Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

หนึ่งปีแรก!

 

 
-1-
 
ค่ำคืนบนถนนพระอาทิตย์นั้น ดูเหมือนแสงไฟจะทำหน้าที่แทนแสงจันทร์
 
ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะชื่อ “ถนนพระอาทิตย์” ของมันจะกีดกันไม่ให้พระจันทร์มาปรากฏ พระจันทร์ยังคงอยู่ตามวิสัย แต่แสงไฟจากร้านรวงต่างหากเล่าที่เย้ายวนจนคนกลางคืนมากมายไม่อยากแม้จะแหงนขึ้นไปมอง
 
คืนแรกของการนอนในร้านหนังสือผ่านไปแล้ว
 
ผ่านไปด้วยการใช้เวลาส่วนใหญ่ลืมตาอยู่กลางแสงไฟที่สาดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา คิดๆไปแล้วนี่ก็ดูจะเป็นคืนที่ฟุ้งซ่านเสียสิ้นดี หนุ่มสาวสองคนจากไหนก็ไม่รู้กำลังจะทำร้านหนังสือ ในความรู้สึกนั้นแม้จะตื่นเต้นดีใจแต่เอาเข้าจริงก็กลับสัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นที่ซ่อนอยู่ ในค่ำคืนของความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เหมือนว่าอนาคตจะนั่งลงแล้วก็ตั้งคำถามกับปัจจุบันขึ้นมาอีก 
 
มันเฝ้าถามปัจจุบันว่า “ถ้าไปไม่รอดจะทำไง ใครๆเขาก็รู้ว่าร้านหนังสือนั้นอยู่ยาก ไม่เสียดายเงิน ไม่กลัวเสียเวลาหรือ  ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ดีกว่านี้แล้วหรือไง?”
 
ซึ่งปัจจุบันก็เพียรตอบไปว่า “อย่าเลย! อย่าคิดอย่างนั้น อยู่ได้ไม่ได้มันก็ขึ้นอยู่กับนายนั่นแหละ นึกถึงสิ่งต่างๆในอดีตที่พยายามทำจนสำเร็จซิ นึกถึงสิ่งที่สามารถทำได้ทั้งสมัยที่ยังเป็นเด็กและตอนที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เห็นไหมว่าทำอะไรได้มาแล้วตั้งหลายอย่าง หากนี่เป็นสิ่งที่ต้องการก็ทำเลย ทำมันตอนนี้เลยจะได้ไม่ติดค้าง…นอนเสียเถอะพรุ่งนี้ยังมีอะไรต้องทำ”
 
 
 
-2-
 
ร้านหนังสือเดินทางนั้นเปิดวันแรกเมื่อ 4 มกราคม 2545
 
วันแรกที่เปิดยังมีหนังสืออยู่น้อยมาก บนชั้นมีที่ว่างเหลืออยู่เป็นช่องๆจนดูไม่ต่างกับคนฟันหลอ หน้าร้านด้านนอกเองก็เตียนโล่ง โต๊ะกลมตัวหนึ่งวางอยู่โดดเดี่ยว แผงโปสการ์ดไม่มีเลยแม้สักอัน นี่ยังไม่นับว่าฝาผนังบนชั้นสองนั้นก็โล่งสะอาดเสียจนปราศจากความรู้สึก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้รวมกันแล้วก็ไม่ใช่อะไรเลย นอกจากบอกให้รู้ว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ
 
การไปให้ถึงความสมบูรณ์นั้นชัดเจนแล้วว่ายังจะต้องลงแรง ทว่าถึงตอนนี้มันก็ควรเปิดได้แล้ว  เปิดไปก่อนแล้วเรียนรู้เอากับความจริงบนถนนพระอาทิตย์ ส่วนจะเปิดไปรู้จักกับแง่มุมชีวิตทั้งของตัวเอง  ของกันและกัน และของผู้คนที่กำลังจะเดินเข้ามาในร้านด้วยหรือยังนั้น เกี่ยวกับตรงนี้ วันนั้นมันอาจยังดูไกลเกิน
 
วันแรกที่ร้านหนังสือเดินทางเปิด เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ขี้เหล่เสียทีเดียว               
 
