Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

อุทิศ เหมะมูล เจ้าของรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2552 จาก ” ลัีบแลแก่งคอย “

 

 
     จากคำประกาศของคณะกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี 2552 โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นประธานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ ห้องเจ้าพระยา โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้นวนิยายเรื่อง ลับแล, แก่งคอย ของ อุทิศ เหมะมูล ได้รับการประทับตรารางวัลซีไรต์ ประจำปี 2552 ว่า… 
 
     "นวนิยายเรื่อง ลับแล, แก่งคอย ของ อุทิศ เหมะมูล เสนอมิติอันซับซ้อนของตัวตนมนุษย์ที่แยกไม่ออกจากรากเหง้า ชาติพันธุ์ ชุมชน ความเชื่อ และเรื่องเล่า ผู้เขียนเล่าเรื่องชีวิตมนุษย์ที่ต้องเผชิญความคาดหวังซึ่งไม่อาจต้านทานได้และพยายามดิ้นรนหาทางออก 
 
     ผู้เขียนใช้กลวิธีการเล่าเรื่องอันแยบยล สร้างตัวละครที่มีเลือดเนื้อและอารมณ์ราวกับมีตัวตนจริง สร้างฉากและบรรยากาศได้อย่างมีชีวิตชีวา และใช้ภาษาเรียบง่ายแต่ทรงพลัง แสดงจินตภาพกระจ่างและงดงาม" 
 
     ต่อไปนี้เป็นการทำความรู้จักกับนักเขียนซีไรต์หนุ่มคนล่าสุดให้มากยิ่งขึ้น โดยมี ชมัยภร แสงกระจ่าง หนึ่งในคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้ซักถามทั้งเรื่องราวชีวิตและผลงานกว่าจะมาเป็นนวนิยายขนาดยาวเล่มนี้…

อยากให้เล่าปูมหลังหน่อยว่าเป็นใครและพื้นเพมาจากไหน?
 
     ผมเกิดและเติบโตที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เรียนอยู่โรงเรียนแสงวิทยา ช่วงเวลานั้นเป็นโลกที่แคบสำหรับผมเพราะว่าอยู่แค่กับครอบครัว เพียงแต่ว่าความหลงใหลในศิลปะที่รู้สึกว่าตัวเองวาดรูปเก่ง จะพาตัวเองออกมาจากบ้านเกิดได้อย่างไร โชคดีที่ได้เรียนที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลโคราช เรียนด้านศิลปกรรม และหลังจากนั้นมาทุกอย่างก็เริ่มต้นตอนอายุ 15 ผมได้รู้จักเพื่อนฝูง ได้ไปใช้ชีวิตในสังคมอีกแบบหนึ่ง ได้อ่านหนังสือ ได้ฟังเพลง เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากชีวิตที่ต้องช่วยตัวเองจนเรียนอยู่ 4 ปี 
 
     หลังจากนั้นสอบเอนทรานซ์เข้าคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เรียนอยู่ทั้งหมด 5 ปีครึ่ง ไม่ได้จบตามหลักสูตร คือไปอยู่ที่ไหนก็จะไปเป็นตัวป่วนที่นั่น ค่อนข้างจะมีปัญหากับสิ่งที่ผ่านมา คือช่วง 3 ปีแรกจะได้เรียนเกี่ยวกับทักษะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น drawing หรือวาดภาพทุกอย่าง แต่พอผมเริ่มทำวิทยานิพนธ์ก็ไม่ได้จับพู่กันกับสีแล้วเพราะว่าผมทำเกี่ยวกับ visual art, installation กลายเป็นงานไม้ไป ทำโลงศพของพ่อตัวเอง คือช่วงนั้นเป็นช่วงที่พ่อเสียชีวิต ผลกระทบจากความรู้สึกที่พ่อเสียชีวิตไปค่อนข้างรุนแรงและคิดว่าคงจะอยู่ในตัวตนของผมตลอดไป และกลายเป็นความพยายามผลักดันให้ผมเขียนหนังสือ
 
เริ่มเขียนหนังสือจากช่วงพ่อเสียชีวิต? 
 
