อัตลักษณ์ ในงานเขียนภาคอีสาน หนทางและย่างก้าวสู่สากล

วรรณกรรมอีสานวันนี้มีทิศทางเป็นอย่างไร และจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรในกระแสวัฒนธรรมที่พร้อมจะกลืนกินเอกลักษณ์ท้องถิ่นจากอดีตให้หายไปกับพร้อมพิซ
เราต่างจากคนอื่นอย่างไร เรามาจากไหน เราคือใคร นี่คำถามที่นำไปสู่คำตอบว่าอัตลักษณ์ที่แท้ของตนคืออะไร ที่เมืองนักปราชญ์อุบลราชธานี สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ร่วมกับสโมสรนักเขียนภาคอีสาน สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี โดยการสนับสนุนของ บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการในวาระ 40 ปี สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยในหัวข้อ “อัตลักษณ์และสีสันท้องถิ่นในงานเขียนภาคอีสาน” วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2554 ณ ห้องบุษยรัตน์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มีนักเขียนและนิสิตนักศึกษาผู้สนใจเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก
เริ่มงานช่วงแรกด้วยปาฐกถาพิเศษ “มรดกอีสานตำนานครูบ้านนอก” โดย คำหมาน คนไค นักเขียนมรดกอีสานสาขาวรรณศิลป์ 2552 ที่ปีนี้อายุ 74 ปีแล้วแม้จะไม่คล่องแคล่วกระฉับกระเฉงแต่ก็ยังเล่าเรื่องได้สนุกสนาน เรียกเสียงหัวเราะได้เป็นระยะ จบปาฐกถาเสียงปรบมือดังลั่น แม้จะเป็นเวลาไม่นานที่ทุกคนได้ฟังตำนานที่ยังหายใจเปรียบเสมือนร่มโพธิร่มไทรของนักเขียนรุ่นต่อ ๆ มาก็ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น
0พลังอีสานสู่สากล
จากนั้นเป็นการอภิปราย “พลังศิลป์จากท้องถิ่นสู่สากล มองจากวรรณกรรมอีสาน” โดยมีวิทยากรคือ โชคชัย ตักโพธิ์ ศิลปินพื้นบ้านอีสานสาขาทัศนศิลป์ปี 2546 มาโมช พรมสิงห์ นักเขียนรางวัลรพีพร คนแรกปี 2551 เจริญ กุลสุวรรณ หรือ "เราส์ มหาราษฎร์" ดำเนินรายการโดย สุมาลี โพธิ์พยัคฆ์ นายกสโมสรนักเขียนภาคอีสาน
โชคชัย ตักโพธิ์ เปิดประเด็นว่าหากจะทำความเข้าใจ "อัตลักษณ์" ง่ายที่สุดก็คือ เราคือใคร เรามาจากไหน และเราต่างจากคนอื่นอย่างไร ทางตะวันตกให้คุณค่างานศิลปะด้วยทฤษฎีจิตวิเคราะห์ งานถูกสร้างจากความเก็บกด ความคับแค้น ความปรารถนา แต่ส่วนตัวไม่ชอบเพราะเหมือนเป็นคนป่วยหาทางระบาย จึงหันมาศึกษาแนวคิดของหลวงปู่ชา เรื่องสมาธิ ใช้วิธีทำงานเก็บงานเป็นเวลา 16 ปี ยกตัวอย่างการขีดเส้นจะใช้ 3 สิ่งคือ ว่องไว ตั้งมั่น นุ่มนวล จิตควรแก่การงาน โยงในสิ่งที่หลวงปู่ชาพูดว่า ผลไม้ไม่รู้ชื่อไม่เป็นไร กินเข้าไปก็รู้รสเหมือนกัน เป็นความบังเอิญว่ากระแสทั่วโลกย้อนกลับมาที่งาน ขาว-ดำ จึงโยงเรื่องนิเวศจิตชุดของป่าเข้ามาแฝง นี่คือสิ่งที่ค้นหาทำมา 35-36 ปีจึงจะพบทางของตัวเอง
