Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

อย่าดัดจริตในงานเขียน และอย่าดูถูกคนอ่าน : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

 

 
วันนี้เราจะมารู้จักกับนักเขียนและบรรณาธิการคนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตคร่ำหวอดมากับวงการวรรณกรรมอยู่พอสมควร แม้จะไม่ได้มีผลงานออกมาให้เห็นกันมากนัก แต่ประสบการณ์เกี่ยวกับงานเขียนและการทำงานหนังสือก็เรียกว่าไม่น้อยเลยทีเดียว  
 
 แนะนำตัวสักนิด
 
 เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด  คุณพ่อเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์  ส่วนคุณแม่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ จำได้ว่า ที่บ้านมีแต่หนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มองไปทางไหนก็มีแต่ชั้นหนังสือ  ทุกคนในบ้านชอบอ่านหนังสือ  คงเป็นเพราะจุดนี้ที่ทำให้รักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก   แค่อ่านหนังสือที่พ่อมีก็แทบไม่หวาดไหวแล้ว อย่างเรื่องสั้นและนิยายของคุณสุวรรณี สุคนธา เรื่องสั้นของต๊ะ ท่าอิฐ เรื่องสั้นของคุณรงค์ วงษ์สวรรค์ และรวมเรื่องสั้นยุคฟ้าเมืองไทย ฟ้าเมืองทอง ซึ่งพ่อเป็นสมาชิก ก็เลยพลอยได้อ่านมาแต่เด็ก
       
            คุณพ่อชอบสะสมวรรณกรรมทั้งไทยทั้งอังกฤษ   ถ้าเป็นภาษาอังกฤษส่วนมากจะเป็นของคุณแม่ เติบโตมากับหนังสือพวกนี้แหละค่ะ  อ่านหมด อ่านดะ  อ่านทุกประเภท กำลังภายในของพ่อยังอ่านเลย ฤทธิ์มีดสั้น หงส์ผงาดฟ้า มังกรหยก  สมัยนั้น แปลโดย ว.ณ เมืองลุง และน. นพรัตน์ อ่านแล้วติดหนึบหนับ ข้าวปลาไม่กิน
แต่ที่อ่านน้อยมากคือ นิยายแบบพาฝัน ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่ชอบอ่าน ชอบอ่านสารคดีและเรื่องสั้นมากกว่า อาจจะเป็นเพราะที่บ้านไม่มีนิยายอย่างผู้หญิงๆ เลย แม่ดิฉันก็ไม่ชอบอ่าน เลยไม่ได้โตมากับนิตยสารอย่างขวัญเรือนหรือสกุลไทย  เลยกลายเป็นคนไม่ค่อยอ่านนิยายรักเท่าที่ควร
 
เริ่มจับปากกาได้อย่างไร      
    
ตอนเด็กๆ เข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียนสวนเด็ก แล้วมาเข้าสาธิตปทุมวัน ที่นี่แหละค่ะ ที่มีส่วนทำให้หันเหชีวิตมาเป็นคนเขียนหนังสือ  เป็นนักเขียนเพราะเพื่อนแท้ๆ  ตอนนั้นมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ชื่อ พันธุมดี เกตะวันดี  เป็นลูกสาวนักเขียนดังคือ คุณทวี เกตะวันดี หรือคุณรมย์ รติวัน   เพื่อนคนนี้เขามีจุดยืนชัดเจนมาตั้งแต่ป.5 แล้วว่าจะเป็นนักเขียน ตอนนั้นเราเองก็ยังไม่รู้หรอกค่ะว่าอยากทำอะไร หนักไปทางหาเรื่องเล่นสนุกไปวันๆ  ตอนนั้นครูให้ออกไปพูดหน้าห้อง เรื่องอาชีพในฝัน  เลยลอกคำตอบเพื่อน   เพื่อนอยากเป็นนักเขียนก็คิดว่ามันคงเท่ดี แต่ขอเป็นบรรณาธิการดีกว่า  คงจะดีกว่าหากได้อ่านงานชาวบ้าน จากนั้นก็เหมือนผีบ้าเข้าสิงเลย  ออกหนังสือพิมพ์เอง เอากระดาษสมุดนั่นแหละ ฉีก ทำรูปแบบเหมือนหนังสือพิมพ์เป๊ะๆ ซึ่งชื่อหนังสือพิมพ์เขามีไทยรัฐ  หนังสือพิมพ์ทำมือของดิฉันชื่อ "ไทยมุง"  สนุกกันมาก  นั่งเขียนเองทำเองทั้งเล่ม วาดการ์ตูนด้วย เพื่อนๆ ชอบกันใหญ่ หนักไปทางเรื่องไร้สาระและซุบซิบเพื่อนในห้อง แม้จะออกมาได้ไม่กี่เล่ม (เพราะคนเขียนเริ่มขี้เกียจ) แต่ก็ได้ใจค่ะ ผีน้ำหมึกเข้าสิงเลยทันที เริ่มเคลิ้มๆ อยากเป็นนักเขียนแล้ว ตั้งแต่ ป.5 แต่แรกเริ่มนี่ มาจากลูกสาวนักเขียนจริงๆ ที่ทำให้เราอยากเป็น เพราะเพื่อนคนนี้พูดจาฉะฉานและดูเท่ห์มาก  ในสายตาเรา
         