     คิดมาตั้งแต่เรียนจบแล้ว ผมรู้สึกว่าผมอยากจะทำงานศิลปะ แต่ว่าความคิดจะทำงานศิลปะกับเงินในกระเป๋ามันไม่เท่ากัน ถ้าไปทำ installation มันต้องใช้เงินคืองานศิลปะแบบจัดวางต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มเรียนศิลปะคือทางบ้านเขาไม่ส่งเงินอยู่แล้วและเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำไมต้องออกไปจากบ้านด้วย ผมต้องไปหาเงินเรียนเอง ได้แม่ส่งเงินมาให้บ้าง แต่ยังไงก็ยังไม่พอ ในขณะที่คนอื่นๆ เวลาที่ลูกไปเรียนต่างจังหวัด เขาโทรมาถามตลอดว่าเงินขาดหรือยัง แต่ของผมไม่มีโทรมา ผมต้องโทรไป แต่ว่าที่บ้านไม่มีโทรศัพท์ ผมต้องเขียนโทรเลขกลับบ้าน 
 
     ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่นเขาจะถามว่าสบายดีไหม ขาดเหลืออะไรไหม จะเอาเงินเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นที่บ้านผมก็จะบอกว่าโทรมาอีกแล้ว ให้ไปเท่านี้ยังไม่พออีกหรือไง ซึ่งบางทีเขาอยู่ในพื้นที่ตรงนั้น เขาไม่รู้ว่าเงินสองพันบาทที่ส่งมาให้ผมนั้นมันต้องจ่ายค่าห้องพัก ไหนจะค่าเสื้อผ้า สบู่ ยาสีฟัน หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์การเรียน เขาบอกว่าเงินสองพันนี้ให้จัดการเอาเอง
 
ถ้าไม่พอแล้วจัดการตัวเองอย่างไร? 
 
     ขอเพื่อน.. ผมจะได้เพื่อนคอยช่วยเหลือตลอด เวลาที่ผมขาดเหลืออะไร เขาก็จะแบ่งปันให้ พอช่วงมาเรียนศิลปากรผมก็ยังต้องช่วยเหลือตัวเองอยู่เหมือนเดิม จะได้รุ่นพี่คอยช่วยเหลือ หมายความว่าเวลามีงานอะไรเขาก็จะเอาเด็กปีหนึ่งไปช่วย ไปทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่ว่ามันจะคุ้มเพราะไปทีจะได้เงินสองพันสามพันบาท จนพอมาถึงปี 3 รู้สึกว่าช่วงนั้นเป็นปีแรกที่มีกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เลยได้เข้าสมัครเป็นนักเรียนทุน และ 5 ปีนี้ผมใช้คณะศิลปกรรมเป็นบ้าน เขารู้กันหมดว่าเด็กคณะจิตรกรรมโดยส่วนใหญ่จะนอนอยู่ที่นั่นหมด 
 
ไม่เห็นบอกเลยว่าแม่ทำให้อยากเขียนหนังสือบ้าง? 
 
     แกทำลับๆ แกทำร้ายผม..! (หัวเราะ)

สงสัยว่าการทำศิลปะจัดวางนี้มันไม่ได้สตางค์เท่าเขียนหนังสือจริงหรือ?
 
