หลู่ซวิ่นยังไม่ตาย

"จีนในยุคของหลู่ซวิ่นถูกเรียกขานอย่างเย้ยหยันว่า คนป่วยแห่งเอเชีย แต่รุ่นต่อมาของคนป่วยได้สร้างจีนขึ้นมาใหม่จากเถ้าถ่านของสงครามกลางเมือง ไทย ในยุคของเราอาจกำลังอ้าแขนรับฉายานามนั้นอย่างไม่รู้ตัว"
ชาวโลกรู้จักตัวตนของอดีตนักเรียนแพทย์ โจวซู่เหริน ในนามปากกาของนักเขียนผู้ยิ่งยง หลู่ซวิ่น
และชาวโลกรู้จักชื่อของหลู่ซวิ่นจากตัวละครที่โด่งดังที่สุดจากปลายปากกาของเขา นั่นคือ อาคิว ตัวเอกของเรื่องราวแห่งความอยุติธรรมขมขื่นทุกรูปแบบ
ด้วยชีวิตของ อาคิว และตัวละครอีกหลายสิบตัวบนหน้ากระดาษ หลู่ซวิ่นได้เปิดเผยเนื้อแท้อันเหลวแหลกของประเทศจีนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ประเทศจีนที่เคยยิ่งใหญ่ได้ล้มพังพาบลงอย่างสิ้นเชิง แผ่นดินถูกแบ่งออกเป็นฝั่งฝ่ายด้วยความกระหายอำนาจของคนจีนด้วยกัน และความกระหายในอิทธิพลของผู้รุกรานจากต่างแดน
แต่ไม่มีอะไรที่จะกัดกร่อนประเทศหนึ่งๆ ใด นอกเสียจากความเหลวแหลกในจิตวิญญาณของมนุษย์
“บันทึกของคนวิกลจริต” (ควงเหริน ยึจี) เรื่องสั้นเรื่องแรกของหลู่ซวิ่น สะท้อนให้เห็นถึงแผ่นดินที่สิ้นหวัง ผ่านเรื่องราวของชายหนุ่มที่เพ้อคลั่ง มองเห็นโลกที่คุ้นเคย เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นโลกที่มนุษย์หันมาเสพเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง
เรื่องราวนี้ไม่เพียงสะท้อนยุคสมัยหนึ่งที่จีนต้องเผชิญกับความแร้นแค้นจนถึงขั้นต้องประทังชีวิตด้วยเนื้อหนังของเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ยังสะท้อนถึงการพยายามเอาชีวิตรอดอย่างสิ้นหวัง ในยุคสมัยที่ผู้คนแทบไม่เหลือความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน
แต่หลู่ซวิ่นไม่ได้มอบความสิ้นหวังในสารที่เขาส่งผ่านมาทางเรื่องราวเหล่านี้
ตรงกันข้าม การเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของสังคมที่โทรมทรุด กลับไม่ต่างกับแพทย์ที่วินิจฉัยโรคได้อย่างตรงจุด หลู่ซวิ่น นักเขียน กวี และผู้สื่อข่าว คือแพทย์ที่ปราศจากหูฟังสเตโทสโคป แต่เป็นผู้เยียวยาจิตวิญญาณผ่านความจริงและความคิดอ่านของมวลชน
จิตวิญญาณของหลู่ซวิ่นไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับตัวเขา แต่เป็นสิ่งที่ตกผลึกจากประสบการณ์อันปวดร้าว ที่เห็นคนในชาติกำลังกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา
โจวซู่เหริน ในช่วงวัยก่อนการน้อมรับนามปากกา หลู่ซวิ่น ถือกำเนิดในครอบครัวที่ร่ำรวยด้วยโอกาสทางการศึกษา แต่ด้อยโอกาสด้วยความมั่งคั่ง ในอารัมภบทของหนังสือรวมเรื่องสั้น Call to Arms หลู่ซวิ่นเปิดเผยถึงมูลเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งเริ่มสั่งสมปณิธานอันแรงกล้า สิ่งนั้นคือการเทียวไปเทียวมาระหว่างสถานที่ 2 แห่ง นั่นคือ โรงรับจำนำและร้านขายยา โรงรับจำนำคือความจำเป็นของชีวิตที่ยากไร้ ขณะที่ร้านขายยาแผนโบราณคือสถานที่ต่ออายุบิดาที่ป่วยกระเสาะกระแสะ
แต่ร้านขายยาแผนโบราณไม่อาจยื้อชีวิตบิดาได้นานนัก แม้เจ้าของร้านจะพยายามเจียดตัวยาที่ดีที่สุดอย่าง “รากว่านหางจระเข้ที่ขุดในฤดูหนาว ลำอ้อยที่ยืนต้นแช่ในความหนาวเหน็บยาวนาน 3 ปี จิ้งหรีดคู่ ฯลฯ”
ความล้าหลังของระบบการรักษานี่เองที่โจวซู่เหรินพยายามเข้าใจกับตัวเองว่า การจะเปลี่ยนแปลงประเทศต้องเริ่มจากการรักษาเยียวยาสุขภาพที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นสามารถพลิกโฉมในเวลาชั่วพริบตา ด้วยการรับแนวการรักษาแบบตะวันตกพร้อมๆ กับการปฏิรูป ระบอบการเมืองครั้งใหญ่
