อ่านตั้งแต่ยังอ่านไม่ออกด้วย “การออกเสียง”
โดยทั่วไป เรามักคิดว่า ต้องรอให้อ่านออกก่อนค่อยอ่านหนังสือ หรือค่อยเล่านิทานให้เด็กฟังเมื่อเขารู้ความ แต่จากการค้นพบพัฒนาการที่ดีของเด็กซึ่งเติบโตมาโดยได้ฟังนิทานสม่ำเสมอ จึงมีการตื่นตัวและสนับสนุนให้พ่อแม่ผู้ปกครองอ่านออกเสียงให้ทารกฟังตั้งแต่แรกคลอด นอกจากจะช่วยกระชับสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกแล้ว ยังเป็นการปลูกฟังทัศนคติที่ดีต่อหนังสือ สร้างความรักในถ้อยคำ ภาษาและเรื่องเล่า จวบจนถึงวัยหัดอ่าน
เมื่อแม่ถือนิทานภาพสีสันสดใสกางเปิดในระดับสายตาของทารก แล้วเริ่มอ่าน เด็กจะหันมามองด้วยความสนใจ โบกมือ ส่งเสียงอืออา บางคราวถึงกับยิ้มด้วยความพอใจ วิธีอ่านหนังสือให้เด็กฟังคือ ควรอ่านในเวลาเดิม สถานที่เดิมที่เขาคุ้นเคย บนเก้าอี้หรือเบาะนอนอันเก่า แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจความหมายโดยตลอด แต่สิ่งสำคัญที่จะได้คือความอบอุ่นมั่นใจในความรักความเอาใจใส่ที่แม่มีให้ นักจิตวิทยาค้นพบนานแล้วว่า คนที่รักเป็นและมีความมั่นคงทางอารมณ์คือคนที่เติบโตมาอย่างได้รับความรักเต็มเปี่ยม ส่วนการส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กวัยก่อนสามขวบก็คือ ต้องให้เขารู้สึกมั่นใจว่าตนเป็นศูนย์กลางของความรักความสนใจ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ มาร์กาเร็ต มีด บอกว่า ทารกและเด็กเล็ก ๆ นั้นต้องการความปลอดภัยในชีวิตที่ทำนายได้ เพื่อความรู้สึกมั่นคงในโลกของเขา ซึ่งหมายถึงการมีกิจวัตรประจำวันที่ทำซ้ำ ๆ ในเวลาเดิม การอ่านหนังสือให้เด็กเล็กฟังในตอนเช้า บ่าย หรือว่าก่อนเข้านอนเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นกิจกรรมที่ตอกย้ำความมั่นคง ความอบอุ่นปลอดภัยของชีวิต และสร้างความรู้สึกมั่นใจในความรักของพ่อแม่
การอ่านออกเสียงนั้นสร้างผลลัพธ์มหัศจรรย์เกินคาด โรอัลด์ ดาห์ล นักเขียนชาวอังกฤษเจ้าของผลงาน โรงงานช็อกโกแลต ซึ่งถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์,แม่มด และอีกหลายเรื่องกล่าวว่า สมัยที่เขาอยู่โรงเรียนประจำนั้น ความทรงจำที่มีความสุขที่สุด และให้พื้นฐานด้านการเขียนหนังสือมากกว่าห้องเรียนภาษาก็คือ ช่วงเวลาที่แม่บ้านประจำหอพักอ่านหนังสือให้เด็กซึ่งไม่ได้กลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ฟัง ส่วน เมม ฟ็อกซ์ ผู้บรรยายเรื่องการอ่านออกเสียงเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า ครั้งหนึ่ง เธอพบลูกศิษย์ซึ่งเคยสอนสมัยเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่ประเทศออสเตรเลีย เขาตรงรี่เข้ามาบอกเธอว่า สมัยเรียนนั้น ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ซึ่งเขาและเพื่อนนักศึกษาจดจ่อรอคอยก็คือ ชั่วโมงที่เธออ่านวรรณกรรมหรือนวนิยายให้นักศึกษาฟังนั่นเอง
เมม ฟ็อกซ์ยังพบด้วยว่า การอ่านออกเสียงนำไปสู่การอ่านออกเขียนได้ที่รวดเร็วยิ่งกว่าการหัดอ่าน กออากา ขออาขา เรื่องราวจากหนังสือทำให้เด็กเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาษา ช่วยพัฒนาความคิดและการสามารถสื่อสาร เด็กจะพูดได้เร็ว และที่สำคัญเติบโตขึ้นเป็นนักอ่าน ภายหลังลาออกจากอาชีพครู นอกจากเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์แล้ว เธอเดินทางไปทั่วโลก เพื่อบรรยายและสาธิตคุณูปการของการอ่านออกเสียง ซึ่งเธอได้ประจักษ์จากลูกสาวของตัวเอง เด็ก ๆ ที่เคยอ่านออกเสียงให้ฟังตามโรงเรียน รวมทั้งบรรดาลูกของคนรู้จักซึ่งนำวิธีการนี้ไปปฏิบัติ