Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

อุตสาหกรรมสำนักพิมพ์ ’54 ธุรกิจ/ความคิด/การแข่งขัน

 

      
อุตสาหกรรมสำนักพิมพ์มีตัวเลขมูลค่าการตลาดในปี 2553 กว่า 20,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเติบโตจากเมื่อปี 2552 ซึ่งมีมูลค่าการตลาดมากถึง 19,200 ล้านบาท ที่มาของตัวเลขมหาศาลนี้คืออะไร และเป็นเพราะอะไรจึงทำให้อุตสาหกรรมนี้เกิดการแข่งขันกันอย่างร้อนแรง ….ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นโจทย์ที่น่าหาคำตอบอย่างยิ่ง
 
 
หรือเพราะนโยบายภาครัฐ?
 
จากแรงกระตุ้นของมาตรการภาครัฐ แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมสำนักพิมพ์ได้รับผลโดยตรงจากนโยบายทั้ง "ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง" และ "ทศวรรษแห่งการอ่านแห่งชาติ" หรือ….โดยที่ทั้งมาตรการและนโยบายดังกล่าว กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และส่งเสริมการอ่านหนังสือ ทว่าผลได้กับผลเสีย สิ่งใดมาก สิ่งใดน้อย หรือพอจะทดแทนได้หรือไม่นั้น อาจต้องสืบค้นลงลึกแต่ละประเด็นความ
 
การเดินหน้าส่งเสริมการอ่านผ่านนโยบายภาครัฐเกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว บางนโยบายเห็นผลเป็นรูปธรรม แต่บางนโยบายก็เกิดขึ้นเพียงชื่อที่งามหรู แต่ผลการดำเนินการกลับลอยหายเข้ากลีบเมฆ อาทิ
 
  ปี 2546 ได้รับการกำหนดให้เป็นปีแห่งการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ 
 ปี 2552 รัฐบาลกำหนดให้การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ โดยกำหนดให้วันที่ 2 เมษายน ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็น "วันรักการอ่าน"
 ปี 2552-2561 รัฐบาลกำหนดให้เป็น "ทศวรรษแห่งการอ่านของชาติ"
 ปี 2553 คณะรัฐมนตรี อนุมัติมาตรการทางภาษีที่เกี่ยวกับการลดหย่อนค่าใช้จ่ายจากการบริจาคหนังสือเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการอ่าน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2554
 ปี 2555 กำหนดเป้าหมายเพิ่มค่าเฉลี่ยการอ่านหนังสือของคนไทยเป็นเท่าตัวจากค่าเฉลี่ยในปี 2552
 
นอกเหนือจากมาตรการที่รัฐเป็นผู้ลงมาดำเนินการโดยตรง ยังมีมาตรการทางอ้อมด้านภาษีที่ช่วยกระตุ้นนโยบายข้างต้นและมีทีท่าว่าจะได้ผลมากในวงกว้าง โดยการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการซื้อหนังสือเพื่ออ่านเอง หรือบริจาค ซึ่งรัฐบาลให้เหตุผลว่าเป็นการสร้างจิตสาธารณะ และยังแบ่งเบาภาระของภาครัฐในการจัดสรรงบประมาณเพื่อซื้อหนังสือกระจายเข้าสู่แหล่งเรียนรู้และห้องสมุดด้วย
 
หลากหลายนโยบายเหล่านั้น…ริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นผลของมาตรการทางภาษีว่า “จะส่งผลทางบวกต่อแหล่งเรียนรู้หรือห้องสมุดที่จะมีหนังสือมากขึ้น แม้จะมีข้อคิดเห็นในความห่วงใยว่า การส่งเสริมนโยบายบริจาคจะทำให้มีหนังสือที่ไม่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบห้องสมุด ซึ่งเป็นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป
 
