อุทกภัยที่เห็น-เป็นอยู่-ผ่านไป ในกรณี ‘สุชาติ สวัสดิ์ศรี’

ว่ากันว่าอุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านไปกลืนกินหนังสือและหยาดน้ำตาคนในวงการวรรณกรรมมหาศาล
ซึ่งหนังสือกว่าแสนเล่ม ณ บ้านของสุชาติ สวัสดิ์ศรี ที่ต้องจมน้ำเกลี้ยงน่าจะสะท้อนความเสียหายที่เห็น เป็นอยู่ และผ่านไป อย่างแจ่มชัดที่สุด
คนในวงวรรณกรรมทราบดีว่า สุชาติ สวัสดิ์ศรี หรือ สิงห์สนามหลวง คือบรรณาธิการลำดับต้นๆ ของประเทศไทย ด้วยฝีไม้ลายมือทั้งเขียน ตรวจ แก้ ที่ไม่เป็นลองใครในบรรณพิภพทำให้คนในวงการนี้พร้อมใจยกน้ำชาหนึ่งจอกแล้วบอก "คารวะท่านอาจารย์" แต่อุทกภัยครั้งนั้นได้จัดสรรตำแหน่งใหม่ให้แก่เขา คือ ผู้ประสบอุทกภัยเต็มตัว
วันนี้…เหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว แต่เสียงแห่งความรับผิดชอบจากผู้ใหญ่นายโตยังเงียบอยู่ เหลือทิ้งไว้เพียงซากหนังสือเกลื่อนบ้านสุชาติให้ต้องเก็บกู้ตามอัตภาพ
0 ที่เห็น…
"…พอน้ำขึ้นถึงขอบหน้าต่างก็หมายความว่าเราเท้าไม่ถึงพื้นแล้ว ผมอาจจะถึง แต่ศรีดาวเรืองไม่ถึง โมนไม่ถึง ก็ต้องผูกเชือกลอยคอออกไป แต่เชือกมันก็ยาวแค่ประตู พอพ้นประตูก็ต้องว่ายน้ำออกไป แต่ศรีดาวเรืองว่ายน้ำไม่เป็นต้องหนีบแกลอนออกไป โมนก็ต้องเกาะต้นกล้วยออกไป โมนนี่พอถึงครึ่งทางก็ต้องหยุดพักเพราะเหนื่อย…"
ภาพวันที่หนังสือทยอยลอยออกจากห้องหับรวมทั้งตัวเขาและครอบครัวต้องลอยคอออกจากบ้านตามกระแสน้ำ ยังตกค้างในความทรงจำของบรรณาธิการเครางามคนนี้ ถึงแม้ก่อนหน้านั้นเขาจะเชื่อมั่นว่าสถานการณ์คงไม่เลวร้ายเกินกว่าที่เคยประสบมา และเขาเตรียมการอย่างดี
"เราคิดว่ามันรอด เพราะเราเทินไว้สูง มากกว่าเมตรครึ่ง แต่พอตู้มันโค่นทุกอย่างก็จมหมด ตรงนั้นก็โค่น ตรงนี้ก็โค่น โค่นหมดเลย แม้แต่แผ่นหนังก็หมด แต่ภาพเขียนเสียหายแค่ภาพเดียว"
ก่อนที่น้ำจะมาเคาะประตูบ้าน เขาเคยคิดว่าจะส่งมอบหนังสือแก่หน่วยงานต่างๆ เพื่อเก็บรักษา แต่หนังสือไม่ทันได้เปลี่ยนผู้ดูแล น้ำก็มาถึงบ้านเขาเสียก่อน ทั้งหนังสือและนิตยสารที่สะสมไว้ล้วนเสียหาย แต่ถือเป็นโชคดีของ โลกหนังสือ เพราะเขาย้ายไปไว้ชั้นบนด้วยจุดประสงค์ว่าจะเขียนบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับโลกหนังสือเพราะมีคนจะรวบรวมบทนำ โลกหนังสือจึง 'บังเอิญรอด' กระนั้นก็ยังมีประเภท 'บังเอิญตาย' เช่น สังคมศาสตร์ปริทัศน์, บานไม่รู้โรย ที่เขายอมรับว่าลืมย้ายขึ้นมาด้วยกัน
นอกจากหนังสือบางส่วนที่ถูกย้ายไปไว้ชั้นบนของบ้านแล้ว พวกหนังสือตามชั้นปกติที่ 'ดวงแข็ง' ก็ยังมีเหลือรอด โดยเฉพาะหนังสือภาษาอังกฤษ วรรณกรรมเอเชีย วรรณกรรมแอฟริกา ละตินอเมริกา นิยายวิทยาศาตร์ ทฤษฎีการเมือง สังคมศาสตร์ และหนังสือสมัยสุชาติเป็นนักศึกษา คือช่วงยุค 70 ซึ่งบังเอิญถูกจัดวางไว้บนสุดของชั้นหนังสือ ทว่าน่าเสียดายที่ชั้นล่างคือวรรณกรรมร่วมสมัยยุค 80 ยุคเริ่มต้น Booker Prize วรรณคดีฝรั่งเศส วรรณคดีเยอรมัน รวมทั้งนิตยสารระดับตำนานของไทย เช่น ฟ้าเมืองไทย ฟ้าเมืองทอง ลลนา กะรัต ฯลฯ
