อัสสชิตะ อวาเล (ธันวา) นักข่าวชาวเนปาลที่ทำงานกับหนังสือพิมพ์ภาษาไทย

“ผมอาจต่างกับนักข่าวไทยคนอื่นในประเทศนี้มังครับ” เขาตอบเป็นภาษาไทยสำเนียงเหน่อนิด ๆ กลั้วหัวเราะ หลังจากทักทายกันเป็นที่เรียบร้อย
เพื่อนนักข่าวคนไทยที่รู้จักอัสสชิตะ อวาเล เล่าว่าหนุ่มเนปาลีคนนี้ใจดี กระตือรือร้น และเป็นมิตร ไม่ต่างอะไรกับคนที่บ้านของเขาซึ่งอยู่ห่างจากเมืองไทยไปนับพันกิโลเมตร
“ประเทศบ้านเกิดของผมมีพื้นที่ส่วนใหญ่ติดเทือกเขาหิมาลัย ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ๘ ใน ๑๔ ยอดอยู่ที่นั่น อากาศต่างกับที่นี่สุดขั้ว ขณะที่กรุงเทพฯ ฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ ๒๐ กว่าองศาเซลเซียส แต่กาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล อุณหภูมิจะดิ่งลงไปอยู่ที่ ๒ องศาเซลเซียส”
อัสสชิตะบอกว่าคนไทยส่วนใหญ่แยกคนเนปาลกับคนอินเดียไม่ออก เข้าใจว่าเป็นคนชาติเดียวกันเพราะประเทศอยู่ติดกัน ทั้งที่ความจริงคนเนปาลมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น โดยเฉพาะเรื่องนิสัยใจคอซึ่งเขาการันตีว่าคล้ายกับคนไทยอย่างยิ่ง
อัสสชิตะมีชื่อไทยว่า “ธันวา” เป็นชาวเนปาลไม่กี่คนที่มาอาศัยอยู่เมืองไทยนานนับสิบปี
“ผมเกิดที่เมืองปาตัน ๑ ใน ๓ เมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขากาฐมาณฑุ (อีก ๒ เมืองคือภักตะปูร์และกาฐมาณฑุ) ในอดีตเมืองเหล่านี้มีกษัตริย์ปกครอง เพิ่งยกเลิกระบอบนี้ไปเมื่อมีการตั้งประเทศเนปาลขึ้น เมืองปาตันกับกรุงกาฐมาณฑุจะว่าไปแล้วก็เหมือนธนบุรีกับกรุงเทพฯ คืออยู่ติดกันโดยมีแม่น้ำสายหนึ่งกั้น
“อย่าถามวันเกิดผมเพราะคนเนปาลรุ่นผมไม่ใช้ปฏิทินแบบตะวันตก ดังนั้นผมรู้แค่ว่าตัวเองเกิดหลังวันพระกี่วัน วันพระของคนเนปาลที่นับถือศาสนาพุทธก็ไม่ต่างอะไรกับวันพระของคนไทยพุทธ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เรียก ‘ปูนี แปลเป็นไทยคือ ‘วันพระใหญ่’ วันแรม ๑๕ ค่ำ เรียก ‘อสนี’ แปลว่า ‘วันพระเล็ก’ ผมลองเทียบกับปฏิทินสากลพบว่าตัวเองน่าจะเกิดวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๑“
ธันวาบอกว่าวัยเด็กของเขาผูกพันกับศาสนาพุทธและฮินดูมาก เพราะแม่นับถือฮินดูผสมกับพุทธ ขณะที่พ่อนับถือพุทธ
“ผมจึงไหว้ได้ทั้งพระและเทพเจ้า สมัยเด็ก ๆ ผมมักตื่นแต่เช้าไปไหว้เทพเจ้าในวิหารใกล้บ้านโดยมีกลุ่มเพื่อนที่ไปด้วยกันประจำ คุณนึกดูสิสวยงามแค่ไหน ตอนตีสามจะมีคนเล่นดนตรีพื้นเมืองปลุกคนในละแวกเดียวกันให้ตื่น เด็ก ๆ ก็จะออกมารวมตัวกันประมาณ ๒๐ คน พวกเราเดินไปเล่นดนตรีไปด้วย แล้วไปสมทบกับกลุ่มเด็กที่มาจากเขตอื่นที่เทวสถานราวตีห้า จากนั้นใช้เวลาไหว้พระ ๓๐ นาที ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน
“ครอบครัวผมประกาศว่านับถือพุทธ แต่บางคนก็ยังนับถือฮินดู ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนเนปาล เพราะที่นั่นพุทธกับฮินดูผสมผสานกันได้อย่างลงตัว คงต้องเล่าว่าในอดีตรัฐธรรมนูญของเนปาลเคยระบุว่าศาสนาประจำชาติคือฮินดู ทั้งที่จริง ๆ มีคนนับถือศาสนาอื่นอยู่ด้วย เพิ่งไม่นานมานี้เองที่ประโยคดังกล่าวถูกถอนออก ที่ผ่านมาเอกสารทางการเนปาลก็ระบุว่าประชากรร้อยละ ๘๖ นับถือฮินดู ผมจึงไม่แปลกใจที่คนทั่วโลกเข้าใจว่าเนปาลเป็นประเทศที่นับถือฮินดู ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ทั้งหมด”
ธันวาเล่าว่าเขาเป็นเด็กดื้อ สมัยเรียนหนังสือก็ชอบที่จะโดดเรียนไปว่ายน้ำในลำธารและดูภาพยนตร์ แน่นอนการทำเช่นนั้นทำให้เขาสอบตก จนวันหนึ่งพ่อก็จับเขาบวชเณร แล้วโชคชะตาได้นำเขามาอยู่เมืองไทยอย่างไม่คาดฝัน
“เดิมทีพ่อผมไม่อยากแต่งงานแต่อยากบวช พอเขาทำไม่ได้ก็หวังว่าลูกชายจะบวชให้ ในชีวิตผมบวชเณร ๒ ครั้ง ตอนอายุ ๗ ขวบบวชได้สัปดาห์หนึ่งก็ต้องสึกออกมาเพราะยังเด็กเกินไป อีกครั้งคือตอนอายุ ๑๓ ปี เรียนชั้นมัธยมแล้ว ผมกลายเป็นเณรรูปเดียวที่ไปโรงเรียน ตอนนั้นอาศัยอยู่ที่วัดศักยะสิงห์กับท่านสังฆราช จนมีกงสุลไทยชวนมาเรียนพุทธศาสนาที่เมืองไทย
“ปรากฏว่าท่านสังฆราชสนับสนุน อาจเพราะก่อนหน้านั้นมีพระเนปาลมาเรียนที่เมืองไทยหลายรูป คนไทยอาจสงสัยว่าเนปาลเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธน่าจะเข้มแข็งมิใช่หรือ ซึ่งนั่นเคยเป็นจริง ในอดีตเนปาลเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนานิกายเถรวาท แต่ต่อมาอิทธิพลศาสนาฮินดูมีมากขึ้น พุทธเถรวาทก็เสื่อมลงจนเหลือแต่พิธีกรรม คนที่นับถือพุทธยังรักษาพุทธศาสนาไว้โดยนับถือฮินดูด้วย นานวันเข้าก็เหลือแต่วัดพุทธนิกายมหายาน วัชรยาน ทำให้ผู้ที่ต้องการศึกษาพุทธเถรวาทต้องไปเรียนที่ศรีลังกา จนเมื่อ ๗๐ ปีก่อน ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทจากเมืองไทยเข้าไปในเนปาล ทำให้พระที่นั่นนิยมมาเรียนที่เมืองไทย
“ผมมาเมืองไทยทั้งที่ยังเป็นเณร ความรู้สึกแรกคือคนไทยคล้ายคนเนปาล ผมยังบอกเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาที่มารับที่สนามบินว่าเขาหน้าเหมือนคนเนปาลมาก หลังจากนั้นผมก็ไปจำวัดที่วัดสระเกศ พออยู่นานเข้าผมพบว่าหลายสิ่งหลายอย่างของที่นี่คล้ายเนปาล เช่นสวดมนต์เป็นภาษาบาลีเหมือนกันเพียงแต่ทำนองต่างกัน หรือคำหลายคำในภาษาไทยก็มีความหมายเดียวกับคำในภาษาเนปาล เช่นคำไทยโบราณอย่าง “เพลา” (เวลา) คล้ายคำเนปาลที่มีความหมายเหมือนกันคือ “เบลา” ผมจึงเรียนและพูดภาษาไทยได้เร็ว ดังนั้นสิ่งที่ผมคิดว่าไทยต่างจากเนปาลคืออากาศร้อนเท่านั้น (หัวเราะ)
“ผมเรียนที่มหามกุฏราชวิทยาลัยอยู่ ๙ ปีก็สึกออกมาเพราะเพื่อนชวน ฟังดูง่ายไหมครับ แต่ที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตแบบให้โชคชะตานำทางมาตลอด สมัยเด็ก ๆ บวชเพราะพ่อ มาเมืองไทยเพราะสังฆราชสนับสนุน ตอนสึกก็เช่นกัน คิดแค่อยากลองใช้ชีวิตฆราวาส ตอนนั้นอายุ ๒๙ แล้ว พอสึกออกมานักข่าวที่รู้จักกันก็ชวนไปฝึกงานที่โต๊ะข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์ มติชน แล้วต่อมาก็ได้งานที่นั่น