เรียนที่สาธิต มศว. ปทุมวันจนถึงมัธยมศึกษาปีที่สาม ก็ออกมาสอบเข้า รร. เตรียมอุดมศึกษา พญาไท   ช่วงนี้แหละค่ะ ที่เริ่มขบถต่อสังคมอย่างแท้จริง เพราะเริ่มอ่านงานหนักๆ ของคุณเสนีย์ เสาวพงศ์ อย่างเรื่องปีศาจ  ข้างหลังภาพของศรีบูรพา  คุณอาจินต์   คุณชาติ กอบจิตติ คุณนิคม รายยวา อย่างตลิ่งสูง ซุงหนัก งานโทนเพื่อชีวิตหนักๆ    บังเอิญพอมีโชค ไปสอบติดคณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ตอนปีหนึ่ง มีประกวดบทกวี โดยคณะวารสารศาสตร์ ดิฉันก็ลองส่งไป ได้ที่สอง ตอนนั้นเขียนเรื่องชาวนา ความทุกข์ยากของชาวนาไทย อะไรประมาณนี้  ใบประกาศที่ชนะการประกวดก็ยังเก็บไว้เลย นานๆ หยิบออกมาดู ก็ขำๆ เพราะตอนนั้นเขียนตามขนบแท้ๆ ไม่เคยเรียนรู้ชีวิตชาวนาจริงๆ เลย 
 
          พอปีสอง ย้ายมาเรียนท่าพระจันทร์  เป็นช่วงที่ไปนั่งฟังปาฐกถาหรือเสวนาทุกวัน ซึ่งคนที่ชอบไปฟังเสวนาคงจะทราบว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถือเป็นแหล่งแห่งการเสวนา เพราะมีทุกวัน คณะนั้นคณะนี้ ไม่เคยขาด ถือเป็นแหล่งความรู้ที่มีค่ามาก ถือเป็นการเรียนรู้นอกตำราและทุกสาขาวิชาการ การเมือง เศรษฐศาสตร์ สังคม ดิฉันโดดเรียนไปฟังหมดแหละค่ะ  ต้องขอโทษอาจารย์ไว้ตรงนี้ด้วย หากมีอาจารย์ได้มาอ่านเจอ ศิษย์ผิดไปแล้ว  สมควรตาย (หัวเราะ)
 
      
นอกจากฟังเสวนาแล้ว ไปดูงานแสดงศิลปะทุกแห่ง (ไม่ค่อยเข้าห้องเรียนเท่าไหร่) ไม่อยู่ตึกกิจกรรมก็ห้องสมุดหรือไม่ก็ไปดูงานศิลปะ ไม่ไกลหรอกค่ะ แถวหอศิลป์ ถนนเจ้าฟ้า หรือไม่ก็ในศิลปากรนี่ก็เยอะ คะแนนเข้าห้องเป็นศูนย์มาตลอดสี่ปี จนบางวิชา อาจารย์ต้องส่งม้าเร็วมาตามที่ตึกกิจกรรม คิดดูแล้วกันว่าดิฉันขี้เกียจมากขนาดไหน (ฮา)
 
      
ช่วงที่อยู่ตึกกิจกรรมนี่แหละค่ะ ที่บ่มเพาะให้ชีวิตหักเหอีกครั้ง ที่ชุมนุมวรรณศิลป์ มีพี่ๆ  หลายคนที่ปัจจุบันเป็นนักเขียน  เท่าที่จำได้หลักๆ นะคะ มีพี่เฉินซัน  พี่โกศล  อนุสิม  พี่เดี่ยว สุดแดน วิสุทธิลักษณ์  พี่ช้าง ซึ่งปัจจุบันทำงานที่สารคดี  พี่แป๊ด บรรณาธิการระหว่างบรรทัด พี่ตี๋ จิตติ หนูสุข อดีตบรรณาธิการดอกหญ้าและดับเบิ้ลนายย์ พี่ไก่ พี่ฟ้า (ปัจจุบันทำงานให้สมาคมเกี่ยวกับภาษาและหนังสือ) พี่เอียด นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ส่วนเราเป็นเด็กกว่าใครเพื่อน นั่งรวมกลุ่มกันก็ปากอ้า ตาค้างตลอดเวลาเค้าคุยกัน  เขาคุยกันเรื่องนักเขียนต่างชาติและวรรณกรรมโลก ตอนนั้นก็เป็นเด็กปีสอง นั่งฟังตาปริบๆ ไม่รู้เรื่องเลย ใครเหรอ เฮอร์มาน เฮสเส  ใครน่ะ ตอลสตอย ใครหว่า ชื่อ มิลาน กุนเดอรา   สรุปคือ อายค่ะ เค้าพูดจากันน้ำไหลไฟดับ เรานั่งโง่งมอยู่คนเดียว เลยไปขวนขวายหาหนังสือยากๆ อ่านเข้าใจยากพวกนั้นมาอ่านบ้าง แล้วเก็บสะสมทุกเล่ม จนทุกวันนี้ก็ยังอ่านอยู่ ขนเอาบางเล่มมาอเมริกาด้วย 
 
       
พอสะสมความรู้จากการอ่านแล้วคิดว่า ตัวเองเจ๋งพอแล้ว ก็เริ่มเข้าร่วมวงสนทนาทางวรรณกรรมกับรุ่นพี่ด้วยอย่างเขินๆ จริงๆ แล้ว มีแรงบันดาลใจมาจากความกลัวเชย กลัวเข้ากับพี่ๆ ไม่ได้ ปีนั้น มีเด็กปีสองหลงเข้าชุมนุมวรรณศิลป์คนเดียวเอง  ถ้าเข้ากับพี่ๆ ไม่ได้  หัวเน่าแน่นอน
 