     ตอนที่ผมจบออกมาผมไปทำภาพยนตร์เป็นผู้กำกับศิลป์ พอเข้าไปในวงการหนังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ คือผมอยากทำงานศิลปะ แต่ว่าความคิดกับเงินในกระเป๋ามันไม่เท่ากัน ผมเลยคิดว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวอยู่ในสมองออกมาเป็นงานศิลปะด้วยวิธีไหนได้ จริงๆ ผมจะเป็นคนชอบเขียนบันทึกประจำวันตั้งแต่อายุ 15 คิดว่าสิ่งนี้อยู่กับผมมาตลอดเลยคือการเขียนหนังสือ แล้วไม่ต้องใช้อะไรมาก ผมมีปากกากับกระดาษก็เริ่มที่จะสร้างเรื่องราวได้แล้ว 
 
     ผมเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ 'เลือน…จุดจบของนามอันเป็นอื่น' ตีพิมพ์ที่สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ได้ค่าเรื่องน่าจะได้ประมาณ 1,500 บาท ผมคิดว่าเขียนหนังสือคงใช่แล้วล่ะ พอทำแล้วก็รู้สึกมีความสุขเหมือนกับที่ได้ทำงานศิลปะ ได้ใช้เวลาอยู่กับมันในช่วงเริ่มต้นงานเขียน พอได้เงินมาก็เอาไปฉลอง (หัวเราะ) ไม่รู้สึกว่าต้องเก็บ เพราะว่าผมทำงานได้เงินมาก็ต้องฉลองเหมือนกัน วูบเดียวหมด จากนั้นผมเขียนเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นจีเอ็มยังเปิดหน้าเรื่องสั้นอยู่ โชคดีว่าได้รับการตีพิมพ์
 
พอเรื่องสั้นสองเรื่องแรกออกไปมีปฏิกิริยาอะไรกลับมาบ้างไหม? 
 
     ไม่มีครับ พอมาถึงเรื่องที่สามผมส่งไปที่เนชั่นสุดสัปดาห์ คุณนิรันศักดิ์ (บุญจันทร์) โทรกลับมา แกบอกว่า 'เขียนดีนะ..ทำต่อไป' และเรื่องนี้ก็ได้ลง ผมเขียนเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่งชื่อว่า 'ในม่านหมอก' ปรากฏว่าได้ตีพิมพ์ เรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่าอยากเขียนต่อไปอีก จากนั้นเริ่มเขียนนวนิยายคือเรื่อง 'ระบำเมถุน' เขียนแล้วอยากจะให้ คุณแดนอรัญ แสงทอง ช่วยอ่านเพราะตอนนั้นผมก็อ่านงานเขา ปรากฏว่าในหนังสือเรื่อง 'อสรพิษ' แกเผลอเขียนที่อยู่ไว้ ผมเลยลองส่งต้นฉบับที่เขียนไว้สามตอนไปให้แก่อ่าน สักสัปดาห์ต่อมาแกเขียนไปรษณีย์กลับมาว่าได้รับแล้ว แกก็ขู่ว่า..อย่าทำเลย เขียนหนังสือ ให้ไปทำอย่างอื่นก่อน ไปใช้ชีวิตไปทำอะไรที่คุณอยากทำก่อน แล้วคิดดูว่าการเขียนหนังสือนี้มันยังอยู่กับคุณอยู่ไหม ถ้ามันยังอยู่ถึงมาเป็นนักเขียนได้ 
 
     ตอนนั้นผมไม่เชื่อ ผมก็เขียนกลับไปหาแกอีก แกก็เงียบไป สักระยะหนึ่งแกเขียนกลับมาว่าอ่านจบแล้ว บอกว่ามันมีอะไรที่ดี แต่ว่ามันยังไม่จบ คุณต้องกลับไปเขียนให้จบ ผมยังไม่รู้ว่าตัวละครตัวนี้จะเป็นยังไงต่อไป ดูเหมือนคุณเขียนค้างเอาไว้ ถ้าคุณเขียนจบผมยินดีจะเขียนคำนิยมให้ ผมใช้เวลาอยู่ 4-5 เดือนเขียนอีกสองภาคขึ้นมา ระหว่างนั้นคุณแดนอรัญก็เขียนไปรษณียบัตรมาหาผมตลอด ซึ่งผมรู้สึกปลาบปลื้มมากเพราะมันเหมือนกับเป็นคุณครูที่ตามงานตลอด ..คุณเขียนเสร็จหรือยัง คุณอย่าเพิ่งยอมแพ้นะ คือตอนแรกแกขู่ก่อน พอหลังจากนั้นแกจะให้กำลังใจ แกโทรมาบอกว่าคุณต้องทำให้ได้นะ คุณมาเกือบจะถึงที่แล้ว ไปรษณีย์ผมก็ยังเก็บไว้อยู่
 
กลับมาถึงเรื่อง 'ลับแล, แก่งคอย' ว่าเขียนตอนไหน? 
 
