดทนบวกกับความยาวของมันแล้วนี่อาจไม่ใช่นิยายชวนติดตามเท่าไหร่นักสำหรับใครที่ไม่คุ้ยเคยกับนักเขียนชาวเยอรมันคนนี้ขอแนะนำนาร์ซิสซัสและโกลมุนด์ และมนุษย์หมาป่า ซึ่งอ่านสนุกกว่า
ชีวิตวัยเด็กของโจเซฟดำเนินไปตามครรลองด้วยทักษะด้านเปียโนบวกกับอุปนิสัยที่เข้าตาอธิการบดีแห่งดนตรีเขาได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสำหรับเด็กมีพรสวรรค์ก่อนจะถูกส่งตัวไปวอล์ดเซลวิทยาลัยอันมีชื่อเสียงทางด้านเกมลูกแก้วเกมลูกแก้ว ไม่เหมือนนิยายชีวประวัติทั่วไปไม่มีการกล่าวถึงความโศกเศร้าของเด็กกำพร้าโจเซฟหรือความเพียรพยายามไขว่คว้าสิ่งซึ่งโจเซฟปรารถนาส่วนหนึ่งก็ด้วยรสนิยมการอ่านของ"ผู้คนในศตวรรษที่23" ที่ไม่ต้องการเห็นความเป็นปักเจคแต่อีกส่วนหนึ่งก็ด้วยโจเซฟไม่ใช่ตัวเอกจำพวกนั้นถ้า"บางคนเกิดมาพร้อมกับความยิ่งใหญ่บางคนไขว่คว้าความยิ่งใหญ่และบางคนถูกหยิบยื่นความยิ่งใหญ่ให้" (Twelfth Night, Act II, Scene V) โจเซฟคือบุคคลจำพวกหลังเขาไม่ใช่อัจฉริยะไม่ว่าจะทางด้านดนตรีหรือเกมลูกแก้ว(เพื่อให้เห็นชัดถึงความจริงข้อนี้เฮสเสสร้างตัวละครเฟอโรมอนเตและเทกูลาเรียสซึ่งล้วนแต่มีความสามารถด้านดนตรีและเกมลูกแก้วสูงส่งกว่าโจเซฟ) ความโดดเด่นประการเดียวของชายหนุ่มคือการเอาชนะใจผู้อื่นอธิการบดีแห่งเกมคนก่อนเคยพูดไว้ว่าโจเซฟ"มีพรสวรรค์ในการทำให้ตัวเองเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในสายตาศัตรูแล้วเขาคือหมอเสน่ห์ดีๆนี่เอง"
โจเซฟตกเป็นเครื่องมือทางด้านการทูตของแคสเตเลียเขาได้รับมอบหมายให้ตีสนิทกับเดซินญอร์“แขก” จากโลกภายนอก(เยอรมัน) ผู้เข้ามาศึกษาวิชาในที่วอล์ดเซลก่อนจะออกไปประกอบสัมมาอาชีพในโลกภายนอกเดซินญอร์มีอคติกับชาวแคสเตเลียและไม่เกรงอกเกรงใจที่จะเปิดเผยความรู้สึกตัวเองเบื้องบนตระหนักว่าบิดาของเขาเป็นนักการเมืองผู้มีอิทธิพลและสักวันเดซินญอร์อาจเจริญรอยตามท่านเพื่อสานสัมพันธ์กับเยอรมันโจเซฟได้รับมอบหมายให้ไปเป็น"คู่ดวล" ของเดซินญอร์พยายามชักจูงชายหนุ่มให้เห็นชอบในวิถีชีวิตแบบแคสเตเลีย"คู่ดวล" อีกคนคือสาธุคุณจาโคบัสภายหลังสำเร็จการศึกษาโจเซฟถูกส่งไปอยู่กับนักบวชแห่งนิกายเบเนดิกซ์โดยมีหน้าฉากเพื่อสอนเกมลูกแก้วให้เหล่าพระผู้สนใจแต่เบื้องหลังคือผูกมิตรกับนักบวชผู้ต่อต้านปรัชญาชีวิตแบบแคสเตเลียซึ่งถูกมองว่าลอกเลียนแบบมาจากศาสนาคริสต์แต่ละทิ้งศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าไป