       
ตอนนั้น ที่ชุมนุมมีสมุดเล่มใหญ่ๆ อยู่เล่มหนึ่ง ใครจะเขียนอะไรก็ได้ ดิฉันก็เพ้อเจ้อไปตามประสาเด็กปีสอง เขียนกลอนรักหวานแหวว แบบวัยหวาน เธอกับฉันนี่แหละค่ะ โดนเลยค่ะ โดนสับ โดนด่าไม่มีชิ้นดี  ก็พี่ๆ นั่นแหละ มาอ่านแล้ว วิจารณ์อย่างไม่ปราณี บอกตรงๆ ว่า แรงมาก แรงจนน้ำตาตก แอบไปนั่งทำหน้าหมาเหงาอยู่หลังตึกกิจกรรมคนเดียว(หัวเราะ)  จากนั้นก็ฮึดเขียน เขียนๆๆๆๆ แบบไม่ยอมเว้ย มาด่าได้ไง โดนด่าหนักๆ เข้าเลยปรับแนวไปเรื่อยๆ พอดีตอนนั้น อ่านงานแนวเพื่อชีวิตหนักๆ ด้วย เลยค่อยๆ ปรับๆ แก้ๆ เขียนไปเรื่อยๆ แก้ไปเรื่อยๆ  หาแนวทางของตัวเองไป
      
หลังจากนั้นก็เริ่มไปรับจ๊อบนอกมหาวิทยาลัย เป็นกองบก. นิตยสารสำหรับนักศึกษา ด้านเรื่องสั้นและบทกวี ชื่อ U-Magazine ถ้าจำไม่ผิด จากนั้น เริ่มส่งงานไปลงตามที่ต่างๆ ส่วนมากเป็นสนามสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์และลลนา ได้เงินมาบ้าง พอชื่นใจ ตอนนั้น ใช้นามปากกาหวานแหววแต๋วจ๋ามาก คือ "พิมพ์ทราย" และ "พิมพ์ทราย สิมิลัน"  หลังๆ ก็มาใช้ชื่อจริงดีกว่า พ่อแม่อุตส่าห์ตั้งมาให้
      ช่วงปีสามถึงช่วงเรียนจบใหม่ๆ จะเขียนบทกวีเป็นหลัก ตอนนั้น ส่งไปลงสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ เพราะถือว่า เป็นสนามที่คัดงานคุณภาพ โดย คุณไพลิน รุ้งรัตน์  ถ้างานออกแนวหวานๆ หน่อย ก็จะส่งไปลง "ลลนา" และก็ได้ลงตีพิมพ์เรื่อยๆ ทั้งสองสนาม จากนั้นก็ส่งไปจุดประกายวรรณกรรม กรุงเทพธุรกิจ และนิตยสาร Writer  
 
        พอเรียนปีสี่  ก็เริ่มเขียนสารคดีชิ้นแรก โดยส่งไปให้บรรณาธิการนิตยสาร "นะคะ" พี่บรรณาธิการก็กรุณารับงานเขียนไว้สองสามชิ้น จำได้ว่า เป็นงานเขียนสารคดีชิ้นแรกในชีวิต เรื่อง หุ่นกระบอกไทย ลมหายใจยังไม่สิ้น ซึ่งก็ได้ลงตีพิมพ์ที่นิตยสาร”นะคะ” ได้เงินมากินขนม แล้วเลยเขียนสารคดีอีกสองสามเรื่องให้ "นะคะ" ต้องขอบคุณความเมตตาของพี่บรรณาธิการในครั้งนั้นด้วย ที่เมตตาให้เด็กปีสี่ที่ไร้ประสบการณ์อย่างดิฉันได้มี "ที่อยู่ที่ยืน บนถนนวรรณกรรม"
 
ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา 
 
จากนั้นมาก็เขียนสารคดีบ้าง บทกวีบ้าง แต่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก ตามประสาคนเรื่อยเปื่อยล่องลอย พอดีช่วงนั้นเรียนจบแล้ว ทำงานประจำกองบรรณาธิการที่สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช เป็นลูกน้องคุณอนุช อาภาภิรมย์   แล้วต่อมาก็ทำงานอีกหลายอย่างมาก เหมือนกรรมกรทางวรรณกรรม ไปทำงานเป็นรองบรรณาธิการอยู่สำนักพิมพ์สายน้ำ ตอนนั้นเลยมีโอกาสได้แปลวรรณกรรมเยาวชน แปลออกมาสองเล่ม คือ อาถรรพ์รัสปูติน กับ ตะลุยแดนมังกร ทั้งสองเรื่องอ่านแบบสบายๆ ผจญภัยแบบเด็กๆ 
      
หลังจากทำสำนักพิมพ์แล้ว เพื่อนก็ชวนไปทำงานนิตยสาร Decade ช่วงนั้นปลื้มมาก เพราะมีโอกาสได้ทำงานกับนักเขียนคนหนึ่งในดวงใจคือ พี่ไพวรินทร์ ขาวงาม ปลื้มงานพี่เค้ามานานแล้ว ได้แต่อ่านงานมานาน พอได้เจอตัวจริง ทำงานร่วมกัน ยิ่งนับถือพี่ไพวรินทร์เป็นทวีคูณ แต่งานไม่ค่อยเดินหรอกค่ะ หนักไปทางสังสรรค์และเฮฮาทุกเย็น Decade ยุคดิฉันเป็นหลังยุคคุณเนตรดาว แพทยกุล มาแล้วนะคะ เป็นยุคสนุกสุดใจ เย็นๆ มีทั้งนักเขียนนักแปล คนนั้นคนนี้มาร่วมวงถองสุรากันประจำ เมาจัดๆ ก็นอนกันที่ออฟฟิศ  ทำจนนิตยสารเจ๊งแหละค่ะ ถึงได้กระจัดกระจายกันไป เลยย้ายมาทำงานเอ็นจีโอ เป็นประชาสัมพันธ์ให้มูลนิธิเด็ก ก็สนุกไปอีกแบบได้ทำงานกับลุงเทพสิริ สุขโสภา นักเขียนและนักวาด แต่ดิฉันเป็นคนขี้เบื่อ เบื่อก็เปลี่ยนงาน อาจจะโชคดีตรงที่เพื่อนเยอะ เลยมีเพื่อนชวนไปทำงานโน่นนี่ตลอด  ไม่ต้องสมัครงานเองเท่าไหร่
 