     เรื่องนี้มาตอนที่ผมกำลังนั่งเขียนเรื่อง 'กระจกเงา/เงากระจก' ยังไม่จบ กลุ่มก้อนความคิดบางอย่างมันเริ่มต้นว่าอยากจะเขียนถึงเด็กชายคนหนึ่ง แล้วก็นึกถึงบ้านเกิด อยากจะเขียนถึงความฝันของพ่อกับแม่ คือมันจะมาเป็นชุดๆ ขึ้นมาในความคิด ระหว่างนั้นความคิดการเล่าเรื่อง โครงสร้างต่างๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว น่าจะได้ลงมือสักที เพราะผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่จะต้องเขียนตอนนี้ ผมต้องอาศัยอารมณ์ตอนนี้ในการเล่าเรื่องความห่าม ทะลึ่ง มุทะลุ ดุดัน หรือน้ำเสียงที่มันต้องใช้ความก้าวร้าว คือถ้าผมจะเขียนตอนอายุมากกว่านี้ก็คงจะไม่ได้แบบนี้ ผมเริ่มมองออกว่าจะเขียนยังไง
 
'…หนึ่งนั้นให้เป็นพี่ชายของความหลับ อีกหนึ่งนั้นจงเป็นน้องชายของคำลวง…' คิดประโยคนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?
 
     ต้องย้อนกลับไป จริงๆ ผมเอาคำของคนอื่นมาแล้วปรุงๆ เอา คือผมอ่านจาก 'จุดประกายวรรณกรรม' ซึ่งพูดถึงนักเขียนคนหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าชื่ออะไร คุณชลิต ดุรงค์พันธุ์ แปลออกมาเหมือนกับว่า 'พี่ชายแห่งความหลับ' ซึ่งในภาษาเยอรมันมันคือ 'ความตาย' ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำที่เพราะมาก 'พี่ชายแห่งความหลับ น้องชายแห่งคำลวง' คือพี่ชายแห่งความหลับก็คือความตาย น้องชายแห่งคำลวงก็คือการสร้างสรรค์ศิลปะ

เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงประมาณกี่เปอร์เซ็นต์?
 
…ผมเขียนขึ้นมาจากความทรงจำ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับถนนมิตรภาพที่หาได้จากเว็บไซต์วิกิพีเดีย แต่ว่ารายละเอียดต่างๆ เขียนขึ้นจากความทรงจำ ตัวละครชื่อ 'ยายทิพย์' เป็นตัวละครตัวเดียวที่เป็นชื่อจริง…!
 
ตัวละคร 'แม่ทิพย์' หรือ 'ยายทิพย์' เป็นชื่อจริงของแม่และเป็นตัวละครที่มีสีสัน จริงๆ แม่เป็นเหมือนในเรื่องไหม?
 
     พ่อเสียตอนผมเรียนอยู่ศิลปากรปี 2 พอพ่อเสียแกก็ยังเป็นแม่บ้านของแกตลอดมา ตอนพ่อเสียมันค่อนข้างกระทบกับครอบครัวมากพอสมควรเพราะพ่อเป็นคนเลี้ยงทั้งหมด พอเขาไปแม่ก็เป็นคนเลี้ยง ผมมาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเลยได้กลับบ้านน้อยด้วย พอกลับไปแม่มีสามีใหม่แล้ว ซึ่งผมก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บอะไร แค่กลับไปบ้านแล้ว เอ้า…ผู้ชายคนนี้คือใคร มาอยู่บ้านผมได้ยังไง!
 