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าองค์กรธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมากได้เข้าไปมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม และจำนวนไม่น้อยที่ส่งเสริมการศึกษาในรูปแบบต่างๆ เช่น การบริจาคเงินเพื่อจัดสร้างห้องสมุด บริจาคหนังสือ และสื่อการเรียนการสอนอันเป็นการช่วยให้โรงเรียนหรือแหล่งเรียนรู้ที่ขาดศักยภาพมีความสามารถสูงขึ้นในการให้บริการต่อชุมชน  แน่นอน ก็อาจมีบุคคลบางกลุ่มหรือบางองค์กรที่อาศัยนโยบายบริจาคเพื่อประโยชน์ส่วนตน ในเรื่องประโยชน์ของมาตรการทางภาษีจึงควรมองที่วัตถุประสงค์และเป้าหมายรวม  และผู้รับต้องสร้างหลักการหรือหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบหนังสือบริจาคที่ได้รับบริจาค โดยให้ข้อมูลหนังสือที่ต้องการที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน และเมื่อชุมชนได้ประโยชน์สามารถพัฒนาตนเองจากการอ่านหนังสือในห้องสมุด ก็จะมาอ่านมากขึ้นใช้ห้องสมุดบ่อยขึ้น”
 
นอกจากนี้แล้ว ในอีกมุมหนึ่งยังมีผู้ที่คร่ำหวอดในแวดวงหนังสือมานาน และมองเห็นช่องโหว่ของการใช้มาตรการลดหย่อนภาษีกระตุ้นให้คนบริจาคหนังสือก็คือ มกุฎ อรฤดี บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ซึ่งเคยแสดงทัศนะต่อเรื่องนี้ในงานชุมนุมช่างวรรณกรรม ประจำปี 2553 ว่า
 
"…เรากำลังอยู่ท่ามกลางหายนะ ขอให้เชื่อผมว่าในอีกสิบปีข้างหน้า หลังจากนี้เมื่อนโยบายนี้ นโยบายบริจาคหนังสือเสรีของรัฐบาลใช้อย่างเป็นผล หลังจากกฤษฎีกาประกาศใช้ ขณะนี้ยังเป็นร่างมติ เรายังมีโอกาสแก้ไขได้ ด้วยการล้มกฤษฎีกานี้ แต่ถ้าเมื่อใดกฤษฎีกานี้ประกาศใช้ หายนะ จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ทำไม เพราะว่าเมื่อถึงเวลานั้น หนังสือต่างๆ จะประเดประดังไปยังห้องสมุดโรงเรียนต่างๆ โดยที่ไม่มีใครคัดเลือก ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อเราไปทำงานวิจัยระบบหนังสือหมุนเวียนในมัสยิด เราเพิ่งกลับมาจากจังหวัดกระบี่เมื่อวานซืนนี้เองไปทำงานวิจัยหนังสือหมุนเวียนในมัสยิดเพื่อที่จะตอบคำถามแก่รัฐบาลว่า ถ้าบริจาคหนังสือเสรี แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ฉิบหาย ! คือคำตอบ
 
ประเทศนี้จะฉิบหายในเวลาไม่เกินสิบปี เพราะนักการเมืองย่อมพิมพ์หนังสือแจกไปตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อหาเสียงให้แก่คนของตน โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย เพราะนักการเมืองว่าจ้างโรงพิมพ์พิมพ์หนังสือจำนวนสิบบาท ญาติของนักการเมืองมีสิทธิ์ที่จะไปเบิกจากภาษีที่บริจาคไป โดยไม่มีชื่อของนักการเมืองเลย แต่หนังสือเหล่านั้นจะไปถึงมือเด็ก และเป็นเครื่องมือหาเสียงดีที่สุด นี่แค่เฉพาะนักการเมืองอย่างเดียว แล้วสินค้าทั้งหลายล่ะ สินค้าทั้งหลายจะส่งหนังสือไปตามโรงเรียนต่างๆ ตามห้องสมุดด้วยโครงการบริจาค สินค้าในหนังสือที่ไปบริจาคนั้นเต็มไปหมด แล้วเด็กจะได้รับอะไร เด็กก็จะได้รับขยะจากการส่งไป ด้วยการบริจาค ด้วยความรู้สึกว่าได้รับของฟรี รัฐบาลต้องการอย่างนั้น
 
