อีกครั้งกับ…ศิริวร แก้วกาญจน์

“ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง” กวีนิพนธ์ของ “ศิริวร แก้วกาญจน์” คือ 1 ใน 6 เล่มที่เข้ารอบรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ปี 2553 หรือซีไรต์ และเป็นประจำทุกปีที่ทางกองบรรณาธิการจะนำเสนอผลงานและมุมมองแนวคิดของนักเขียนที่เข้ารอบสุดท้ายสู่สายตาผู้อ่าน
ซึ่งสำหรับศิริวรนั้นขาประจำคงจะคุ้นเคยกับเขาไปแล้ว เพราะผลงานของเขาเข้ารอบติดกันมาแทบทุกปี ไม่ว่าจะเป็นประเภทกวีนิพนธ์ นวนิยาย เรื่องสั้น จนเวียนมาครบอีกรอบก็ยังมีชื่อศิริวรเข้าชิงอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนั่นหมายถึงคนคนนั้นต้องมีงานที่โดดเด่นถึง 3 ประเภท และผลิตงานคุณภาพเข้าตากรรมการอย่างต่อเนื่อง
“ผมว่าไม่เฉพาะผมหรอก คนถามเองก็คงเบื่อพอๆ กันมั้ง (หัวเราะ)” ศิริวร ตอบหลังจากได้คำถามว่า เบื่อที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับการเข้ารอบซีไรต์หรือยังคะ “คืออย่างนี้ครับ ถ้าสังเกตจะเห็นว่าปีหลังๆ ผมเลือกที่จะปลีกตัวอยู่ในมุมเงียบๆ ของตัวเองมากกว่า คือบางทีประเด็นหลายประเด็นมันยังไม่เคลื่อนน่ะ หมายถึงกลุ่มก้อนความคิดของผมเอง เมื่อตระหนักว่าพูดไปแล้วมันจะเป็นการผลิตซ้ำคำตอบและกรอบคิดของตัวเอง ผมว่าการนิ่งเงียบน่าจะดีกว่า พูดตรงๆ ก็คือผมเบื่อตัวเอง เมื่อสมองเราทึ่มทื่อ ผมว่ามนุษย์เราควรจะรับฟังทัศนะจากคนอื่นๆ น่าจะมีประโยชน์กว่า”
ก่อนหน้านี้ ศิริวรได้ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์กับสื่ออื่นๆ แต่ด้วยตกหลุมพรางของเรา (ฮา) หนึ่งในว่าที่กวีซีไรต์จึงได้ยอมเปิดเผยว่า “เมื่อรู้ข่าว ผมก็แค่อุทานในใจว่า เข้าอีกแล้วหรือ ก็ดีเหมือนกันหนังสือเราจะได้มีโอกาสพบปะนักอ่านของมันมากขึ้น เชื่อไหม ตอนหนังสือเล่มนี้วางแผงเมื่อ 2 ปีก่อน พูดได้ว่าแทบจะไม่มีใครเคยสนใจการมีอยู่จริงของมันเลย ซึ่งน่าเศร้ามาก อย่างน้อยที่สุดพอเข้ารอบ หลายคนก็ถามหา บางคนที่รู้จักกันก็เดินเข้ามาบอกว่าอยากอ่าน ผมก็ได้แต่สะทกสะท้อนใจ อยากถามว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่อยากอ่านล่ะครับ”
“ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง” มีเนื้อหาที่สะท้อนถึงปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยศิริวรแจงว่า “อันที่จริงปัญหาเหล่านั้นสะท้อนตัวมันเองมากกว่า ผมก็แค่นำมาจัดระบบระเบียบผ่านกลวิธีและท่วงทำนองของกวีนิพนธ์เท่านั้นเอง และชิ้นงานในเล่มนี้ จริงๆ ก็ไม่ได้พูดเฉพาะเหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้เท่านั้น เพียงแต่ภาพรวมของเล่มผมเปิดโอกาสให้พื้นที่ 3 จังหวัดนำเสนอตัวมันเองมากกว่าเรื่องราวในส่วนอื่นๆ ของประเทศ พูดอีกแบบก็คือ ผมแค่ใช้พื้นที่ในเชิงภูมิศาสตร์กายภาพและพื้นที่เชิงวัฒนธรรมของ 3 จังหวัดภาคใต้มาเป็นกรณีศึกษา เป็นพื้นที่สาธิต แต่แก่นแกนที่เราเรียกว่าปัญหานั้นมันแทบไม่ต่างจากที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก”
ครานี้กวีนิพนธ์ของศิริวรจะคว้ารางวัลมาได้หรือไม่ “นั่นไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญ” เขาว่าอย่างนั้น แต่เขามีความคาดหวังว่า “ในอนาคต รางวัลซีไรต์น่าจะนำผลงานของนักเขียนทั้งหมดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาประเมินคุณค่าร่วมกัน แล้วเลือกมาเพียงเล่มเดียวในแต่ละปี ผมว่าถ้าเราทำได้แบบนี้ มันจะได้ช่วยกันกระตุ้นและขับเคลื่อนงานวรรณกรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปสู่เวทีหรือพื้นที่ที่กว้างไกลออกไปจากภูมิภาคนี้ได้มากขึ้น รวดเร็วขึ้น แต่ปัญหาก็คือว่าจะมีวิธีการจัดการกับความต่างของภาษาในแต่ละประเทศยังไง ไม่รู้ว่าผมเพ้อเจ้อมากไปหรือเปล่านะ”
หลายเสียงบอกว่า “ศิริวร แก้วกาญจน์” คือ ซีรอง ทว่าในความรู้สึกนึกคิดของเขาไม่เคยใส่ใจกับนิยามความหมายของคำคำนี้ด้วยซ้ำ แค่มีผลงานเล่มใหม่ส่งไปร่วมวาระการประเมินค่ากับผลงานเล่มอื่นๆ ของเพื่อนคนเขียนหนังสือคนอื่นๆ เพื่อไม่ให้หนังสือกลายเป็นโรคซึมเซาเหงาเงียบอยู่ในซอกมุมของร้านหนังสือที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น การมีพื้นที่เล็กๆ รองรับการมีอยู่ของมัน แม้จะเพียงชั่วครู่ชั่วคราว แม้จะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีในเชิงโครงสร้าง แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
และนี่คืออีกเสี้ยวมุมหนึ่งเท่านั้นของ…ศิริวร แก้วกาญจน์
เรื่องราวดีๆจาก โพสต์ทูเดย์