"ฟ้าเมืองไทยที่พี่อาจินต์ให้มาตั้งแต่เล่มแรก ฟ้าเมืองทองทั้งสองยุค ทั้งยุคพี่อาจินต์ (อาจินต์ ปัญจพรรค์) และยุคนิรันศักดิ์ (นิรันศักดิ์ บุญจันทร์) ไปหมด ลลนา, กะรัต, GM, aday, สีสัน, สารคดี ฯลฯ ที่เขาให้มาตั้งแต่เล่มแรก ก็เหลือไม่กี่เล่ม"
หนังสือที่เหลืออยู่ ณ ปัจจุบันจากคำบอกเล่าของสุชาติ คือ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เสียหายกะเกณฑ์ได้ประมาณหนึ่งแสนเล่ม ด้วยจำนวนหนังสือที่มีมูลค่ามหาศาลอาจทำให้ผู้ครอบครองต้องนึกเสียดายอย่างยิ่ง แต่สำหรับ 'สิงห์สนามหลวง' นี่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น
"มีคนหาว่าผมเสียดาย เสียใจ ร้องไห้หรือเปล่า…ร้องทำไม ? ถ้าหากจะเข้าใจมัน คือ สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น จะว่าผมประมาทก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผมเทินของไว้อย่างน้อยเมตรครึ่ง แต่น้ำมา สองเมตรครึ่งถึงสามเมตร เราก็คิดว่าน้ำจะประมาณหนึ่งเมตร คือเท่าๆ กับปี 2538 ในปีนั้นเรายังนั่งอาบน้ำตรงที่พักบันไดได้"
เขาเชื่อว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของมหาอุทกภัยคือการเมืองอันเน่าเฟะ ที่ผลลัพธ์อันชั่วร้ายต้องตกกับชาวประชารากหญ้า
"สิ่งที่เกิดขึ้นก็เหมือนเราประมาททั้งๆ ที่เราไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริงและการบริหารจัดการที่มีการเมืองอยู่เบื้องหลังทำให้ภัยธรรมชาติครั้งนี้เป็นเรื่องการเมือง ผมถือว่า 6 ตุลา ผมพบภัยการเมืองซึ่งเป็นการเมืองเพียวๆ แต่ครั้งนี้มันผ่านมาจากน้ำที่เรียกว่าอุทกภัย ภัยธรรมชาติ"
และสิ่งที่เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองคือแม้จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงเพียงนี้ แต่หาได้มีการรับผิดชอบทางการเมืองอันชัดเจนไม่ มีเพียงคำปลอบประโลม และเบี่ยงเบนประเด็นให้เป็นการเยียวยา ฟื้นฟู ท้ายที่สุดก็จะลบเลือนไปอย่างเงียบงัน
"ถามหน่อยสิว่าการที่เกิดอุทกภัยครั้งนี้ มีการรับผิดชอบทางการเมืองมากน้อยแค่ไหน ถ้าเรียกร้องว่า 91 ศพ เมื่อปีก่อน เรียกร้องความรับผิดชอบทางการเมือง ภัยน้ำท่วมครั้งนี้คนตายตั้ง 600 กว่าคน ความรับผิดชอบทางการเมืองอยู่ที่ใคร"
0 เป็นอยู่…
เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นและมีข่าวแพร่สะพัดออกไปในวงวรรณกรรมว่า สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นหนึ่งในผู้ประสบอุทกภัย และมีหนังสือในอาณัติจมน้ำกว่าแสนเล่ม บางคนรีบส่งกำลังใจ ขณะที่บางคนยื่นมือมาช่วยเหลือ เช่น สถาบันเกอเธ่ เสนอมาตรการช่วยเหลือให้แก่เขา โดยกระบวนการกู้หนังสือแบบล้ำๆ คือ แช่แข็งหนังสือเหล่านั้น 48 ชั่วโมง เพื่อรักษาระดับความชื้นไม่ให้เพิ่มขึ้นซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา ระหว่างตัดสินใจ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือ พี่เช็คแห่งทีวีบูรพาและอดีตลูกหม้อช่อการะเกด ก็รีบจัดแจงส่งตู้แช่มาให้แก่สุชาติ ทว่าเมื่อแช่หนังสือครบเวลาดังกล่าว กระบวนการต่อไป คือ รีดหนังสือเพื่อไล่ความชื้นด้วยเครื่องมืออันทันสมัย…ซึ่งยังไม่มี ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ สุชาติจึงเลือกใช้วิธีบ้านๆ ค่อยๆ เช็ดรา เปิดกรีดทีละหน้า ไปพลางๆ ก่อน
ขณะที่สุชาติต้องออกไปพักพิงที่อื่นและน้ำยังคงท่วมมากอยู่ หนังสือคือสิ่งที่เขาห่วงหามาก ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงสุนัขที่บ้านไม่น้อยไปกว่ากัน จนอดรนทนไม่ได้ต้องหาโอกาสเข้าไปดูแลและให้อาหารแก่พวกมัน ช่วงเวลาเดียวกันนั้นบรรณาธิการเครางามได้นั่งมองหนังสือลอยน้ำอย่างสงบเงียบ กระทั่งน้ำเริ่มลด…ความเป็นจริงจึงปรากฏ
"สิ่งที่ปรากฏคือความพินาศ ผมเปรียบเทียบชั้นบนกับชั้นล่างว่าคือสวรรค์กับนรก พอน้ำไปแล้วเราจะเห็นหนังสือเปื่อยยุ่ยเป็นกระดาษสา พอน้ำใกล้แห้งผมก็ต้องเปิดหน้าต่างให้อากาศมันเข้ามา ผมก็ต้องเหยียบเข้าไป มันก็เหมือนเหยียบไปบนซากศพ ซึ่งก็มีสภาพต่างๆ กัน ก็ต้องขนมันออกไป ก็เหมือนคนตายแล้วไปวัด แต่ตอนที่ขนไปก็รู้ว่าบางเล่มยังใช้ได้ แต่ต้องขนไปก่อน เพราะเป้าหมายของเราคือกู้บ้านก่อน กู้หนังสือทีหลัง"
นัยหนึ่งนี่คือความสูญเสียของหนังสือนับแสนเล่ม แต่อีกนัยหนึ่งนี่คือความสูญเสียของมรดกทางปัญญา ซึ่งอาจหาไม่ได้ตามหอสมุดทั่วไป แม้กระทั่งหอสมุดแห่งชาติ
สิงห์สนามหลวงเปรียบเทียบความรู้สึกของเขากับ สืบ นาคะเสถียร ครั้งช่วยเหลืออพยพสัตว์ป่าในการสร้างเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) ซึ่งช่วยได้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น สืบช่วยสัตว์ป่าเพื่อธำรงไว้ซึ่งสมดุลแห่งป่า สุชาติเก็บรักษาหนังสือมากมายเพื่อธำรงไว้ซึ่งสติปัญญาแห่งชาติ
"ผมเก็บหนังสือไว้ทำไม ผมไม่ได้เก็บหนังสือเพื่อตัวเอง แม้ว่ามันจะอยู่ที่บ้านของผม ไม่ได้อยู่ที่ส่วนสาธารณะ แต่เมื่อใครต้องการ ก็บอกมาว่ามีความประสงค์อย่างไร ผมก็ให้ความร่วมมือ บอกให้ชัดเจน ผมจะขนหนังสือมากองให้เลย ทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ ด็อกเตอร์หลายคนก็ได้ใช้บริการตรงนี้"