ศิลปินพื้นบ้านอีสานเตือนว่าหากตามตะวันตกจะไม่มีทางค้นพบอัตลักษณ์ที่แท้จริง การใช้ลำดับความคิดแบบฝรั่งแล้วสวมความเป็นอีสานลงไปสุดท้ายจะพบทางตัน เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดคือความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
ทางด้าน มาโนช พรมสิงห์ ตั้งคำถามชวนคิดว่าเหตุใดวรรณกรรมไทยยังไม่ไปสู่สากล ปัจจุบันมีรางวัลมากมาย อย่างเช่นรางวัล The Man Asian Literary Prize มีวรรณกรรมจากแทบทุกประเทศส่งเข้าชิงรางวัล การจะส่งเข้าชิงรางวัลได้ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ ประเทศไทยไม่เคยส่งงานเข้าชิงรางวัลเลย ตรงนี้ก็ต้องหารือกันเพื่ออุดช่องว่างต่อไปเพื่อให้วรรณกรรมไทยได้ส่งออกไปสู่สายตาชาวโลกมากขึ้น
นักเขียนผู้ปลูกดอกไม้ยังพูดถึงการกลืน กลบ ครอบอัตลักษณ์ซึ่งเป็นร่องรอยจากยุคหลังอาณานิคมที่ยังทิ้งผลร้ายมาถึงปัจจุบัน
"ในโลกของยุคที่ความเป็นอาณานิคมเกิดขึ้นในรูปแบบอื่น นอกจากการกรีธาทัพเข้ายึดครอง ทุกวันนี้มีความสัมพันธ์ในรูปแบบวิธีใหม่ จนทำให้เมืองไทยกลายเป็นเมืองขึ้นของเกาหลีไปได้ นี่คืออำนาจอย่างหนึ่งที่เราตกเป็นเมืองขึ้น ตรงนี้สำคัญเพราะว่าในยุคที่มีระบบอาณานิคม การที่ผู้ปกครองเข้ามาจะมีการทำลายอัตลักษณ์บางอย่าง ค่อย ๆ กลืน มีการปรับตัวของชนชั้นปกครองบางอย่าง สภาพสังคมให้เข้ากับอาณานิคม ฉะนั้นอัตลักษณ์จะค่อย ๆ หายไป"
มาโนชยกตัวอย่างตำนานน้ำเต้าปุง และท้าวฮุ่งขุนเจืองแต่งเป็นโคลงเกือบห้าพันบทเป็นมหากาพย์ยิ่งใหญ่เป็นเหมือนวีรบุรุษวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้ สองสิ่งนี้ถือเป็นอัตลักษณ์อย่างแท้จริง
สุดท้ายนักเขียนรางวัลรพีพรฝากไว้ว่าต่อไปนี้นักเขียนจะต้องมุ่งมั่นทำงานให้หนักยิ่งขึ้น เพื่อจะได้เขียนงานที่ดีและก้าวไปสู่สากลในที่สุด นักเขียนจะต้องลงไปศึกษาข้อมูลในพื้นที่อย่างจริงจัง ใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้นอย่านั่งคิดอยู่ในห้องเปิดตำราค้นคว้าเพียงอย่างเดียว และให้ความสำคัญกับเอกสารชั้นต้นอย่างนิทาน ตำนาน ปรัมปราคติ มหากาพย์ต่าง ๆ