กว่าจะเขียนเรื่องนี้เสร็จต้องใช้เวลานานแค่ไหน? 
 
     เขียนจริงๆ น่าจะเขียนสักปีกว่าๆ พอเขียนเสร็จก็ปรับปรุงแก้ไขอีก รวมประมาณสองปี วันหนึ่งเขียนได้ประมาณหน้าครึ่ง ระหว่างนั้นเขียนคอลัมน์วิจารณ์ภาพยนตร์ และรับจ้างพิสูจน์อักษร งานพิสูจน์อักษรกลายเป็นว่าได้ประโยชน์มากมายเพราะเป็นงานที่หลากหลายมาก คือทำตั้งแต่พงศาวดารยันนิยายรักของคนไทยที่เขียนแบบเกาหลี คือผมได้อ่านงานหลากหลายแบบ คิดว่ามันซึมเข้ามาอย่างงานเขียนเก่าๆ ผมก็จะได้วิธีเล่าหรือการหยิบยืมน้ำเสียงมาบ้างในการเขียนอะไรที่เป็นประโยคยาวๆ ต้องอ่านแบบลมหายใจยาวๆ
 
ก่อนจะมาเป็นคนพิสูจน์อักษรอ่านอะไรมาบ้าง? 
 
     ส่วนใหญ่จะเป็นวรรณกรรมแปลจากต่างประเทศ ผมตื่นเต้นกับนักเขียนต่างประเทศที่ถูกแปลเป็นภาษาไทยคือเหมือนกับว่าเราติดตามงานอยู่แล้ว นักเขียนที่ได้รางวัลโนเบลหรือบุ๊คเกอร์ไพรซ์หรืออะไรที่ได้รับการแปลออกมา นักเขียนไทยก็ตื่นเต้นเพราะหลังจากที่ผมได้ทำงานพิสูจน์อักษร ผมได้อ่านงานหลากหลายมากขึ้น เมื่อก่อนผมอ่านงานของนักเขียนไทยน้อย เลยต้องมาอ่านงานของนักเขียนไทยเพิ่มขึ้น
 
ตอนรู้ว่าสำนักพิมพ์ส่งเข้าประกวดรางวัลซีไรต์ได้คาดหวังอะไรไว้บ้างไหม?
 
     คิดว่าคณะกรรมการน่าจะเห็นอะไรในงานของเราบ้าง หลังจากที่สองสามปีก่อนหน้านี้ไม่เห็นเลย (หัวเราะ)
 
รู้สึกอย่างไรที่ได้รับรางวัลซีไรต์ปีนี้?
 
     รู้สึกมีความสุขและท่วมท้นไปด้วยความสุข เพราะฉะนั้นผมยินดีที่จะรับรางวัลอย่างไม่เคอะเขิน มันเป็นช่วงเวลาขณะหนึ่ง รู้ว่ามันต้องจากไป ปีหน้าก็จะมีซีไรต์คนใหม่เล่มใหม่ เมื่อจะมีความสุขก็รู้สึกให้เต็มที่ครับ
 
เรื่องนี้ได้รางวัลแล้วจะเขียนอะไรต่อจากนี้? 
 
     ช่วงตั้งแต่พอเล่มนี้พิมพ์ออกมาและรู้ว่าสำนักพิมพ์ต้องส่งซีไรต์อยู่แล้ว จิตใจมันก็ไม่เป็นสุขอยู่แล้ว มัวแต่จะคอยดูว่าซีไรต์ปีนี้เขาจะเห็นเราไหม? คือต้องย้อนไปตอนที่ 'กระจกเงา/เงากระจก' ส่งเข้าประกวดซีไรต์ ปรากฏว่าไม่ได้เข้ารอบ รู้แต่ว่าเป็น 15 เล่มสุดท้าย แต่เรื่องมันไม่ถึง เกิดความรู้สึกว่าเลื่อนขั้นขึ้นมาแล้ว วันรุ่งขึ้น ถ้าดูวันที่คือ 27 กรกฎาคม ผมลุกขึ้นลงมือเขียนเล่มนี้เลย ก่อนจะประกาศผมต้องเอาความสนใจไปไว้ที่อื่น ในเมื่อผมมีนวนิยายมีเรื่องที่ผมอยากจะเขียนอยู่แล้ว ผมเริ่มเขียนนวนิยายเรื่องใหม่แล้ว
 
ได้ข่าวว่า 'ยายทิพย์' ตื่นเต้นดีใจมาก?
 
