อลัน ฮอลลิงเฮิร์สต์ นักเขียนเกย์ผู้พิชิตรางวัล Booker Prize 2004

กลายเป็นนวนิยายเกย์เล่มแรกในรอบ ๓๖ ปีที่สามารถเอาชนะใจคณะกรรมการ ตัดสินรางวัลแมนบุ๊คเกอร์ไพรซ์ประจำปีนี้ได้ สำหรับ The Line of Beauty ผลงานของ อลัน ฮอลลิงเฮิร์สต์ โดยเฉือน Cloud Atlas ของนักเขียนตัวเก็งอย่าง เดวิด มิทเชล ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก ว่าเป็นนวนิยายที่มีรูปแบบสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งปี กับ The Master ของ โคล์ม ทอยบิน ที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงของนักเขียนนามอุโฆษ เฮนรี เจมส์ ไปอย่างเฉียดฉิว โดยที่ผลงานของรุ่นใหญ่อย่าง นักเขียนโนเบล วี.เอส.ไนพอล และมิวเรียล สปาร์ค ที่ผ่านเข้ารอบแรก ล้วนหลุดโผรอบสุดท้ายชนิดไม่มีลุ้น
คริส สมิธ ประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัลประจำปีนี้กล่าวถึง The Line of Beauty ว่า "เขียนได้อย่างหลักแหลมและน่าตื่นเต้น และปลอกเปลือกสังคมยุคแปดสิบสมัยแธตเชอร์ได้อย่างหมดจด ซึ่งมีน้อยคนนักจะเขียนถึงการแสวงหาความรัก เซ็กซ์ และความงามได้อย่างวิจิตรบรรจงเช่นนี้"
The Line of Beauty ยึดฉากในยุคแปดสิบ เล่าเรื่องของ นิค เกสต์ เกย์หนุ่มวัย #Q บัณฑิตจากออกซ์ฟอร์ดผู้กำลังเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเฮนรี เจมส์นักเขียนคนโปรดของเขา นิคได้รับการชักชวนจากคู่รักหนุ่ม ลูกชายของนักการเมืองพรรคอนุรักษนิยม ให้ไปอยู่กับครอบครัวของเขาในคฤหาสน์ด้วยกัน จากนั้นนวนิยายก็เริ่มเปิดเปลือยความฟอนเฟะของสังคมในยุคนั้น ผ่านสายตาของ นิค เกสต์ ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติดโคเคน การแสวงหาความสุขของชาวเกย์ ไปจนถึงปัญหาเอดส์
นวนิยายเรื่องนี้พยายามสะท้อนยุคสมัยความเสื่อมทรามของสังคม อันเป็นผลพวงมาจากนโยบายตลาดเสรีที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด ของนายกรัฐมนตรีหญิง มากาเร็ต แธตเชอร์ "มันคือยุคอันน่าสะพรึงกลัวสำหรับการมีชีวิตอยู่" ฮอลลิงเฮิร์สต์ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีในวันประกาศผลรางวัล "และทุกวันนี้พวกเราก็ต้องใช้ชีวิตอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากยุคสมัยแธตเชอร์นั่นเอง"
นวนิยายทุกเล่มของฮอลลิงเฮิร์สต์ล้วนสำรวจเรื่องราวประสบการณ์ และสะท้อนผ่านมุมมองสายตาของผู้ชายเกย์ทั้งสิ้น The Line of Beauty คือผลงานเล่มที่สี่ของฮอลลิงเฮิร์สต์ ก่อนหน้านี้นวนิยายเล่มที่สองของเขา The Folding Star เคยเข้ารอบสุดท้ายรางวัลเดียวกันนี้ในปี ๑๙๙๔ มาแล้ว ผลงานของฮอลลิงเฮิร์สต์เล่มนี้เป็นที่ถูกใจนักวิจารณ์อย่างมาก บางคนถึงกับกล่าวว่านี่คือการรอคอยยี่สิบปีของผู้อ่าน สำหรับนวนิยายที่สามารถสะท้อนยุคฟองสบู่สมัยแธตเชอร์ และความมัวเมาในโลกียสุขยุคแปดสิบ ทั้งเซ็กซ์ ยาเสพติด และเงินตรา ได้อย่างงดงามบรรเจิด อย่างที่แอนดรูว์ โมชัน กวีมิ่งมิตรของฮอลลิงเฮิร์สต์กล่าวว่า "ผมไม่คิดว่าจะมีใครเขียนบรรทัดต่อบรรทัดได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว ทั้งน้ำหนัก ความพิถีพิถัน ความเสียวซ่าน และกระแทกกระทั้นอารมณ์ความรู้สึก"