ผมได้ไปเห็นหนังสือ เรียกว่าสมุดบันทึกการอ่านซึ่งสำนักพิมพ์แจกไปยังโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กๆ ชั้นประถม ในนั้นเต็มไปด้วยโฆษณา ทั้งโฆษณาของสำนักพิมพ์เอง และโฆษณาสินค้าที่นอกเหนือจากหนังสือ สมองเด็กเล็กๆ ถูกยัดเยียดสิ่งซึ่งพวกเขารับไม่ไหว แยกไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรชั่วอะไรดี นักการเมืองคนไหนดี นักการเมืองคนไหนชั่ว เขาไม่รู้ แต่เขาเห็นว่า หนังสือที่เขาได้นั้นฟรี ก็กลับไปบอกแม่ว่าคนนี้ให้ของฟรีเรานะ หายนะกำลังจะบังเกิดแก่ประเทศนี้…
 
…รัฐบาลทำอะไรได้เยอะแยะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ผมเริ่มเข้าไปทำงานให้รัฐบาล พ.ศ. 2515-2516 รัฐบาลทำอะไรได้มาก รัฐบาลมีเงินนับพันล้าน เพื่อที่จะเปิดห้องห้องสมุดในห้างสรรพสินค้าหนึ่งแห่ง แต่รัฐบาลไม่คิดว่า จะทำอย่างไรที่ให้ระบบกลไกนี่เป็นเอกภาพ หอสมุดแห่งชาติง่อย มีงบประมาณน้อยกว่างบประมาณของห้องสมุดหนึ่งแห่งในห้างสรรพสินค้า หนังสือบางเล่มในห้องสมุดแห่งชาติ ที่เป็นหนังสือราคาแพง หอสมุดแห่งชาติไม่มี ระบบการค้นคว้า หอสมุดแห่งชาติไม่มี ระบบการยืมออก หอสมุดแห่งชาติไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างหอสมุดแห่งชาติไม่มีหมด ตามมาตรฐานหอสมุดแห่งชาติอื่นๆ ในโลก แม้แต่ประเทศเขมรและลาว เรานิ่งเฉยไม่ได้นะ เด็กของเรากำลังเดินตามหลังเรามา แต่ระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อ เต็มไปด้วยขวากหนาม เต็มไปด้วยกับดักของนักการเมือง ทุกยุคทุกสมัยเหมือนกันหมด นักการเมืองเห็นแก่ตัว นักการเมืองเห็นแก่ได้ นักการเมืองเห็นแก่หาเสียง…
 
 
…ประเทศนี้น่าเป็นห่วง ถ้าเรามองในแง่ของนักเขียนทั้งหลาย ผมอยากจะบอกว่าลองขยับออกมาจากที่ที่ท่านยืนอยู่ ที่ที่ท่านนั่งอยู่สักก้าวหนึ่ง แล้วมองดูประเทศนี้โดยภาพรวม อย่ามองดูเพียงปีละสองครั้งที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพราะนั่นคือกับดักอันหนึ่งที่ทำให้ระบบหนังสือของประเทศนี้ฉิบหายไปทีละน้อยทีละน้อย และในที่สุดมันจะถึงแก่วาระเสื่อม…"
 