      ออกจากมูลนิธิเด็กก็เพื่อนรุ่นพี่อีกนั่นแหละ ชวนไปทำนิตยสารใหม่ชื่อ THE EARTH 2000เป็นนิตยสารแนวเดียวกับสารคดี  ตอนนี้ ได้เขียนสกู๊ปยาวๆ แบบยี่สิบหน้า เอสี่ เลย เกือบทุกเล่มนี่ได้ปั่นแต่งานสารคดีปกขนาดยาว   ตอนนั้นงานหลักคือสารคดี   แต่ก็ยังเขียนบทกวีและบทความลงทางนิตยสารเล่มอื่นบ้างนิดหน่อย   ช่วงนั้นก็เลยทำงานควบกันสองแห่ง ประจำกองบก. THE EARTH 2000 และเป็นคอลัมนิสต์ให้ Bangkok Today (ยุคนั้น) 
 
       เริ่มเปิดคอลัมน์ของตัวเองแล้ว เป็นงานเขียนเชิงปรัชญา ชื่อ ดอกไม้ในความคิด ซึ่งเป็นแนวปรัชญาการใช้ชีวิต บวกมุมมองทั่วไปในเรื่องทั่วไป เรื่องง่ายๆ ใกล้ๆ ตัวที่เรามองข้ามอาจจะแปรเป็นพลังใจให้เราสู้ชีวิตได้อย่างคาดไม่ถึง  เหมือนดอกไม้ริมทาง ที่งดงามอย่างง่ายๆ แต่คนไม่ยอมเสียเวลาชื่นชม มักมองข้ามไป เพราะเจนตา  จึงพลาดความงามนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
 
ดิฉันเชื่อว่าทุกคนมีดอกไม้ในความคิดของตัวเอง แต่จะรดน้ำให้เบ่งบานหรือปล่อยให้เหี่ยวเฉานี่  แล้วแต่ทัศนคติในการมองโลกของแต่ละคน
 
       ประมาณปี 2538 เห็นจะได้ ผันตัวเองมาเป็นคนข่าวและคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์วัฎจักรรายวัน ก็โยกคอลัมน์นี้มาเขียนใน วัฏจักรวันอาทิตย์ เซกชั่น "กระแสชีวิต" ตอนทำงานข่าวก็เป็นงานเชิงสกู๊ป  เขียนลงเต็มหน้า หน้าสี ถ่ายภาพเอง ส่วนมากเป็นสกู๊ป บทความ สารคดี สารคดีเชิงท่องเที่ยว และบทกวี บทกวีนี่ ต้องเขียนประกอบภาพทุกอาทิตย์เลย แบบ PHOTO ESSAY เขียนสดๆ บ้าพลังมาก ช่วงนั้นเขียนได้ เขียนดี  เพราะต้องเขียนทุกวัน เสียดายที่ไม่ได้เก็บต้นฉบับพวกนั้นไว้เลย   ตอนนั้นคอลัมน์ดอกไม้ในความคิด ซึ่งเขียนประจำทุกวันอาทิตย์ได้รับความนิยม จนสำนักพิมพ์ดอกหญ้า (เวลานั้น) ติดต่อขอตีพิมพ์เป็นเล่ม
 
หลังจบปริญญาโทออกมาแล้วก็ยังเขียนบทกวีบ้าง แต่น้อยมาก อาจจะเพราะอิ่มตัว สมัยที่ทำข่าว ก็ทำข่าวแวดวงวรรณกรรมด้วยค่ะ เห็นอะไรต่ออะไรมากเข้า เลยอยากใช้ชีวิตเรียบง่ายมากกว่าจะเข้าไปคลุกคลีกับคนในแวดวง เหมือนสมัยก่อน   มีความรู้สึกว่า ความเป็นนักเขียนไม่ใช่แค่เสนอหน้าไปตามแวดวงวรรณกรรมหรือจับกลุ่มดื่มกินร่วมกับนักเขียนแค่นั้น หากแต่การลงมือทำงานหนักต่างหากที่คือเครื่องพิสูจน์ความเป็นนักเขียน  แต่สมัยก่อน ดิฉันทำข่าวสายวรรณกรรมด้วย จึงเป็นภาวะที่เลี่ยงไม่ได้กับการต้องพบปะกับนักเขียนในแวดวง พออิ่มตัวแล้ว อยากนั่งทำงานเงียบๆ นอกแวดวงมากกว่า
             จากนั้น จบออกมาก็ทำงานให้นิตยสารแฟชั่นพักหนึ่งแล้วไปก็ทำงานอยู่บริษัทในเครือแปลน  รับจ๊อบงานเขียนคอลัมน์ในนิตยสารเล่มอื่นไปด้วย  ทำงานหลักไปด้วย
 