หน้าที่อย่างหนึ่งของการเป็นแพทย์คือการเป็นกระบอกเสียงของวิทยา ศาสตร์และชำระล้างความงมงาย
โจวซู่เหรินมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยแพทย์แห่งเมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในขณะนี้ไม่เพียงอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าจีนในทุกด้าน แต่ยังถือเป็น “ชาติตะวันตก” ในดินแดนด้อยพัฒนาของแดนตะวันออก
แต่แล้วที่เซนไดนี่เองที่โจวซู่เหรินตระหนักได้ว่า การักษาสุขภาพประชาชนเพื่อเป็นรากฐานของประเทศที่แข็งแกร่ง เป็นสิ่งที่ไม่เพียงพอเสียแล้ว ในอารัมภบทของ Call to Arms อันโด่งดัง เจ้าของนามปากกาหลู่ซวิ่นบันทึกไว้ว่า
“เรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น เราจึงมีภาพถ่ายเกี่ยวกับสงครามเป็นจำนวนมากมานำแสดง ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คอยตบมือและส่งเสียงร้องชื่นชมร่วมกับนักเรียนคนอื่นๆ ในห้องบรรยายเวลามีการแสดงภาพเหล่านั้น เวลานั้นนานมากแล้วที่ผมไม่ได้พบหน้าเพื่อนร่วมชาติ แต่วันหนึ่งสิ่งที่ผมเห็นคือชาวจีนในภาพถ่าย มีคนหนึ่งถูก|พันธนาการ ขณะที่คนจีนที่เหลือยืนมองด้วยสีหน้าเฉยเมย พวกเขาคือชาวจีนที่ดูแข็งแรงกำยำ แต่กลับแลดูไร้จิตวิญญาณอย่างสิ้นเชิง จากคำบรรยายภาพทำให้ทราบว่า ชายที่ถูกมัดเป็นสายลับให้กับฝ่ายรัสเซีย และกำลังจะถูกทหารญี่ปุ่นตัดศีรษะเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู ขณะที่ชาวจีนโดยรอบกำลังเฝ้าชมด้วยอารมณ์แช่มชื่น”
สำหรับหลู่ซวิ่นและมนุษย์ที่มีสติปัญญาครบถ้วน ไม่มีอะไรเจ็บปวดใจเท่ากับการเห็นคนชาติเดียวกันเอง ชื่นชมการฆ่าฟันคนเชื้อชาติเดียวกันเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดจึงเป็นการรักษาความไม่รู้ของประชาชน และการรักษานี้ใช้ตัวยาที่ชื่อว่าความรู้ และความรู้ที่จะเผยแพร่ได้เร็วที่สุดต้องผ่านการร้อยเรียงเรื่องราวผ่านตัวอักษร-วรรณกรรม
หลู่ซวิ่น ประสบความสำเร็จกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้หรือไม่นั้น ความยิ่งใหญ่และเป็นเอกภาพของจีนย่อมเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
ในความคิดของหลายคน แม้ เหมาเจ๋อตง จะเป็นผู้สถาปนาเสาหลักแห่งประเทศจีนยุคใหม่ แต่คือ หลู่ซวิ่น ที่สถาปนาจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เพื่อสลัดตัวเองจากความกักขฬะแห่งยุคสมัย
วันนี้ ตัวตนของหลู่ซวิ่นย่อมสูญสิ้นไปแล้วนับทศวรรษ แต่สิ่งที่ยังไม่เสื่อมสลายไปจากโลกใบนี้คือจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของนักเขียนผู้ธำรงความยุติธรรม มนุษยธรรม และเยียวยาประเทศที่แตกสลายด้วยตัวอักษรจากปลายปากกา ในห้วงเวลาที่แผ่นดินกำลังลุกเป็นไฟ และประชาชนอ่อนล้าลำเค็ญจากการกดขี่รอบด้าน
จีนในยุคของหลู่ซวิ่นถูกเรียกขานอย่างเย้ยหยันว่า คนป่วยแห่งเอเชีย
แต่หลู่ซวิ่นกลับไม่ท้อแท้แต่กลับแสวงหาความหวังอย่างไม่ระย่นระย่อ เหมือนกับบางบรรทัดสุดท้ายของ “บันทึกของคนวิกลจริต” ที่คล้ายจะบอกถึงแสงสว่างในตอนท้ายของเรื่องราวอันมืดมิดของมนุษยชาติ
“บางทีอาจยังมีเด็กๆ ที่ยังไม่เคยกินเนื้อมนุษย์ เราต้องช่วยกันปกป้องเด็กๆ”
จีนในยุคของหลู่ซวิ่นถูกเรียกขานอย่างเย้ยหยันว่า คนป่วยแห่งเอเชีย แต่รุ่นต่อมาของคนป่วยได้สร้างจีนขึ้นมาใหม่จากเถ้าถ่านของสงครามกลางเมือง
ไทย ในยุคของเราอาจกำลังอ้าแขนรับฉายานามนั้นอย่างไม่รู้ตัว
แต่เราจะไม่มีวันสูญสิ้นจิตวิญญาณของหลู่ซวิ่น
ใช่หรือไม่?
โดย…กรกิจ ดิษฐาน
23 พฤษภาคม 2553
ธรรมะ-จิตใจ » กาง วง เล่า >