"สิ่งที่ผมทำผมหวังว่าวันหนึ่งจะเป็นสมบัติของชาติ เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นประวัติศาสตร์สังคม แล้วแต่คนรุ่นต่อไปจะให้ความหมายมัน เอกสารและสิ่งเหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไปก็คือเอกสารชั้นต้นของคนรุ่นเก่า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือโป๊ หนังสือการเมือง หนังสือทุกๆ ประเภท ผมก็เก็บหนังสือทุกๆ ประเภท เพราะการเก็บหนังสือทุกประเภทนั้นผมต้องทำหน้าที่เหมือนบรรณารักษ์ ไม่เลือกที่รักไม่มักที่ชัง หนังสือแนวคิดทางการเมือง หนังสือต้องห้ามสมัย 6 ตุลา รวมทั้งหนังสือของผมเองก็จมไปหมดแล้ว หนังสือต้องห้ามที่ผมเคยฝังดินไว้เพราะเกิดภัยการเมืองช่วงนั้นมันก็รอดจากเหตุการณ์การเมืองเมื่อปี 2519 มาจนกระทั่งปีนี้ ไม่รอด"
แน่นอนว่าภัยพิบัติครั้งนี้สร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง ทุกส่วนของวงวรรณกรรมล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น ในส่วนนักเขียน สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ได้จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือนักเขียนประสบอุทกภัย โดยมีชื่อของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นหนึ่งในตัวชูโรงด้วย แต่สำหรับเขานี่เป็นวัฒนธรรมที่เขาไม่ชอบใจอย่างยิ่ง แม้จะมีเจตนาดีก็ตาม
"สมาคมนักเขียนฯ จะให้เงินผม 10,000 บาท แต่ผมไม่รับ ผมบอกเขาว่า "คุณยิงก่อนถามทีหลัง" อีกอย่างผมก็ไม่ใข่สมาชิกสมาคมฯ ผมอาจไปให้เงินรายปี เพราะอยากได้หนังสือปากไก่ แต่บางปีก็ไม่ได้เป็น แต่คนที่บ้านเป็นสมาชิกตลอดชีพสองคน แต่ทำไมชื่อถึงตกหล่นไป เขามีฐานะเป็นศิลปิน เป็นนักเขียนเหมือนกัน โดยปัจเจกแล้วก็ต้องแยกไป แต่นี่โดน 'เหมาโหลถูกกว่า' ผมมองว่าเขาเจตนาดีแต่วิธีการผิดพลาด อีกอย่างหนึ่งเขาไปสร้างกิจกรรมขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่ามีการทำสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือบรรดานักเขียนทั้งหลาย แต่ว่าข้อมูลที่เขารวบรวมมาก็มีทั้งส่วนที่เป็นจริงและไม่เป็นจริง"
"ถ้าหากมีวิธีการที่ดีทำไมผมจะไม่ยอมรับ เพราะโดยสถานะ ที่นี่ก็มีสมาชิกสมาคมตั้งสองคน แต่เขาต้องเป็นปัจเจกของเขา แต่นี่คงเห็นว่าผมเป็นหัวหน้าครอบครัวล่ะมั้งภาพเลยไม่ปรากฏ โดยเจตนานั้นดี ถ้าเขามีวิธีการที่ดี ที่ถูกต้องสักหน่อย ผมไม่ใช่คนเรื่องมาก แต่ผมต้องการความชัดเจน เพราะฉะนั้นผมเข้าใจเจตนา แต่วิธีการ ขอคิดดูก่อน และผมก็ปฏิเสธไป"
0 ผ่านไป…
ถึงแม้หนังสือจะกองโตมโหฬารอยู่เบื้องหน้าสุชาติ แต่เขาก็ยืนยันจะกู้บ้านก่อน สิ่งที่เขาเลือกทำต่อหนังสือจำนวนมหาศาล ณ ปัจจุบัน คือนำไปกองรวมกันไว้และนิยามมันขึ้นเป็นศิลปะจัดวางที่บอกอะไรบางอย่างแก่ผู้กุมอำนาจไว้ แต่หาได้มีความรับผิดชอบไม่