ผลงานเขียนรวมเล่ม 
 
ถ้าจะนับงานเขียนแบบเป็นตีพิมพ์เป็นเล่มก็ห้าเล่ม แบบเนื้อๆ ไม่นับเล่มที่มีงานตัวเองแทรกปนอยู่พอเป็นกระสาย  ก็มีงานแปลวรรณกรรมเยาวชนสองเล่มคือ  
อาถรรพ์รัสปูติน และ ตะลุยแดนมังกร พิมพ์โดนสำนักพิมพ์สายน้ำ (2533)  อีกเล่มคือ ตำนานนักเดินทาง เล่มนี้ เป็นรวมบทสัมภาษณ์ โดยเขียนร่วมกับคุณนิพัทธ์พร เพ็งแก้ว เป็นการรวมเล่มจากคอลัมน์ในนิตยสาร "THE EARTH 2000"  (2538) พิมพ์ที่สำนักพิมพ์ของนิตยสารค่ะ   “ดอกไม้ในความคิด"  เป็นรวมบทความเชิงปรัชญา (2544) พิมพ์ที่สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนาย ในปี 2546 ซึ่งได้รับรางวัล เซเว่น Book Awards ที่จัดขึ้นเป็นปีแรก เป็นรางวัลหนังสือดีด้านปรัชญา   เล่มหลังสุด "เที่ยวท่องห้องสมุด" พิมพ์ที่สำนักพิมพ์เวลาดี สำนักพิมพ์ในเครือแปลนพริ้นติ้ง  (2547)  และยังมีงานเขียนด้านบทกวีที่ได้รับการตีพิมพ์ตามหน้านิตยสารทางการเมืองและวรรณกรรมในสมัยนั้น เช่น สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เนชั่นสุดสัปดาห์ และ Writer กระจัดกระจายอยู่ ยังไม่ได้รวมเล่ม ไม่กล้ารวมเล่ม กลัวสำนักพิมพ์เจ๊ง (หัวเราะ)
 ที่ชอบเขียนจริงๆ คือแนวไหน
                
หากจะถามว่า  ชอบเขียนหนังสือแนวไหน ก็แนวปรัชญานิดๆ นี่แหละค่ะ ส่วนมาก เอาเรื่องใกล้ตัวมาเขียน อิงหลักปรัชญาง่ายๆ ให้คนอ่านแล้ว รู้สึกว่า เออ…มันเป็นอย่างนี้เอง  ปรัชญาไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่อยากให้คนคิดว่า ปรัชญาเป็นเรื่องที่ต้องปีนบันไดขึ้นไปอ่าน จริงๆ แล้ว ปรัชญาซุกซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง เป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันแท้ๆ
 
          หลังจากอิ่มตัวจากงานข่าว ดิฉันลาออกมาเรียนต่อปริญญาโทที่มหิดล สาขาสิ่งแวดล้อม ความสนใจดิฉันหลากหลายมาก ตอนนั้น รู้สึกว่า เราพอแล้ว อิ่มแล้วกับอาชีพเขียนหนังสือ อยากลองเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยดูบ้าง แต่เรียนจบมาแล้ว ไม่ได้เป็นค่ะ (หัวเราะ) บุคลิกบู๊เกินไป เค้าไม่รับ
 
 
 
ชีวิตปัจจุบัน
 
 
หลังจากแต่งงานกับนักเขียนอเมริกันแล้วย้ายมาอยู่ที่อเมริกาหลายปีแล้วค่ะ   มาปีแรกๆ ก็ทำร้านขายงาน handmade สินค้าไทย พวกผ้าไหม ไม้แกะสลัก เครื่องเงิน  ทำร้านด้วยเงินส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเงินสามี ทำอยู่นานพอสมควร   พอดี พ่อป่วยเป็นมะเร็ง เลยปิดร้าน บินกลับไปดูแลพ่อจนสิ้น ตอนนี้ กำลังมองหาลู่ทางใหม่ๆ ในชีวิตให้ตัวเองอยู่
 
ทำงานมาหลายอย่าง ชอบงานแบบไหนมากที่สุดเพราะอะไร         
อยากจะบอกว่า ชอบทุกงานค่ะ ทุกงานมีคุณค่าในตัวมัน ไม่ว่าจะเป็นงานหนังสือหรืองานค้าขาย คนค้าขายก็กลายมาเป็นคนเขียนหนังสือได้ คนเขียนหนังสือก็กลายมาค้าขายได้  อย่ายึดติดว่า ถ้าเราทำอาชีพใดอาชีพหนึ่งแล้ว จะต้องตายตัวเสมอไป  ไม่งั้นโลกนี้จะมีกวีหมี่เป็ดหรือคะ ขออนุญาตแซวเพื่อนหน่อย (หัวเราะ)  ชีวิตมีความหลากหลายนะคะ การมีชีวิตอยู่คือการได้ใช้ชีวิตที่หลากหลาย ได้ดูโลกที่มีความแตกต่าง ได้พบปะผู้คนที่ไม่เหมือนเรา เป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น   การได้เรียนรู้โลกที่แตกต่างออกไปจากโลกวรรณกรรมทำให้ตระหนักว่า โลกเรานี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน แม้โลกวรรณกรรมนั้นงดงาม แต่โลกใบอื่นก็น่าสนใจเช่นกัน
 