"การไปสู่สากลหรือไม่ผมไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ ผมห่วงแต่ว่าไอ้มาโนชเอ็งแน่จริงหรือเปล่า ท่านนักเขียนทุกท่านแน่จริงไหม" มาโนชตั้งคำถาม
0หลากมุมมองอัตลักษณ์
ในช่วงบ่ายเป็นการอภิปราย “อัตลักษณ์และสีสันท้องถิ่นในงานเขียนของนักเขียนภาคอีสาน” เริ่มต้นโดย วีระ สุดสังข์ หรือ ฟอน ฝ้าฟาง เสนอในแง่มุมที่น่าสนใจว่าอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของคนอีสานจะให้ผู้หญิงออกหน้า ผู้ชายตามหลัง คำว่าผู้ชายเท้าหน้าผู้หญิงเท้าหลังเป็นการเปรียบเทียบของคนโบราณซึ่งชี้ให้เห็นว่าถ้าเท้าหลังไม่ขยับเท้าหน้าก็ไปไม่ได้ กิจการต่าง ๆ ของสามีถ้าภรรยาไม่สนับสนุนไม่มีทางก้าวหน้า
"ลองมีคนมาขอลูกสาวเพิ่นเบิ่ง พ่อสิได้ปากพอคำบ่ ค่าแหวนเท่านั้น สินสอดเท่านั่นแม่เว้าเอาเบิ้ด พ่อบ่ได้ปากพอคำ" เรียกเสียงปรบมือจากสตรีลั่นห้องประชุม
ส่วน ชัชวาลย์ โคตรสงคราม เจ้าของผลงานนวนิยายทะเลน้ำนม เล่าว่าอัตลักษณ์แนวคิดอย่างหนึ่งของคนอีสานคือเรื่องบุญ ผลานิสงส์ งานเขียนของอีสานมองโดยรวมหนีไม่พ้นเรื่องบาปบุญ เรื่องความเชื่อนรก-สวรรค์ เพลงลูกทุ่งอีสานมักนำเอาวาทกรรมเหล่านี้มาใช้อย่างมีความหมาย ยกตัวอย่างวรรณคดีเรื่องสินไซ ขนาดยักษ์กุมภัณฑ์จะมีคู่ต้องไปถามบนสวรรค์ว่าตนเกิดมามีคู่ไหม ฉะนั้นวรรณคดีสองฝั่งโขงมีเรื่องของบาปบุญความเชื่อในเรื่องภพชาติอย่างแน่นแฟ้น
ชัชวาลย์ยังให้ข้อสังเกตว่าทุกชาติทุกภาษาจะมีเรื่องของฉาก สีสัน ทางอีสานเน้นไปที่สีสันพืชพรรณธรรมชาติมาก ผลไม้ ดอกไม้ พืชต่าง ๆ จะพบมากมายในงานเขียนของนักเขียนอีสาน ในวรรณคดีเก่า ๆ การเดินดงก็จะมีความงาม เบิกบานของพืชพรรณธรรมชาติ ดอกไม้ สัตว์ ในที่สุดก็โยงมาชีวิตของตัวเอง นี่คือสุนทรียะของความเป็นมนุษย์ เป็นมโนทัศน์พื้นฐานของคนลุ่มแม่น้ำโขง
ทางด้าน สมคิด สิงสง ให้ความเห็นว่าถ้าพูดถึงอัตลักษณ์เป็นลักษณะจำเพาะ ก็ต้องมีลักษณะที่ไม่จำเพาะคือลักษณะทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดว่าเป็นคนที่ไหน เขากินอย่างไร อยู่อย่างไร ทำมาหากินอะไร วิถีชีวิต ชอบอะไร ใช้ภาษาอะไร เหล่านี้สะท้อนอัตลักษณ์ ตนเองตั้งข้อสงสัยว่าการแสดงออกมาซึ่งความเจ็บปวดเป็นอัตลักษณ์ของอีสานหรือเปล่า
สมคิดมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่าตั้งแต่เล็กเมื่อได้ยินการแสดงศิลปะ ร้องรำทำเพลงอะไรก็ตาม มีคำหนึ่งที่สะดุดใจก็คือ โอละหนอ ทำไมก่อนจะขึ้นคำร้องจะต้องขึ้นด้วยคำนี้หรือว่าอาจมาจากคำว่า โอย ที่สะท้อนความรู้สึกเจ็บปวด แล้วทำไมคนที่นี่เขาเจ็บปวดเรื่องอะไร ทำไมทำให้เขาเจ็บปวดฝังลึกขนาดนั้น หรือว่ามีเบื้องลึกภูมิหลังอะไร