     ตื่นเต้นกว่าผมอีก (หัวเราะ) รางวัลนี้ทำให้แกได้รู้ว่าผมหนีออกจากบ้านไปทำไม ไปเรียนอะไร ไปทำอะไรเลี้ยงตัวเอง อยู่ดีๆ แกก็ได้รู้ว่าซีไรต์คืออะไร ตอนแม่โทรมาหลังจากประกาศช็อตลิสต์ไปแล้วสักสองสามวัน คนขายก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านเขาก็ตะโกนเรียกแม่ผมบอกว่ามีชื่อลูกชายเธอด้วย เขาบอกว่าได้รางวัลซีไรต์ ผมก็เลยบอกไปว่า..ยังไม่ได้แม่ เข้ารอบเฉยๆ (หัวเราะ) แกบอกว่าแม่ดีใจมาก แม่มีความสุขมาก ผมก็ฟัง ผมก็สงสัยว่าแกจะมีความสุขได้ยังไง แกรู้เหรอว่าซีไรต์คืออะไร ผมคันปากจนทนไม่ไหวเลยถามไปว่าแม่รู้หรือว่าซีไรต์คืออะไร แกบอกว่าแม่นี้เป็นคนกว้างขวางนะ และแกบอกว่าเขาพูดกันว่าเป็นรางวัลของคนเขียนหนังสือ เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเลย (หัวเราะ)
 
     ผมก็..โอเคแม่ๆ..ถ้าเขาเชื่อแบบนั้นก็ต้องปล่อยให้เขามีความสุขไป
                             
     อุทิศ เหมะมูล เกิดเมื่อปี 2518 อายุ 34 ปี ภูมิลำเนาเดิมเป็นคนแก่งคอย จังหวัดสระบุรี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เอกวิชาจิตรกรรม จากคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันดำรงชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานคร และทำงานเขียนอย่างต่อเนื่อง เคยผลงานรวมเล่มได้แก่ รวมเรื่องสั้น 2 เล่ม คือ 'ปริมาตรรำพึง' และ 'ไม่ย้อนคืน' นวนิยาย 2 เรื่อง คือ 'ระบำเมถุน' และ 'กระจกเงา/เงากระจก' และรวมบทความวิจารณ์ภาพยนตร์ 2 เล่ม คือ 151 Cinema และOutsider in Cinema 
 
คำประกาศ
ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ 
 
ศ.ดร.กุสุมา รักษมณี 
     "นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่มีมิติซับซ้อนและตัวละครมีความโดดเด่น การสร้างบรรยากาศทำให้เห็นความเคลื่อนไหวของตัวละคร แรกๆ ที่อ่านรู้สึกว่าทำไมละเอียดจัง แต่เมื่ออ่านไปแล้วจะเข้าใจว่ามีสิ่งนี้แล้วจึงมีสิ่งนี้ ทำให้เข้าใจตัวละครได้ดีทีเดียว และถือเป็นปีที่คณะกรรมการตัดสินง่ายมากเพราะทั้ง 7 คนมีมติเป็นเอกฉันท์"
 