ฮอลลิงเฮิร์สต์ ในวัย ๕๐ ปี เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกปลาบปลื้มกับรางวัลที่ได้รับจนออกนอกหน้า ไม่เพียงเฉพาะเงินรางวัล ซึ่งเขาบอกว่า "สามารถซื้อเวลามาได้อักโข" เท่านั้น แต่เพราะความเป็นนักเขียนที่ทำงานอย่างหนัก และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน โดยมีผลงานเพียงห้าหกปีต่อเล่ม จนบางครั้งเขาเริ่มนึกสงสัย "ความมีตัวตน" ของเขาในแวดวง รางวัลจึงมีความหมายต่อเขาว่า ความพยายามสร้างสรรค์ผลงานของเขามิได้ถูกมองข้าม
นอกจากนี้รางวัลยังช่วยฉุดให้ผลงานสามเล่มก่อนหน้าของเขา กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นอีกด้วย จากเดิมที่เขาได้รับความนิยมชมชื่นเฉพาะในหมู่ผู้อ่านชาวเกย์เท่านั้น "ตั้งแต่เริ่มต้น ผมพยายามที่จะเขียนหนังสือที่เริ่มจากสมมติฐานความเป็นเกย์ของผู้เล่า" ฮอลลิงเฮิร์สต์ กล่าว "ผมต้องการเขียนชีวิตผู้ชายเกย์จากมุมมองของผู้เป็นเกย์ โดยไม่ต้องรู้สึกผิดและให้มันเป็นธรรมชาติ เฉกเช่นเดียวกับนวนิยายทั่วไปที่เขียนจากมุมมองของคนที่มีชีวิตเพศปกติ"
แน่นอนว่าเขามิได้ต้องการติดสลาก "นักเขียนเกย์" เพื่อจะถูกต่อต้านหรือว่ากลายเป็นข้ออ้างให้ผลงานถูกมองข้าม นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่สมิธ ประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัลจำเป็นต้องออกมากล่าวปกป้องเขาว่า "การเป็นนวนิยายเกย์มิใช่ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพิจารณา" แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วายที่จะถูกกระแนะกระแหนจากหนังสือพิมพ์บางฉบับว่า มีใจโอนเอียงให้กับหนังสือของฮอลลิงเฮิร์สต์ เพราะชอบไม้ป่าเดียวกันเหมือนกัน
"ผมจะขูดป้าย 'นักเขียนเกย์' ออก หากว่ามันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่น่าสนใจในงานเขียนของผม" ฮอลลิงเฮิร์สต์ กล่าว "ผมเพียงต้องการให้มันเป็นส่วนหนึ่งของพื้นฐานของนวนิยาย ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงประเด็นอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ชนชั้น วัฒนธรรม ไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นพาดหัวของหนังสือพิมพ์ แล้วก็คิดไปว่า ก็แค่นวนิยายชีวิตพวกเกย์เท่านั้นเอง"
ต่อเนื้อหาที่เปิดเปลือยเกี่ยวกับเซ็กซ์และยาเสพติด ซึ่งถูกนักวิจารณ์บางคนตั้งคำถามถึงความล่อแหลมในแง่ศีลธรรม ฮอลลิงเฮิร์สต์ บอกว่า "ผมไม่ใช่ผู้พิพากษาคุณธรรม ผมขอปล่อยให้มันสะท้อนผ่านนัยและเนื้อหาที่เสียดสีในตัวมันเองดีกว่า นั่นคือสิ่งที่น่าสนใจสำหรับการเขียนหนังสือเล่มนี้ที่มาจากข้างใน ไม่ใช่เขียนจากสิ่งที่เรารู้เห็นกันอยู่ในยุค ๘๐ แต่เป็นการบอกเล่าจากมุมมองของผู้ที่ติดบ่วงลวงล่อของยุคสมัยอย่างแท้จริง"
ฮอลลิงเฮิร์สต์ เดินทางเข้าสู่มหานครลอนดอนในปี ๑๙๘๑ เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้จัดการธนาคารในเมืองสเตราด์ สมัยที่เรียนวรรณคดีที่ออกซ์ฟอร์ด เขาทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับนักเขียนเกย์ อย่างเช่น อี.เอ็ม.ฟอร์สเตอร์ ผู้ไม่อาจสะท้อนเรื่องราวความเบี่ยงเบนทางเพศอย่างตรงไปตรงมาในงานได้ หลังเรียนจบเขาเช่าบ้านอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับแอนดรูว์ โมชัน ใช้เวลาไปกับการเขียนบทกวีและท่องเที่ยว โดยขึ้นทะเบียนเป็นผู้ว่างงานเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐ ช่วงนี้เองที่เขาเริ่มต้นเขียนนวนิยาย แต่ไม่ได้รับการตีพิมพ์