"ผมอยากจะใช้คำนี้แหละ เป็นลักษณะเฉพาะของคนที่นี่ หรืออัตลักษณ์ของคนที่นี่ ลึกลงไปอาจจะมียุคใดสมัยใดที่คนที่นี่รู้สึกเจ็บปวด เจ็บปวดแล้วอยู่ได้ไหม อยู่ได้ เขาดำรงชีพอยู่ได้ อยู่ได้อย่างไร ถ้าว่าสะท้อนออกมาทางวรรณกรรมถ้าแล้งก็แล้งหนักเหลือเกิน ชนิดที่ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย ถ้ายากจนก็ยากจนแสนสาหัส สะท้อนออกมาอย่างนั้นเป็นอัตลักษณ์ของอีสาน ตอนหลังผมมาคิดว่าจริงหรือเปล่า"
เจ้าของเพลงอมตะ "คนกับควาย" ฝากความเป็นห่วงคนไทยรุ่นต่อไป เพราะโลกเปลี่ยนไปมากโดยเฉพาะทางด้านทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทำให้บางอย่างไม่สามารถกลับคืนได้แล้วเพียงแต่ว่าเราจะปรับตัวอย่างไร และอีกไม่นานจะมีการเปิดภูมิภาคไปมาหาสู่กันในอาเซียน เราได้เรียนรู้เพื่อนบ้านมากน้อยแค่ไหน หลักสูตรของเราพูดถึงเรื่องพวกนี้หรือไม่ เยาวชนรู้เรื่องลาว เขมร มากน้อยแค่ไหน เหล่านี้เป็นการบ้านให้รัฐบาลควรได้ตระหนัก
ส่วนอัตลักษณ์ในงานของตนเองนั้นเป็นอย่างไร ฟอน ฝ้าฟาง อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า อัตตาแปลว่า กู อัตลักษณ์แปลว่า ลักษณะของกู นั่นเอง
"ผมเขียนหนังสืออ่านง่ายไม่ต้องลงบ่อขึ้นฟ้าตีลังกาแปล รักเธอก็คือรักเธอ ซังเธอก็คือซังเธอเลย ว่าแต่อ่านหนังสือออกก็อ่านได้" ฟอน ฝ้าฟาง สรุป
กลับมาที่ ชัชวาลย์ เล่าว่าเมื่อก่อนจะเขียนหนังสือได้ไปศึกษาว่าอัตลักษณ์ของตัวเองพื้นฐานมาจากไหน มองว่าถ้าคนเขียนหนังสือไม่ไปศึกษารากเหง้า ไม่ไปศึกษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตัวเองทางด้านภาษาวรรณคดีเขาก็จะขาดความชัดเจน ในขณะเดียวกันถ้าคนเขียนหนังสือไม่ศึกษางานเขียนที่อยู่นอกเหนือไปจากสังคมของตัวเองก็อาจจะขาดความทันสมัยในแง่รูปแบบ
"ประเด็นที่ว่าการทำงานเขียนที่แสดงถึงอัตลักษณ์ หนึ่งคือตัวละครนั้นจะต้องมีวิธีคิดที่เป็นลาว เป็นท้องถิ่น แต่ว่าจะต้องสื่อสารด้วยภาษาที่ร่วมสมัย สองคือว่าตัวละครนั้นจะต้องมีความคิดคำนึงเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่ผูกพันกับอัตลักษณ์ทางธรรมชาติสังคม เช่น ผมมักจะให้ตัวละครคิดถึงผ้าทอ คิดถึงอาหารการกิน นกบางชนิด แม่น้ำสำคัญบางสาย เหตุการณ์บางอย่างที่มีนัยทางประวัติศาสตร์สังคมการเมือง เพราะฉะนั้นถามว่าอัตลักษณ์อยู่ตรงไหนคนจะเขียนหนังสือมาจากตรงนี้"