“ผมมีความสุขกับการเป็นนักข่าว เพราะได้พบเจอประสบการณ์หลากหลาย และอาจเพราะที่ผ่านมาในชีวิตอยู่กับหนังสือมาตลอดโดยเฉพาะในช่วงบวชเรียน เพื่อนและรุ่นพี่นักข่าวไทยหลายคนใจดีมาก พวกเขาคอยสอนสิ่งต่าง ๆ ให้ตลอดช่วงที่ผมเริ่มต้นทำงาน ปัจจุบันงานผมคือแปลบทความภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยและออกไปทำข่าวในต่างประเทศอยู่เป็นระยะ
“ช่วงทำงานเป็นนักข่าวนี้เองทำให้รู้ว่ามีคนไทยจำนวนไม่น้อยอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเนปาล โดยเฉพาะตั้งแต่เกิดกรณีการฆาตกรรมราชวงศ์เนปาลโดยเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเมื่อ ๖ ปีก่อนที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก มีคนจำนวนมากโทร. มาแสดงความเสียใจและสอบถามสถานการณ์ ยิ่งเมื่อปี ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่เนปาลเนื่องจากกษัตริย์กิยาเนนทราตัดสินใจยึดอำนาจจากรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย เพื่อนที่เป็นเจ้าของบริษัททัวร์ นักข่าว คนไทยที่อยากไปเที่ยวเนปาล ฯลฯ ยังโทร. มาถามข้อมูลจนผมตอบแทบไม่ไหว”
ดังนั้นธันวาจึงตัดสินใจสร้างเว็บไซต์เที่ยวเนปาลดอทคอม (www.tiewnepal.com) ขึ้น โดยเปิดตัวเมื่อช่วงต้นปี ๒๕๕๐
“ใครสงสัยเรื่องเนปาลก็เข้าไปอ่านได้ตลอดเวลา เว็บไซต์นี้มีคำตอบให้หลายอย่าง นอกจากช่วยให้ผมไม่ต้องตอบคำถามซ้ำ ๆ แล้ว ยังช่วยให้คนไทยที่อยากไปเที่ยวเนปาลได้รับข้อมูลที่ชัดเจน ต้องบอกว่าหลังเกิดสถานการณ์ไม่ปรกติคนไทยส่วนมากไม่เชื่อบริษัททัวร์ เพราะคิดว่าบริษัททัวร์กลัวคนจะไม่ไปเที่ยวเลยให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ครั้นถามสถานทูตก็มักจะได้คำตอบแบบนักการทูต คือไม่ฟันธงและกำกวม”
เราถามธันวาว่านอกจากเรื่องศาสนา คนเนปาลกับคนไทยติดต่อกันด้วยเรื่องอะไรอีกก
“ไม่ต้องมองไกลตัว เรื่องค้าขายนี่เอง เชื่อไหมว่าที่เนปาลนิยมสินค้าไทยมาก สินค้าไทยมีชื่อเสียงพอ ๆ กับสินค้าจากญี่ปุ่นและจีน ขณะที่สินค้าจากอินเดียซึ่งมีมากและราคาถูกเพราะขนส่งเข้าประเทศสะดวก แต่ใช้แล้วพบว่าไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้คนเนปาลที่มีฐานะยังนิยมเดินทางมารักษาโรคในโรงพยาบาลที่เมืองไทยด้วย”
ธันวาบอกว่าที่ที่เขาชอบที่สุดในเมืองไทยคือ เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ชุมชนคนไทยเชื้อสายมอญที่ยังคงรักษาอาชีพทำเครื่องปั้นดินเผาไว้ได้ถึงปัจจุบัน
“ที่ผมชอบเกาะเกร็ดมากส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกผูกพัน ผมนามสกุล ‘อวาเล’ คนเนปาลด้วยกันจะรู้ว่าคนนามสกุลนี้มาจากเมืองปาตัน บรรพบุรุษทำงานเกี่ยวกับดิน อาชีพเก่าของพ่อผมก็ทำอิฐและหม้อดินขาย เหตุที่รู้ได้แน่นอนก็เพราะคนเนปาลจะไม่เปลี่ยนนามสกุลเลยตลอดชีวิตแม้จะแต่งงานไปแล้ว อีกอย่าง เกาะเกร็ดเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ของเมืองไทยที่สะท้อนภาพเนปาลในปัจจุบัน