ทางเลือกที่น้อยลงของสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก
 
แม้อุตสาหกรรมหนังสือจะเติบโตขึ้น แต่ถ้าหากพิจารณารายละเอียด จะพบว่า สำนักพิมพ์ที่เป็นผู้เล่นในสนามอุตสาหกรรมนี้ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือกลุ่มผู้นำการตลาด (มีทั้งหมด 8 ราย) เป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวของรายได้สูงสุด คือ 17.44% รองลงมาคือ กลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดกลาง (มีทั้งหมด 45 ราย) และขนาดใหญ่ (25 ราย) ที่มีอัตราการขยายตัว 4.7% และ 4.21% ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก มีมากถึง 320 ราย  อัตราการขยายตัวลดลง 20.88% และเป็นการขยายตัวลดลงต่อเนื่องจากปี 2551 ซึ่งมีอัตราขยายตัวลดลง 15%
 
จากตัวเลขข้างต้นนี้ส่งสัญญาณบางอย่างว่าสำนักพิมพ์ขนาดเล็กโดยรวมขาดศักยภาพในการแข่งขันโดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันทางการตลาด จากการสำรวจของสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย พบว่าสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก 208 แห่งจาก 320 แห่งมีการขยายตัวลดลง และยังมีแนวโน้มเช่นนี้อีกในปี 2553 ที่ผ่านมา
 
อุตสาหกรรมสำนักพิมพ์มีจำนวนผู้ประกอบการค่อนข้างมาก และมีขนาดของกิจการที่แตกต่างกันค่อนข้างสูง ประกอบกับผลิตภัณฑ์สิ่งพิมพ์ของแต่ละสำนักพิมพ์ มีความแตกต่างกันและมีลักษณะเฉพาะที่ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกได้โดยอิสระ เรื่องราคาก็เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการแต่ละรายกำหนดเอง อุปสงค์-อุปทาน (Demand-Supply) จึงเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายของสำนักพิมพ์ทั้งหมด รวมทั้งปัจจัยทางด้านเศรษฐศาสตร์ (Economic Factors) ด้วย เช่น รายได้ผู้บริโภค ถ้ารายได้มากก็มีกำลังซื้อมาก ราคาของผลิตภัณฑ์ ถ้ามีราคาถูกก็จะขายได้มาก และต้นทุนการผลิต หนึ่งในตัวควบคุมราคาผลิตภัณฑ์ให้แพงหรือถูก เป็นต้น อุตสาหกรรมสำนักพิมพ์จึงจัดได้ว่ามีการแข่งขันแบบกึ่งสมบูรณ์ (Monopolistic Competition) คือ เป็นอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการแต่ละรายกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ของตนเองได้อย่างอิสระ ตามความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ระหว่างสำนักพิมพ์ โดยผู้บริโภคสามารถใช้วิจารณญาณเลือกซื้อเองได้ตามต้องการและความพอใจ
 
จากข้อมูลของสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ในปี 2553 พบว่ากลุ่มผู้นำตลาดและกลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ครอบครองตลาดประมาณ 60% ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการเพียง 30 รายเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการแข่งขันอยู่ที่กลุ่มผู้นำตลาดและกลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ แต่ในทางตรงกันข้าม กลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดเล็กมีสัดส่วนครอบครองตลาดเพียง 15% ทั้งๆ ที่มีจำนวนผู้ประกอบการถึง 320 ราย สำนักพิมพ์ขนาดเล็กจึงเป็นกลุ่มที่แข่งขันได้ยาก ปัญหาหลักของกลุ่มนี้อาจเกิดจากขนาดของกิจการและปริมาณเงินทุน ซึ่งมีความจำเป็นในการบริหารเพื่อแข่งขันทางการตลาด
 
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการครอบครองตลาดเฉลี่ยต่อราย เริ่มมีแนวโน้มลดลงมาอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มสำนักพิมพ์ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากจำนวนผู้ประกอบการที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น นอกจากนี้สัดส่วนการครอบครองตลาดเฉลี่ยต่อรายสำหรับสำนักพิมพ์ในกลุ่มต้นๆ ที่มีการลดลง ยังเกิดจากความสามารถในการแข่งขันที่มากขึ้นของกลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดรองๆ ลงมา ที่สามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นจนสามารถเลื่อนขึ้นมาอยู่ในกลุ่มสำนักพิมพ์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้
 