เทคนิคและวิธีการทำงานเขียน
         
  งานยุคแรกที่เป็นบทกวี ส่วนมากผุดพุ่งออกมาตามสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบในเวลานั้น ผิดหวัง โกรธ กลัว เสียใจ สมหวัง เป็นเรื่องของการนำอารมณ์ที่เริงโรจน์ในเวลานั้น มาถักร้อยเข้าด้วยกันในรูปแบบของถ้อยคำ  ดิฉันเขียนรวดเดียวจบ  ปล่อยอารมณ์ให้พุพลั่งหลั่งไหลออกมาเหมือนตาน้ำ  พออารมณ์นิ่งกว่าเดิมแล้ว ถึงค่อยมาเกลารอบสอง งานระยะหลังเป็นงานสารคดี จะเก็บข้อมูลเบื้องต้นก่อน อ่านละเอียด ออกภาคสนาม แล้วตกตะกอนซักพัก รอให้ใจนิ่งๆ แล้วถึงจะเขียน เขียนแล้วก็ขัดเกลาไปเรื่อยๆ ช่วงขัดเกลานี่ นานกว่าเขียนอีกค่ะ
 
ระหว่างงานเขียนเองกับงานแปลคิดว่าอะไรยากกว่ากัน
ยากง่ายไปคนละแบบค่ะ งานแปล นอกจากจะมีทักษะภาษาอังกฤษในระดับดีแล้ว ทักษะภาษาไทยต้องดีมากด้วย  คนส่วนมากมักคาดไม่ถึง คิดว่า คนแปลงาน ต้องเก่งภาษาอังกฤษอย่างเดียว สมัยดิฉันทำงานสำนักพิมพ์ เรียกนักแปลมาชี้จุดบกพร่องหลายคนแล้ว เพราะแปลออกมาแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง 
 
             ส่วนงานเขียนนั้น เราสามารถแสดง "ตัวตน" ออกมาได้ชัดเจนมากกว่าการแปลงาน เพราะเป็นชิ้นงานของเราเอง และยังคงต้องใช้ความจัดเจนทางภาษาเช่นกัน เพื่อ "สื่อ" สิ่งที่อยู่ในใจและในความคิดเราออกมาให้ผู้อ่านได้รับรู้  ถามว่า ยากไหม ยากนะ เพราะการ"สื่อสาร" ให้ตรงใจนั้นไม่ง่าย นักเขียนบางคนที่ยังหาหนทางของตัวเองไม่เจอ ก็เหมือนการคลำๆ เขียนไป "ตามขนบนิยม" มากกว่าจะสื่อสารได้อย่างสง่างามจากถ้อยคำของเราเอง  นักเขียนทุกคนต้องหา "ทาง" ของตัวเองให้พบค่ะ ถึงจะพ้นไปจากเงานักเขียนอื่นได้ ซึ่งเรื่องนี้แหละ ที่ยากที่สุด
 
พูดถึงความเป็นไปได้ที่จะผลักดันหนังสือไทยไปขายต่างประเทศ
            นี่แหละค่ะ ที่ดิฉันจับตามองอยู่ ตลาดหนังสือของอเมริกาดูเหมือนกว้าง แต่ก็แคบ คนอเมริกันไม่สนใจเรื่องราวของคนชาติอื่นมากนัก หากจะมีอเมริกันที่สนใจวัฒนธรรมของชาติอื่นก็นับเป็นส่วนน้อยมาก เอาง่ายๆ ทุกวันนี้ เวลาดิฉันบอกว่า มาจากไทยแลนด์ คนยังคิดว่า ดิฉันมาจากไต้หวันอยู่เลย บางทีต้องเหน็บไปแรงๆ ว่า เออ ไอมาจากไทยแลนด์ ใกล้เวียดนาม ประเทศที่พวกยูแพ้สงครามมาน่ะ รู้จักรึยัง  (หัวเราะ)
           คนอเมริกันไม่ได้เก่ง ไม่ได้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ ไม่ได้รวยล้น ไม่ได้รอบรู้ หรือมีชีวิตความเป็นอยู่หรูเริ่ดเหมือนในหนังฮอลลีวู้ดหรอกค่ะ นั่นมันภาพลวงตา  ดิฉันว่า ประเทศนี้เหมือนหมาพันธ์ทาง เคยบอกสามีบ่อยๆ ว่า น่าจะตั้งฉายาให้อเมริกาว่าเป็น Mutt Country (ประเทศหมาพันทาง) เพราะผสมปนเปกันไปหมดทุกเชื้อชาติ ไม่มีเอกลักษณ์ เอ…หรือความมั่วและจับฉ่ายแบบนี้คือเอกลักษณ์ก็ไม่ทราบได้
 