"คิดว่าหากเป็นงานศิลปะก็ถือเป็นงานจัดวาง เป็น art inspiration ที่ลงทุนมหาศาล ผู้เป็นศิลปินที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น คือ น้องน้ำ เขาทำให้ เป็นงานจัดวางลักษณะที่เป็นรูปเครื่องหมายคำถามกับรูปเครื่องหมายตกใจ แต่ตอนนี้หนังสือมันมากเสียจนเครื่องหมายคำถามค่อยๆ กลายสภาพ ก็มีอารมณ์เสียดเย้ย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเสียดาย ถึงจะรักแค่ไหน ถึงเวลาจำจากพรากมันก็ต้องไป"
และมีข่าวแว่วมาว่า อีกไม่นานจะเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมงานศิลป์ชิ้นเอกอุฝีมือน้องน้ำ โดยเฉพาะผู้นั่งลอยหน้าลอยตาในสภาควรเยี่ยมชมงานศิลป์ชิ้นนี้อย่างยิ่ง
ทรัพย์สินที่เสียหาย สภาพจิตใจที่ทรุดโทรม อาจผลักไสให้หลายคนเลือก 'หนี' ไปอยู่ถิ่นที่อื่น ด้วยหวังว่าจะไม่ต้องกลายเป็นผู้ประสบอุทกภัยซ้ำรอยอีก ยิ่งถ้าหากถูกเล่นงานหนักอย่างสุชาติ สวัสดิ์ศรี คงไม่ทนอยู่แน่นอน ทว่าไม่ใช่เลย เพราะสิงห์ก็คือสิงห์ ยังยืนหยัดสู้ต่อไป
"ผมถามตัวเองว่าอีก 5 เดือนผมไปไหน บางคนบอกว่าจะไม่อยู่แล้ว จะไปอยู่ต่างจังหวัด ผมจะอยู่ที่นี่ ก็อาศัยบทเรียนที่เกิดขึ้นตรงนี้ อย่างน้อยก็เห็น อย่างคนที่มาช่วยผม ส่วนใหญ่ก็เป็นคนในแวดวงวรรณกรรมทั้งหมดก็ไม่ใช่ อย่างเวียง (วชิระ บัวสนธ์) เขาก็เอาพวกนักศึกษาที่เขาสอนอยู่ที่ ม.บูรพามาช่วย ก็เลยเกิดจิตอาสาโดยคนนอกกลุ่มวรรณกรรม"
ที่สำคัญเขาให้เกียรติธรรมชาติเสมอ เขาเชื่อว่าพื้นที่แห่งนี้ต้องอยู่คู่กับน้ำ ทั้งคนและธรรมชาติต้องเกื้อกูลกัน อุทกภัยครั้งนี้ทำให้เขาเข้าใจธรรมชาติ…
"อุษาคเนย์เป็นพื้นที่ของแม่น้ำลำคลอง เราก็ยกประโยชน์ให้น้ำเป็นแม่คงคา เพราะฉะนั้นมันมีประโยชน์มากกว่ามีโทษ เพียงแต่ว่าคุณไม่รู้วิธีจัดการมันก็เป็นโทษ"
และเข้าใจหัวใจตัวเอง…
"ถึงจะเสียดายขนาดไหน ก็ยังมีสิ่งที่เหลือรอด หลายสิ่งหลายอย่างก็ยังอยู่กับผม อย่างน้อยก็ตัวตนของผม ในความหมายคือ ผมก็ยังอยู่ ลูกเมียก็ยังอยู่ ถ้าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นมา คงจะเสียดายมากกว่าหนังสือ ผมคงเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะผมเป็นคนที่รั้งรอ เหนี่ยวรั้งเขาไว้ จนกระทั่งไฟตัด น้ำขึ้นเกือบจะท่วมหัว ก็เกิดความรับผิดชอบขึ้น ถึงยอมเป็นผู้ประสบภัย ลอยคอออกไป ไปแก้ปัญหาข้างหน้า แต่ 3 วันผมก็กลับมา เป็นห่วงหมาด้วย อยากดูระดับน้ำด้วย มีหมา 6 ตัว บอกกับหมาทุกตัว "ไอ้บิ๊กรอด ไอ้สู้รอด ไอ้หน้าหน้าขาวรอด ไอ้นวลรอด ไอ้ไหมรอด ไอ้จิ้งรอด" ตลกๆ กับมัน ตอนที่มาเห็นมันรอด"
"เริ่มต้นมันก็เป็นทุกข์ แต่ต่อมามันก็เป็นอนิจจัง และสิ่งนี้ก็อาจเกิดขึ้นอีก นักเขียนทุกคนก็ควรเรียนรู้จากมันไว้ คือ ความทุกข์ ความเปลี่ยนแปลง ผมไม่ทราบว่านี่คือทางบวกหรือเปล่า แต่พระพุทธเจ้าก็สอนมานานแล้ว คำสอนสุดท้ายก็บอก จงอย่าประมาท"
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com