โดยหากพิจารณาในแง่กลยุทธ์การแข่งขันแล้วอาจคาดการณ์ได้ว่า ผู้ประกอบการในกลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ จะต้องหาวิธีการและกลยุทธ์ใหม่ๆ ในการรักษาฐานยอดขายของตนไว้ พร้อมทั้งจะต้องทำการเพิ่มยอดขายให้ผลประกอบการของตนไม่ได้รับผลกระทบ แต่ในทางตรงกันข้าม การยิ่งเพิ่มศักยภาพและอำนาจในการแข่งขันของผู้ประกอบการลำดับต้นๆ กลับยิ่งซ้ำเติมให้สำนักพิมพ์ขนาดเล็ก ยิ่งประสบกับความยากลำบากในการแข่งขันมากขึ้น
 
ทิศทางสำนักพิมพ์ปี 54
 
จากสถิติปีก่อนๆ อุตสาหกรรมสำนักพิมพ์ยังเติบโตได้เรื่อยๆ และในปี 2554 นี้เชื่อว่ายังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากแรงหนุนดังที่นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เปิดเผยว่า "แรงหนุนที่สำคัญในการเติบโตของอุตสาหกรรมหนังสือ คือ 
 
 
1.การคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สำหรับปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 4.5% 
 2.การกำหนดเป้าหมาย การเพิ่มค่าเฉลี่ยการอ่านหนังสือของคนไทยจาก 5 เล่มต่อปีเป็น 10 เล่มต่อปี ในปี 2555 อันเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดให้ปี 2552-2561 ที่รัฐบาลกำหนดให้เป็น "ทศวรรษแห่งการอ่านของชาติ" 
 3.ปี 2553 คณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการทางภาษีเกี่ยวกับการลดหย่อนค่าใช้จ่ายจากการบริจาคหนังสือเพื่อส่งเสริมการอ่าน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2554
 
คาดว่าในปี 2554 อุตสาหกรรมสำนักพิมพ์จะมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 หรือมีมูลค่าตลาดระหว่าง 21,000-22,000 ล้านบาท"
 
 
e-Book สื่อใหม่สะเทือนวงการ ?
 
ใกล้ตัวนักอ่านเข้ามาทุกที สำหรับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) บางคนอาจมีครอบครองแล้ว บางคนก็อาจกำลังคิดหาไว้ครอบครอง  ทว่า วงการอุตสาหกรรมสำนักพิมพ์จะเตรียมการ หรือปรับตัวรับมืออย่างไร 
 
 
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ริสรวล อร่ามเจริญ กล่าวถึงสื่อใหม่ประเภทนี้ว่า "ในงานมหกรรมหนังสือฯ ครั้งที่ผ่านมาเรามีการสำรวจจากผู้ร่วมงาน พบว่ามี 3% จากพันกว่าคน ที่ชอบอ่านหนังสือประเภท e-Book ดิฉันก็เพิ่งไปซื้อเครื่องอ่านมา มันเป็นสิ่งที่คิดว่าต่อไปคนส่วนใหญ่ต้องมี มันมีครบทุกอย่าง ถ้ามองไม่เห็นก็ซูมเข้าซูมออกได้ แต่ถ้าถามว่าคนจะทิ้งหนังสือเล่มๆ ไหม ก็คงไม่ทิ้ง อยากจะบอกเพื่อนๆ สำนักพิมพ์ทั้งหลายว่า อย่าไปวิตกจนไม่กล้าทำอะไร ที่สำคัญที่สุด คือต้องคุยกับนักเขียนของท่านว่า เมื่อได้ต้นฉบับมา ลิขสิทธิ์เป็นของใคร เขามีสิทธิ์ไปขายเองหรือเราเป็นคนขาย ตรงนี้คือ กุญแจดอกสำคัญของสำนักพิมพ์ คุยกันให้ดี"
 