แม้ส่วนกลางจะเป็นผู้กำหนดบทเรียนวรรณคดีหรือการศึกษา แต่การเปลี่ยนแปลงคลี่คลายมโนทัศน์ของนักเขียนภาคอีสานก็ยังเกี่ยวพันกับบริบทพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงอย่างแยกไม่ออก ชัชวาลย์คิดว่าพรมแดนอำนาจรัฐนั้นไม่มีความหมาย แต่วรรณคดีต่างหากที่สร้างมโนทัศน์ขึ้นมา คนรุ่นต่อไปที่จะทำงานต้องเข้าใจถึงพื้นฐานพื้นถิ่นของตัวเอง แล้วนำมาใช้ได้อย่างมีเสน่ห์
"มันเป็นวิถีทางเดียว… ในโลกทุนนิยมผมไร้ตัวตนและอัตลักษณ์ แต่ในโลกวรรณคดีนั้นผมมีตัวตนอยู่" ชัชวาลย์กล่าว
0มองสู่อนาคต
รายการสุดท้าย ชมัยภร แสงกระจ่าง บูรพา อารัมภีร และรักษ์มนัญญา สมเทพ ขึ้นมาร่วมแลกความเห็นและรับฟังข้อเสนอของผู้ร่วมเสวนาถึงบทบาทของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยต่อการส่งเสริมวรรณกรรมภูมิภาค ซึ่งมีทั้งความเห็นหลากหลายและข้อสงสัย ส่วนหนึ่งที่ผู้ร่วมรับฟังอยากบอกเล่าคือภาคอีสานไม่ได้แห้งแล้งกันดารอย่างที่คนภาคอื่น ๆ มักจะนึกภาพในใจ และคนอีสานไม่ได้ทุกข์ยากปากหมองอย่างที่ติดตา ที่สำคัญอีสานมีอะไรที่โดดเด่นและน่าสนใจไม่แพ้ภาคอื่น ๆ รวมถึงวรรณคดีด้วย
ชมัยภร แสงกระจ่าง อดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยเชื่อมต่อประเด็นที่พูดคุยว่าการมีอัตลักษณ์ทุกคนบอกให้เป็นตัวของตัวเองแต่ก็ต้องคอยตรวจสอบตัวเองไม่ให้เป็นท้องถิ่นนิยมมากเกินไปด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะมีปัญหา ต้องรู้เขารู้เรา ตนเองเป็นคนจังหวัดจันทบุรี ไม่มีลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนเหมือนทางอีสาน และไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาอะไรจากส่วนกลางมากนักแต่ก็ไม่ชอบหากส่วนกลางจะมากดส่วนภูมิภาค จนได้ฟังมโนทัศน์เรื่องวาสนา โชคชะตาที่มากำหนดชีวิต และคุณสมคิดที่วิเคราะห์ว่าบทกวีที่มาจากความเจ็บปวด แสดงให้เห็นว่าข้างในมีความอยากเป็นอิสระ รู้สึกถูกครอบงำ ซึ่งเป็นแง่มุมที่น่าสนใจ
อดีตนายกเสนอแนะว่าการนำเสนอสีสันแบบอีสานอยู่ที่จะทำอย่างไรให้ส่วนท้องถิ่นโดดเด่นขึ้นมาหรือได้รับการสนับสนุนเท่าเทียมส่วนกลาง ซึ่งหากท้องถิ่นมีส่วนสนับสนุนหรือยกย่องด้วยตัวเองจะมีแง่งามและลึกซึ้งกว่า ทำให้คนในท้องถิ่นไม่ทอดทิ้ง เช่นการเล่าเรื่องจากผู้สูงอายุในครอบครัวซึ่งมีพื้นความรู้เก่าแก่ นิทานพื้นบ้านแล้วให้ลูกหลานเก็บบันทึก นำมารวบรวมเป็นคลังภูมิปัญญา จัดโครงการประกวดส่งเสริมเป็นต้น รวมถึงต้องส่งวรรณกรรมขึ้นไปในตำแหน่งที่คนมองเห็น อย่างเช่นก่อตั้งรางวัลวรรณกรรมอีสาน อาจจะทำให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจมากขึ้น ครูก็อาจสนใจนำไปเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา
ด้าน นนท์ พลังวรรณ คิดว่าปัจจุบันคนรุ่นใหม่พูดภาษาอีสานน้อยลง เทศบาลเมืองอุบลราชธานีต้องมีการรณรงค์ให้พูดภาษาอีสาน เราพยายามที่จะสร้างวรรณกรรมที่ไม่ต้องงอนง้อกับส่วนกลางแต่เป็นการนำเสนอที่ออกมาจากจิตวิญญาณของตนเองซึ่งน่าจะตรงที่สุด ส่วนหน้าที่ที่เราต้องไปแปลเราไม่อาจที่เป็นเมืองบริวารทางด้านวรรณศิลป์ ไม่น่าจะเป็นบริวารทางวรรณกรรม เราน่าจะเอาคนของเราให้อยู่ ทุกวันนี้ภาษาอีสานที่เก่า ๆ คนสมัยนี้ฟังแทบไม่รู้เรื่องซึ่งต้องรื้อฟื้นกันต่อไป
นักเขียนปักษ์ใต้รางวัลซีไรต์ วัชระ สัจจะสารสิน มองจากในฐานะที่เป็นนักเขียนใหม่ตั้งข้อสังเกตว่าวรรณกรรมเด่น ๆ ของทางอีสานอย่าง ฟ้าบ่กั้น ของ ลาวคำหอม หรือว่า ลูกอีสาน ของ คำพูน บุญทวี แต่ละเล่มเป็นอัตลักษณ์ของภาคอีสานได้ ตรงนี้คือความสากลที่สื่อออกไป อย่างเช่นฟ้าบ่กั้นที่ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษและเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของอังกฤษด้วย ซึ่งนี่คือตัวอย่างอัตลักษณ์ของพื้นถิ่นที่เสนอออกไปสู่สากล เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและสามารถหยิบยกเป็นตัวอย่างและนำมาศึกษาได้
ท้ายที่สุด เจน สงสมพันธุ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยสรุปทิ้งท้ายว่าทุกคนต้องช่วยกันสร้างอัตลักษณ์ให้แข็งแรง เราอาจจะได้ยินน้ำเสียงบ่นของคนที่ทำงานด้านศิลปะในประเทศที่หน่วยงานของภาครัฐในด้านวัฒนธรรมยังไม่เป็นเสาหลักให้พึ่งพาได้ ตรงนี้วงการวรรณกรรมเองต้องช่วยกันชี้ ช่วยกันกระตุ้นให้คึกคักและนำเสนออย่างต่อเนื่อง
อัตลักษณ์ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสังคม ไม่อย่างนั้นแล้วอัตลักษณ์ก็จะเป็นสิ่งไม่มีชีวิต อัตลักษณ์มีความเลื่อนไหลในแต่ละยุคแต่ละสมัย ฝากพวกเรานักเขียนว่ากระตุ้นตรงนี้ วรรณกรรมในแถบนี้มีพื้นฐานที่แข็งแรง เบื้องหลังวรรณกรรมคือผู้เขียน เบื้องหลังผู้เขียนคือสังคม วรรณกรรมจะเป็นไปตามยุคสมัย วันนี้เป็นฉากหนึ่งในการค้นหาอัตลักษณ์ แล้วก็ช่วยกันอ่าน วิจารณ์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเราเอง
…ให้รุ่นต่อไปที่ต้องสร้าง
โดย : วีรภัทร บุญมา