คืออยู่อย่างพอเพียง ไม่วัดว่าใครจนใครรวยจากรายได้ซึ่งมันไม่ถูกเสมอไป เคยมีคนญี่ปุ่นถามคนเนปาลว่าทำไมไม่มีรองเท้าผ้าใบ ทำไมไม่มีเสื้อผ้าที่เขามี แล้วก็สรุปว่าคนเนปาลยากจน ขณะที่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง คนเนปาลไม่เคยอดตาย อยู่ได้ตามอัตภาพ นั่นคือเศรษฐกิจพอเพียงของเรา แต่เราก็ยอมรับว่ามีหลายอย่างที่ต้องปรับปรุงเช่นเรื่องสุขอนามัย”
เราขอให้ธันวาเปรียบเทียบสถานการณ์การเมืองไทยกับการเมืองเนปาล
“ช่วงปีที่ผ่านมาไทยกับเนปาลเกิดสถานการณ์สลับขั้วกัน ระหว่างที่คนเนปาลประท้วงกษัตริย์ คนไทยกลับแสดงออกถึงการสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ที่เป็นแบบนี้เพราะปัจจัยทางการเมืองต่างกัน จริง ๆ การประท้วงกษัตริย์เนปาลเมื่อปีที่แล้ว คนเนปาลส่วนมากอาจไม่สนับสนุนนักการเมืองก็เป็นได้ ผมได้ข้อมูลมาว่าคนที่ออกมาประท้วงส่วนหนึ่งคือคนของกลุ่มลัทธิเหมาที่มีอุดมการณ์สังคมนิยม คงต้องอธิบายก่อนว่าคนเนปาลส่วนใหญ่เบื่อการเมือง เพราะผ่านมาหมดแล้วตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนถึงประชาธิปไตย แต่สิ่งที่พบคือไม่มีระบอบไหนทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ตอนนี้บางคนจึงคิดว่าลองเปลี่ยนเป็นระบอบสังคมนิยม (ลัทธิเหมา) ดีไหม บางคนก็ถามว่าดีแน่หรือ ผมอยู่นอกประเทศคงยากจะบอกได้ว่าสนับสนุนทิศทางไหน ได้แต่บอกว่ามันคงเป็นธรรมชาติของประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านกระมัง
“ทีนี้มาถึงการเมืองไทย ถ้าดูแค่นักการเมืองผมคิดว่าเราไม่ต่างกัน คือมีนักการเมืองโกงกิน คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ตลอดเวลา คนไทยส่วนหนึ่งก็คงเบื่อนักการเมืองแล้วเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างคือคนไทยยังมีในหลวงเป็นศูนย์รวมจิตใจ เวลาเกิดวิกฤตยังมีพระองค์ท่านเป็นที่พึ่ง ผมคิดว่าตรงนี้คือสิ่งที่เนปาลไม่มี
“ผมเองสนใจการเมืองไทยนะครับ ล่าสุดตอนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประท้วงรัฐบาลทักษิณ ผมก็ไปสังเกตการณ์หลายครั้ง จนเมื่อเกิดรัฐประหาร ๑๙ กันยา เพื่อนชาวเนปาลหลายคนถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนไทยส่วนหนึ่งจึงยินดีกัน ผมก็พยายามอธิบายถึงเงื่อนไขทางการเมืองบางอย่างของไทยซึ่งต่างกับเนปาล”
สุดท้าย ธันวาฝากถึงคนไทยว่า “อยากให้รักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ดีงามไว้ อย่าตามตะวันตกมากเกินไป เลือกรับแต่ส่วนดี ที่ไม่ดีก็อย่ารับเอามา เท่าที่เห็นตอนนี้ คนไทยรับทุกอย่างจากตะวันตกโดยไม่เลือก ซึ่งตรงนี้จะว่าไปแล้วประเทศของพวกเราก็มีชะตากรรมไม่ต่างกันเท่าไรครับ”
* ขอขอบคุณ : คุณอำนาจ รัตนมณี ร้านหนังสือเดินทาง ถนนพระสุเมรุ
สุเจน กรรพฤทธิ์ : เรื่อง / วิจิตต์ แซ่เฮ้ง : ภาพ
นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 268 > มิถุนายน 50 ปีที่ 23