 
ในประเทศไทย e-Book มีโอกาสสูงที่จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่ส่งผลให้การเข้าถึงสื่อโดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตสะดวกรวดเร็วมากขึ้น สังเกตได้จากจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต และจำนวนเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีมากขึ้น ดังนั้น การเข้าถึง e-Book ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจึงได้รับความสนใจจากคนทุกระดับ ทุกอาชีพ
 
 
ด้วยสิ่งที่ e-Book แซงหน้าหนังสือเล่มไปอย่างไม่เห็นฝุ่น เช่น ไม่ต้องใช้กระดาษ สร้างภาพเคลื่อนไหว ใส่เสียงประกอบได้ แก้ไขปรับปรุงข้อมูลได้ง่าย สร้างจุดเชื่อมไปยังข้อมูลภายนอกได้ มีต้นทุนต่ำ ไม่มีข้อจำกัดในการพิมพ์ ทำสำเนาได้ง่าย อ่านพร้อมกันได้จำนวนมากผ่านอินเทอร์เน็ต พกพาได้ครั้งละมากๆ และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา 
 
 
ผู้ผลิตเครื่องอ่าน e-Book หรือ e-Book Reader จึงทยอยส่งสินค้าของตนออกมารองรับกระแสหนังสือยุคใหม่ซึ่งมีทีท่าจะพุ่งกระฉูดได้ในเร็ววัน ผู้ผลิตเหล่านี้มีทั้งผู้ผลิตซอฟต์แวร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ตลอดจนเจ้าของเว็บไซต์ดัง จากการจัดอันดับ e-Reader ปี 2552 โดย iSuppli Market Intelligence (www.isuppli.com) ได้แก่ อันดับหนึ่ง Kindle 2 ผลิตโดย Amazon มีรายการหนังสือกว่า 230,000 เล่ม อันดับที่สอง Sony Reader PRS 700 ผลิตโดย Sony สามารถเก็บ e-Book ได้ 350 เล่ม อันดับสาม Sony Reader PRS 505 จาก Sony เจ้าเดิม แต่สามารถเก็บ e-Book ได้ 160 เล่ม
 
ทั้งนี้ บริษัท iSuppli ได้คาดการณ์ว่ายอดจำหน่าย e-Reader ทั่วโลกจะมียอดขายเติบโตจาก 5 ล้านเครื่อง เป็นกว่าเท่าตัวขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2553 และ 2554 ซึ่งนั่นก็สอดคล้องกับตัวเลขยอดการใช้งาน e-Book บน iPad ของบริษัท Apple ที่ Simba Information รายงานว่าในปี 2553 คาดว่า Apple จะมียอดจำหน่าย iPad จำนวน 12 ล้านเครื่องทั่วโลก และจะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 43 ล้านเครื่องในปี 2554
 
 
นอกจาก e-Book จะนำความสะดวกสบายเข้ามาสู่ชีวิตนักอ่านแล้ว ยังสร้างแรงกระเพื่อมต่ออุตสาหกรรมสำนักพิมพ์ ต่อพฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนที่เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งการที่ e-Book ขยายตัว ย่อมหมายถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน สำนักพิมพ์ ผู้จำหน่ายหนังสือ ต้องหันมาให้ความสนใจในธุรกิจแบบผสม (Hybrid Media) ระหว่างการพิมพ์หนังสือเป็นเล่มๆ และการทำเนื้อหา (Content) บน e-Paper ซึ่งถ้าจะมองเป็นแง่บวกต่อผู้ผลิตหนังสือ คือ การสร้างข้อมูลเนื้อหาด้วยการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว สวยงาม มีต้นทุนต่ำ และที่สำคัญสามารถกระจายไปได้ทั่วโลก และลดปริมาณการใช้ทรัพยากรกระดาษได้มาก รวมทั้งช่วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บหนังสือเล่มได้มากด้วย
 