           วกมาเรื่องหนังสือต่อ ประการแรก การแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ง่ายเลย ต้องหาคนที่เก่งทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ขั้นที่เรียกได้ว่า แตกฉานทั้งสองภาษา และยังต้องมีความชำนาญในการดึงเอา "กลิ่นอายแบบไทยๆ" จากต้นฉบับให้ไปปรากฏในงานแปลภาษาอังกฤษให้ได้ด้วย เรียกว่า งานต้นฉบับเขียนบรรยายถึงส้มตำปลาร้า คนแปลต้องทำให้ฝรั่งอ่านแล้วได้กลิ่นปลาร้าปลาแดกได้ด้วย นี่ไงคะ ที่ยากทั้งความแตกต่างเชิงวัฒนธรรมและกระบวนการคิด
        ประการที่สองวรรณกรรมไทยที่ดีมากๆ และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ  จะกลายเป็นกี่เปอร์เซนต์ ในตลาดวรรณกรรมโลก เพราะแม้ในตลาดหนังสือของอเมริกันเอง นักเขียนก็แก่งแย่งกันสุดขีดเพื่อจะให้เอเยนต์ของตัวเองส่งเรื่องไปเสนอต่อสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ   คือนักเขียนคนไหนเริ่มมีชื่อเสียง รัศมีจับ เอเยนต์ก็จะมาหาทันที   พวกนี้เหมือนเห็บคอยดูดเลือดหมาอ้วนๆ หล่อเลี้ยงชีวิต  นักเขียนส่วนมากที่มีชื่อเสียงมักจะมีเอเยนต์ เพราะตนเองเข้าไม่ถึงสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ในอเมริกา  ซึ่งส่วนมากกระจุกตัวกันอยู่ในนิวยอร์ก พวกทำสำนักพิมพ์พวกนี้แหละที่มีคอนเนคชั่นกันเอง ซึ่งนักเขียนทั่วไปเข้าไม่ถึง  ฟังดูแล้วหลายด่านไหมคะ   เอาแค่นักเขียนอเมริกันจะแจ้งเกิดเอง ยังยากแบบหืดขึ้นคอ แล้ววรรณกรรมต่างชาติคงมีโอกาสน้อยยิ่งกว่าน้อย นอกจากฮือฮาแบบตบหน้าโลกจริงๆ อย่าง Stanic Verses ของ Salman Rushdie ที่ถูกประเทศมุสลิมแบนจนเป็นข่าวไปทั่วโลก  จะมีบางสนพ. เท่านั้นนะคะ ที่เห็นว่า เป็นทางเลือกของนักเขียนจากประเทศอื่น อย่าง สนพ. ของ City Lights Bookstore ที่ก่อตั้งโดยเหล่ากวี Beat Generation  ดิฉันเคยไปที่ร้านหนังสือนั่น เห็นหนังสือวรรณกรรมจากนักเขียนชาติอื่นๆ  พิมพ์โดยสนพ. City Lights วางขายอยู่เยอะพอสมควร
 
ปัจจุบันยังเขียนหนังสืออยู่ไหม 
        ยังเขียนอยู่นะคะ แต่น้อยลง เพราะมีโลกใบอื่นเข้ามาให้เล่นสนุก ส่วนมาก จะเขียนก็ต่อเมื่อมีงานเข้ามา อย่างมีคนขอให้เขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ เอาไปลงนิตยสาร ก็เขียนให้ คือ ต้องมีใบสั่งน่ะค่ะ หรือไม่ก็ไปเจออะไรแปลกๆ ในอเมริกา ก็เอามาเขียนเล่าในบล็อค 
 
         เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เขียนบทความร่วมกับสามีเป็นภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับโครงการในหลวงค่ะ มีบริษัท IT World ในอเมริกา ซึ่งสามีเขียนคอลัมน์ให้เป็นประจำติดต่อมาให้เขียน แล้วสามีมาปรึกษาว่า เขียนเกี่ยวกับอะไรดีที่เป็นด้านเทคโนโลยี  เลยนึกถึงโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมของในหลวงขึ้นมาได้ เลยชงเรื่องให้สามี หาข้อมูล นั่งอธิบายประเด็นให้เกิดความชัดเจน แล้วติดต่อประสานงานระหว่างประเทศให้  พร้อมทั้งนัดสัมภาษณ์ คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย จนเรียบร้อย เมื่อเราเดินทางมาไทยเมื่อต้นปี เลยช่วยกันทำบทความชิ้นนี้ให้บริษัท และถวายบทความนี้แด่ในหลวงเป็นพระราชกุศล พร้อมสมทบเงินค่าเรื่องส่วนหนึ่งเข้าโครงการบางโครงการของพระองค์ท่านด้วย  บทความชิ้นนี้ สามีเขียนเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ดิฉันเขียนนิดหน่อยในส่วนข้อมูลดิบ เพราะยังไงภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา ความจัดเจนทางภาษาย่อมสู้เจ้าของภาษาไม่ได้แน่นอนแล้วสามีช่วยแก้ไขให้ สนุกค่ะ ที่ได้ทำงานร่วมกัน ได้ฝึกภาษา และได้โปรโมทเรื่องดีๆ ของในหลวงและเมืองไทยไปในตัว 
 
 
 
 งานอดิเรกยามว่าง
 
              หัดทำกับข้าวแปลกๆ ค่ะ ลองทำดู  หาสูตรทางอินเตอร์เน็ต ลองไปเรื่อยๆ  เพิ่งลองทำไก่ต้มเป๊ปซี่ไป แปลกแต่อร่อยดี นอกจากทำกับข้าวแล้วก็อ่านหนังสือ แปลหนังสือ (อย่างน้อยก็พยายามแปล) แล้วก็สะสมโปสการ์ด เวลาไปเที่ยวหรือเพื่อนไปที่ไหนมานี่ ก็จะส่งโปสการ์ดมาให้ ดิฉันก็ส่งโปสการ์ดจากที่ต่างๆ ส่งไปให้เพื่อน แลกกัน
 
 
ในฐานะที่ใช้ชีวิตคู่อยู่กับนักเขียนชาวต่างชาติ ช่วยแสดงความคิดเห็นเรื่องความแตกต่างระหว่างนักเขียนไทยและฝรั่ง
 
 
 