หลังจากนั้นไม่นานเขามีโอกาสได้เข้าทำงานกับนิตยสารวรรณกรรม TLS เขาอยู่ที่นี่นานถึง ๑๔ ปี และนั่งตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการ ๖ ปี ก่อนหน้าที่จะเซ็นสัญญานวนิยายเล่มแรกกับสำนักพิมพ์เฟเบอร์ในปี ๑๙๘๕ เขาเคยฝันอยากเป็นกวี "ทว่าผมไม่ได้เขียนบทกวีเลยนับแต่นั้น" เขาย้อนรำลึก "ผมอยากมากเลยนะ อยากสัมผัสท่วงทำนองกวีสักบทที่แวบขึ้นมาในใจเหมือนก่อน แต่ตอนนี้ผมได้แต่ทำใจว่ามันหนีหายไปจากชีวิตผมแล้ว"
ประเด็นเอดส์เป็นอีกแก่นแกนสำคัญของ The Line of Beauty แต่หาใช่ 'นวนิยายเอดส์' ไม่ ฮอลลิงเฮิร์สต์รู้ดีว่าสักวันเขาต้องเผชิญกับการเขียนเรื่องนี้ "นักเขียนเกย์จะถูกคาดหวังว่าจะต้องเขียนเกี่ยวกับเอดส์" เขากล่าว "มันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องเขียนถึง และก็มีนักเขียนมากมายที่เขียนถึงเรื่องนี้กันอย่างเร่งด่วน แต่จริงๆ แล้วมันกลับกลายเป็นว่าความเร่งด่วน คือสิ่งเดียวที่วรรณกรรมส่วนใหญ่ผลิตขึ้นโดยวิกฤตการณ์ เรื่องเอดส์มันมีเค้าโครงของมันอยู่ คนประพฤติตัวดีๆ บางคนก็ยังป่วย และก็ป่วยหนักขึ้น จนกระทั่งตาย ผมไม่ต้องการจะเขียนถึงมันในด้านที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์หรือว่าการตาย" และสิ่งที่เขาเขียนถึงก็คือข้อเท็จจริงของชีวิต มากกว่าที่จะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตาย
"ใน The Folding Star และ The Spell" เขากล่าว "มีเรื่องเอดส์อยู่นิดหน่อย และไม่ได้กล่าวถึงอย่างตรงๆ แต่สำหรับ The Line of Beauty เรื่องเอดส์กลายเป็นภาพที่ใหญ่ขึ้น เริ่มจากความรักที่ไม่เดียงสา สู่การมองทะลุมายาภาพ จนกระทั่งจบลงด้วยโศกนาฏกรรม"
แม้จะมิใช่นวนิยายชุด แต่ The Line of Beauty ก็เสมือนเป็นภาคจบของนวนิยายที่มีเนื้อหาสะท้อนชีวิต และการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับในสังคมของผู้ชายเกย์ "ผมรู้สึกเหมือนเขียนหนังสือชุดสี่เล่มจบยังไงยังงั้น มันอาจจะไม่ถึงกับเป็นนวนิยายจตุรภาคโดยวิธีการเล่าเรื่องก็จริง แต่มันก็มีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกัน"
สำหรับนวนิยายเล่มใหม่ ฮอลลิงเฮิร์สต์ กล่าวอย่างเปิดเผยว่า "ผมยังไม่ได้คิดเลย" เขาบอกว่าอาจจะนำเรื่องสั้นที่เขียนค้างไว้มาทำต่อ และสำหรับเรื่องต่อไป บริบทสังคมก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง "เมื่อถึงเวลาที่ผมจะลงมือเขียน ประเด็นเร่งด่วนคงเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้ทัศนคติต่อโฮโมเซ็กชวลก็เปลี่ยนไปอย่างมากแล้วด้วย"
ที่แน่ๆ การเปลี่ยนแปลงหลังจากการได้รับรางวัลบุ๊คเกอร์ไพรซ์ของฮอลลิงเฮิร์สต์ในครั้งนี้ ก็คือปริมณฑลการยอมรับวรรณกรรมและนักเขียนเกย์ จะขยายตัวออกไปอีกอย่างกว้างไกล
และนักเขียนเกย์อย่าง อี.เอ็ม.ฟอร์สเตอร์ ที่เขาหยิบยกขึ้นมาทำวิทยานิพนธ์ ก็น่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ถูกกรอบสังคมตีตรวน จนไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยความจริงของชีวิตเพศที่เบี่ยงเบนของตัวเอง ผ่านงานเขียนอย่างตรงไปตรงมาเสียที
บายไลน์… ลำน้ำ : แปลและรายงาน
กรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย
ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๕๘๑๒
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