 
อย่างไรก็ตาม e-Book ยังคงมีปัญหา ซึ่งเป็นผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหนังสือ เช่น ลิขสิทธิ์ของเจ้าของหนังสือและผู้ใช้งาน ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่หาข้อสรุปชัดเจนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในการละเมิดลิขสิทธิ์ ที่ผู้ใช้งานสามารถ Copy ลักลอบทำซ้ำได้เรื่อยๆ โดยผู้ผลิตไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ
 
มาตรฐานการผลิตก็เป็นปัจจัยที่น่าจะเป็นปัญหาของการกำเนิด e-Book ส่งผลให้ผู้เขียนและสำนักพิมพ์ มีเสรีภาพในการผลิตผลงานได้มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของงานเขียน เช่น การจัดรูปแบบเนื้อหา การใช้ภาษา ตลอดจนการนำเสนอแนวคิดที่อาจไม่เหมาะสมต่อผู้อ่านบางกลุ่ม
 
นอกจากนี้มาตรฐานการจัดจำหน่ายของผู้ผลิต หรือการกำหนดราคาก็เป็นปัญหาที่ผู้ผลิตเนื้อหา สำนักพิมพ์ และผู้จำหน่ายต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตหนังสือเล่ม
 
ริสรวล กล่าวว่า “แม้จะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า ทัศนคติของผู้อ่านไทยจะให้ความสนใจ e-Book มากขึ้นเพียงใด  ผู้ผลิตเนื้อหา สำนักพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย และผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหนังสือและอุตสาหกรรมสำนักพิมพ์ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ โดยต้องหาทางออกให้กับประเด็นที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ มาตรฐานการผลิต ไปจนถึงการกำหนดราคาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงหนังสือที่มีคุณภาพได้ง่ายขึ้น และเป็นการเพิ่มจำนวนผู้อ่านหนังสือให้มากขึ้นในอนาคต”
 
“การผลักดันให้ “การอ่านเป็นวัฒนธรรมของชาติไทย” จะประสบผลสำเร็จได้จริงนั้น ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วนและต่อเนื่อง และถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมี พรบ. ส่งเสริมการอ่าน โดยให้มีหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ  พร้อมบุคลากรและงบประมาณ  เพื่อให้การส่งเสริมการอ่านเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน  อีกทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมกันสร้างเครือข่ายส่งเสริมการอ่านให้มากขึ้น เพื่อร่วมกันสร้างทัศนคติการเห็นคุณค่าและประโยชน์ของการอ่านให้เกิดขึ้น และสามารถพัฒนาอย่างเป็นระบบต่อไป
 
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ไม่อาจละเลยได้ คือ ปัจจัยด้านคุณภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมหนังสือ ควรมีการอบรมและพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงในการเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมหนังสือ และรวมถึงควรให้มีการอบรมผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีผลในการช่วยส่งเสริมชุมชนและสังคมในระดับท้องที่ ให้มีความเข้าใจและทราบถึงความสำคัญของการอ่าน ตลอดจนอบรมวิธีการ และแนวคิดในการสนับสนุนให้ชุมชนของตนมีการดำเนินกิจกรรมด้านการอ่านอย่างต่อเนื่อง”
 
ก้าวต่อไปของสำนักพิมพ์ทุกระดับจะประสบความสำเร็จ หรือพลาดพลั้งตกหลุมบ่อจนยากจะตะเกียกตะกายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสำนักพิมพ์แต่ละแห่งเอง ว่าจะประคับประคอง บริหารจัดการ และผลักดันตนเองมากน้อยแค่ไหน 
 
 
แต่ท้ายที่สุดแล้ว 'ผลประกอบการ' ก็ไม่ควรอยู่เหนือ 'คุณภาพ'
 
ขอบคุณบทความดีๆจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ปริญญา ชาวสมุน : รายงาน