ชมัยภร แสงกระจ่าง 
     "ฉากของนวนิยายเป็นถนนมิตรภาพ-สระบุรี ซึ่งหลายคนผ่านไปผ่านมารู้สึกว่าเป็นเมืองไม่มีอะไร เพราะมันมีมลพิษและโรงปูน ดูแล้วไร้ชีวิตชีวา แต่มันมีชีวิตจริง มีเลือดมีเนื้อ มีการพรรณนาภาพป่ากับภาพจิตข้างในว่าคนคนนี้ จิตของเขาเป็นอย่างไร ป่าเป็นเขาวงกต จิตของเขาก็เป็นเขาวงกตเช่นกัน นวนิยายเรื่องนี้ทำให้รู้ว่าฉากไม่ได้เป็นแค่สถานที่อีกต่อไป แต่สร้างให้มีชีวิตขึ้นมาได้ อ่านแล้วจดจำได้เหมือนตัวละคร"
 
ผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา 
     "ภาษาในเรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นภาษาวรรณศิลป์ ไม่ได้แค่ว่าภาษาสวย แต่ซ่อนนัยให้ติดตาม ภาษาช่วยสื่อความหลับและความลวง มันมีความลึกลับ ช่วยให้เห็นว่ามีนัยซ่อนอยู่ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ผู้เขียนใช้ภาษาเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เมื่อได้อ่านจริงๆ นวนิยายเรื่องนี้ได้พาเราไปสู่โลกของวรรณกรรม"
 
รศ.ดร.คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ 
     "การเขียนนวนิยายเป็นความท้าทายความสามารถของนักเขียน นวนิยายแนวชีวิตโดยทั่วไปจะมีตัวละครสมจริง แต่เรื่องนี้มีทั้งสองคือสมจริงและไม่สมจริง ตัวละครมีความลึก มีความซับซ้อน สัมผัสได้ และมีความโดดเด่นในตัวละครเป็นอย่างมาก ผู้เขียนสร้างตัวละครที่ไม่มีตัวตน แต่สร้างขึ้นมาได้อย่างแยบยล"
 
รศ.ดร.สรณัฐ ไตลังคะ 
     "ถ้ามาดูเนื้อเรื่องจะเห็นว่ามีความแยบยลคือให้เด็กชายคนหนึ่งเล่าเรื่องของตัวเอง เราจึงได้เห็นชีวิต สังคม ผ่านการเล่าเรื่องของเขา จะได้เห็นว่าเขาได้สร้างตัวตนจากวิธีการเล่าเรื่องของเขาอย่างไรบ้าง และมีความสมบูรณ์ในการเป็นมนุษย์ ทำให้เห็นว่าตัวละครผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างไร วิธีการเล่าเรื่องแบบนี้นำไปสู่ความเพลิดเพลินและมีประเด็นให้ได้ขบคิดอีกมากมาย"
 
ดร.สุรเดช โชติอุดมพันธ์ 
     "หากมองในแง่ทฤษฎีใหม่ๆ อย่างโพสต์โมเดิร์น นวนิยายเรื่องนี้มีความโดดเด่นในตัวของมันเอง โดยเฉพาะเรื่องเล่าในชีวิตประจำวัน เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าเป็นงานศิลปะชั้นสูง และศิลปะของการเล่าเรื่องเป็นสิ่งธรรมดาสามัญ แต่ซ่อนนัยไว้มากมาย"
 
อัศศิริ ธรรมโชติ 
     "นวนิยายเรื่องนี้มีความโดดเด่นสมบูรณ์ทั้งรูปแบบและเนื้อหา แม้ผู้เขียนจะเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยปู่และพ่อของตัวเอง แต่เรื่องเล่าทั้งหมดได้สะท้อนยุคสมัยตั้งแต่ถนนมิตรภาพกำลังพัฒนาไปสู่ยุคสมัยใหม่ จะได้เห็นภาพโรงงานอุตสาหกรรมโรงปูน และวิธีการเล่าเรื่องถ้าเป็นยุคนี้ต้องเรียกว่าเป็น 'ลับ ลวง พราง' เพราะผู้เขียนมีกลวิธีการเล่าเรื่องที่โดดเด่นมาก อ่านเสร็จแล้วอาจจะนั่งซึมสักพักหนึ่ง"

ความคุณบทความดีๆจาก : กรุงเทพธุรกิจ