เมื่อโจเซฟกลับจากวัดนิกายเบเนดิกซ์อธิการบดีแห่งเกมล้มป่วยและเสียชีวิตกะทันหันเบื้องบนจึงเลือกเอาโจเซฟคนที่พวกเขาเห็นว่า"มีประโยชน์" และเป็น"ชาวแคสเตเลียตัวอย่าง” ขึ้นมารับตำแหน่งโดยหารู้ไม่ว่าทั้งเดซินญอร์และจาโคบัสได้สอนบางสิ่งซึ่งโจเซฟไม่อาจหาเรียนได้ในแคสเตเลียให้กับชายหนุ่มและสิ่งนี้เองจะกลายเป็นรากฐานนำไปสู่จุดหักแย้งในหนังสือด้วยวิธีการนำเสนอแบบสารคดีเราได้แต่คาดเดาเงื่อนปมจากสานส์ซึ่งผู้เขียนให้มาอย่างจำกัดจำเขี่ยบางทีนิยายที่สนุกกว่าเกมลูกแก้ว ซึ่งเฮสเสไม่ได้เขียนคือเบื้องหลังโชคชะตาอันน่าเย้ยหยันของโจเซฟเคนคช์ก็ได้
จะกล่าวถึงเกมลูกแก้ว โดยไม่กล่าวถึงเกมลูกแก้วเลยคงเป็นไปไม่ได้แต่ด้วยข้อมูลขาดๆวิ่นๆ(เพราะผู้เขียนทึกทักเอาเองว่าทุกคนเล่นเป็นอยู่แล้ว)ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกันที่จะกล่าวถึงเกมลูกแก้วในเกมลูกแก้ว ให้อ่านจนจบเราก็ยังไม่รู้ว่ามันเล่นอย่างไรใช้ลูกแก้วกี่ลูกเอามาเรียงด้วยกติกาอะไรบ้างไม่รู้กระทั่งว่าเกมนี้อาศัยคนเล่นกี่คนมีผู้แพ้ผู้ชนะไหมที่ตลกร้ายคือคนอ่านกลับเข้าใจปรัชญาซึ่งประกอบกันเป็นเกมลูกแก้วได้ดียิ่งกว่าตัวเกมเสียอีกเรารู้ว่าเกมลูกแก้วถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้แทนศิลปะและศาสนา(ในแคสเตเลียศิลปะทุกแขนงยกเว้นดนตรีเป็นสิ่งต้องห้าม) ตัวมันเองบรรจุนามธรรมของวิทยาการทั้งหมดเอาไว้ลูกแก้วแต่ละลูกคือสัญลักษณ์ร้อยแปดเป็นได้ตั้งแต่ตัวเลขในคณิตศาสตร์ตัวโน้ตในทฤษฎีดนตรีดาวเคราะห์ในดาราจักรตะปูในวิศวกรรมโยธาบ่อน้ำในภูมิสถาปัตย์สระพยัญชนะในนิรุกติศาสตร์และอื่นๆอีกมากมายโดยพื้นฐานแล้วเกมลูกแก้วคือการ"จับแนวคิดอันเป็นศัตรูกันมาวางคู่กันและพัฒนาไปพร้อมๆกันท้ายสุดรวบเอาสองสิ่งซึ่งไม่อาจเข้ากันได้นี้ให้ผสานเป็นหนึ่งเดียว…จุดมุ่งหมายของเกมคือการพัฒนาแนวคิดทั้งสองอย่างทัดเทียมโดยปราศจากอคติและจากบทยืนบทแย้งพัฒนาขึ้นเป็นบทสังเคราะห์อันบริสุทธิ์" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้อิทธิพลมาจากวิภาษวิธีของเฮเกล
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกมลูกแก้วของเฮอร์มานน์เฮสเสแท้ที่จริงก็คือเกมลูกแก้วชนิดหนึ่งนี่เองโจเซฟเคนคช์ถูกสั่งสอนให้ละทิ้งความเป็นปัจเจกตั้งแต่เด็กเมื่อเติบโตขึ้นเขาจึงตระหนักว่ายิ่งคนเราสูญเสียความเป็นปัจเจกไปเท่าไหร่ก็ยิ่ง“หลับไหล” ลึกลงไปเท่านั้นเพราะ“การตื่นไม่เกี่ยวข้องกับสัจจะหรือการตระหนักรู้แต่หมายถึงการพิสูจน์ตัวเองให้โลกภายนอกได้ประจักษ์” ถ้าขาดความเป็นปัจเจกและถ้ามนุษย์เราไม่ต้องการพิสูจน์ตัวเองก็ไม่อาจที่จะตื่นได้อย่างเต็มที่
การตื่นของเคนคช์เหมือนหรือต่างกันอย่างไรกับการตื่นในพุทธศาสนาเฮสเสซึ่งเป็นชาวตะวันตกที่เป็นนักตะวันออกนิยมเข้าใจการตื่นมากหรือน้อยเพียงใด
นั่นคือคำถามซึ่งเฮสเสฝากทิ้งไว้ให้คนอ่านพวกเราทุกคน
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/09-03-25/4675