     สำหรับนักเขียนไทยแล้ว การเขียนหนังสืออย่างเดียวเพื่อเลี้ยงชีพนี่ ยังค่อนข้างลำบากอยู่ ถึงจะมีชื่อเสียงก็เถอะ  หนทางนี้ยังแคบอยู่สำหรับนักเขียนบ้านเรา  นักเขียนไทยส่วนมากจึงต้องมีงานหลักอย่างอื่นด้วย  แต่ในส่วนของนักเขียนฝรั่งนั้น การเขียนหนังสืออย่างเดียวสามารถหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างสบายๆ สามีดิฉันทำงานที่บ้าน แต่เป็นเวลา คือ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงหกโมงเย็น อาบน้ำแต่งตัวอย่างดีเลย มานั่งเขียนหนังสือที่โต๊ะทำงาน มีวินัยในตัวเองมาก ไม่เหมือนดิฉัน (หัวเราะ)  แต่อาชีพนักเขียนที่อเมริกานั้นหมายความว่า คุณต้องมีชื่อเสียงและฝีมือในระดับหนึ่ง หากคุณเป็นนักอยากเขียนที่ยังไม่ได้รับการยอมรับทางมาตรฐานทาง 
วรรณกรรมของที่นี่  ก็ไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้เช่นกันค่ะ ต้องผ่านการทำงานหนัก ผ่านการยอมรับจากแวดวง มีผลงานตีพิมพ์เป็นที่ยอมรับในวงกว้างมาแล้ว จากนั้น งานก็จะเข้ามาเอง
 แต่ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนไทยหรือนักเขียนฝรั่ง อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ คุณจะต้องก้าวจากความเป็น "นักอยากเขียน" มาเป็น "นักเขียน" ตัวจริงให้ได้ด้วยการพิสูจน์ตนเองจากการเคี่ยวกรำตัวตนให้เป็นที่ยอมรับ
 
ความคิดเห็นเรื่องสื่ออินเตอร์เน็ตกับงานเขียนของคนรุ่นใหม่ 
         
ตอนนี้ การโพสต์งานทางหน้าอินเตอร์เน็ตเป็นกระแสที่มาแรง เป็นไปตามแรงขับเคลื่อนของคนในสังคม ซึ่งสังคมอินเตอร์เน็ตเป็นสังคมของชนชั้นกลางและคนรุ่นใหม่  เด็กรุ่นใหม่เติบโตมากับคอมพิวเตอร์  คนรุ่นนี้ต้องการจะสื่อออกมาให้โดนใจ จึงใช้ภาษาที่แตกต่างจากงานเขียนแนวขนบ อีกทั้งเด็กรุ่นใหม่รู้จักอินเตอร์เน็ตมากกว่าคนรุ่นก่อน การจะสื่องานเขียนออกมาด้วยวิธีโพสต์นั้นง่าย และเร็วกว่าการรอ บ.ก.พิจารณางาน ข้อดีคือ มีงานออกมาเสนอคนอ่านได้อย่างไม่มีข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น  ข้อเสียคือ  ผลงานแต่ละชิ้นจะไม่มีคนที่รู้มากกว่า หรือจัดเจนทางงานวรรณกรรมคอยแนะนำ และไม่มีประสบการณ์ในการขัดเกลา เพราะการโพสต์งานในอินเตอร์เน็ตต้องเขียนให้สั้น หวือหวา และเรียกร้องความสนใจเพื่อเรียกคนอ่าน  จากจุดนี้ ทำให้ดิฉันมองว่า เด็กปัจจุบันไม่มีความอดทนในการรอคอยเท่าไหร่
 
       การเขียนงานตามบล็อคถือเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง เป็นทางเลือกหนึ่ง จะเขียนดี เขียนเลว นั่นอีกเรื่อง แต่คนที่โพสต์งานทางอินเตอร์เน็ตต้องไม่หลงกับคำชมและจำนวนคอมเมนต์ เพราะนั่นคือ ภาพลวง คือมายาทางอินเตอร์เน็ต  คนเขียนบล็อคที่มีจำนวนคอมเมนต์เยอะๆ หรือคนมาคลิกดูมากๆ  ผลงานอาจจะไม่ได้ดีเด่นจริงๆ ก็ได้ หากแต่เป็นไปตามระบบ"คอมเมนต์ตอบแทน" ฉันไปคอมเมนต์บล็อคเธอ เธอมาคอมเมนต์บล็อคฉันนะ  แล้วก็ยอกันไปมา คล้ายๆ กับเป็นมารยาทในสังคมโลกเสมือน
 
          อย่าหลงเสียงชื่นชมจากคอมเมนต์หรือจำนวนผู้ชม ถ้าคุณหลงตรงนั้นแล้วไม่พัฒนาตัวเอง เท่ากับว่า คุณฆ่าตัวตายทันที เพราะไม่ได้มีอะไรการันตีชัดเจนเลยว่า งานของคุณดีจนสามารถแจ้งเกิดในวงวรรณกรรมได้ อย่าหลงติดกับดักมายาแห่งโลกเสมือนอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้คุณขาดความเจริญเติบโตในจิตวิญญาณภายในและทางงานเขียน เพราะอัตตาจะแผ่ขยายอย่างช้าๆ จนเต็มพื้นที่ใจ และจะทำให้คุณไม่เติบโตและตีบตันในการสร้างงานวรรณกรรม
 
 
คิดว่าการมีบ.ก.สำหรับหนังสือเล่ม สำคัญแค่ไหน
            ดิฉันเติบโตมากับระบบสำนักพิมพ์และการบรรณาธิการ  ไม่คุ้นชินเท่าไหร่กับระบบหนังสือทำมือ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ไม่เห็นด้วยกับการทำหนังสือทำมือ  หนังสือทำมือถือเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้ตลาดหนังสือมีความหลากหลาย เป็นสีสัน เป็นความงามอีกแง่ของโลกวรรณกรรม   แต่ดิฉันยังเชื่อมั่นในระบบบรรณาธิการ เพราะระบบนี้ นอกจากจะมีคนมาคอยชี้แนะและขัดเกลาแล้ว โดยตัวระบบเองสอนให้เรารู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อคนเขียนหนังสือรุ่นก่อนหน้าเรา และทำให้เรารู้จักการรอคอย   &