ทั้งที่ตระหนักอยู่ถึงเงื่อนไขข้างต้น ทว่าเมื่อเปิดจริง มีคนเดินเข้ามาในร้านจริงก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ อาจเพราะยังใหม่และสดอยู่มันจึงดูดีไปหมดดอกไม้นั้นคล้ายจะบานอยู่ในหัวใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ปีแรกก็เลยพอมีเรื่องดีๆให้นึกถึง ไม่มาก… แต่อย่างน้อยก็มี
 
ตอนที่หนังสือเล่มแรกถูกขายไปนั่นปะไรที่ทำให้ใจของคนทำเต้นไม่เป็นส่ำ  
 
ปีแรกที่เปิดร้านเป็นปีที่หนุ่มและโยยังทำงานประจำกันอยู่ทั้งคู่ ทว่าโชคดีอย่างหนึ่งก็คือสถานทูตแห่งหนึ่งซึ่งโยทำงานอยู่อนุญาตให้เธอลาหยุดได้หนึ่งเดือนเพื่อมาเฝ้าร้านโดยเฉพาะ วันแรกที่ร้านเปิดโยเลยอยู่คนเดียว และแน่นอนนี่ก็ทำให้เธอผ่านช่วงเวลาในการขายหนังสือเล่มแรกให้กับลูกค้าคนแรกของร้านไปเพียงคนเดียว ซึ่งผลก็คือมันทำให้เธอตื่นเต้นจนเก็บไว้ไม่ไหว
 
“ฮัลโหล! หนุ่มเหรอ?” ตอนที่ขายหนังสือเล่มแรกได้นั้นปรากฏว่าเธอรีบโทรไปหาหนุ่มในทันที
 
“มีคนซื้อหนังสือจริงๆ มีคนซื้อหนังสือจริงๆด้วย นี่! ได้ตั้ง 400 กว่าบาทแน่ะ” โยว่า ถ้อยคำที่ละล่ำละลักผ่านสายโทรศัพท์แสดงออกชัดว่าเธอแสนจะดีใจ ตอนที่ได้ยินนั้นมันพลอยทำให้หนุ่มตื่นเต้นไปเหมือนกัน ซึ่งมันก็ควรอยู่ เหตุเพราะหากไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่จะมีคนต้อนรับหรือเปล่าก็ไม่รู้จะมีอะไรน่ายินดีกว่านี้อีก วันที่เปิดร้านวันแรกยอดขายทั้งหมดอยู่ที่ 1,143 บาทโดยที่เมื่อคิดหากำไร 25%แล้วก็ได้เพียง 285.75 บาทเท่านั้น น้อยมาก…หากนึกถึงว่าต้นทุนในการทำร้านต่อเดือนอยู่ที่หลักครึ่งแสน แต่ก็เอาเถอะ! มองในแง่ดีอย่างน้อยวันนี้ก็มีสิ่งยืนยันแล้วว่าหนังสือนั้นขายได้
 
แล้ววันแรกก็ผ่านไป
 
ผ่านไปด้วยใจที่ฮึกเหิมของคนทำ เมื่อใกล้ครบเดือนก็ปรากฏว่ามีเรื่องให้ตื่นเต้นอีก
 
สายวันหนึ่งร้านหนังสือเดินทางถูกสัมภาษณ์สดออกรายการวิทยุที่เกี่ยวกับหนังสือ เหตุที่ไปโผล่ในรายการเขาได้นั้นคงเป็นเพราะขณะนั้นหนุ่มกับโยกำลังอยู่ในช่วงของการหาหนังสือเข้าร้านซึ่งหนึ่งในกระบวนการดังกล่าวก็คือการติดต่อกับสายส่ง คุยกับสายส่งหนังสือหนึ่งครั้งก็ต้องอธิบายตัวเองหนึ่งครั้งว่ามาจากไหนและกำลังคิดฝันถึงสิ่งใด บางถ้อยคำคงไปกระตุกต่อมสนใจของผู้ดำเนินรายการรายการดังกล่าวเข้าเหตุเพราะเขาก็เป็นคนที่มีความรู้เรื่องหนังสือดีมากทั้งยังมีความใกล้ชิดกับสายส่งแห่งหนึ่งอยู่
 
ประเด็นคือรายการดังกล่าวนำมาซึ่งเรื่องราวไม่น้อยเลย
 
โดยตัวมันเองการที่จู่ๆก็ไปปรากฏในรายการวิทยุนั้นถือเป็นเรื่องไม่คาดคิดอยู่แล้ว การที่ผู้ดำเนินรายการอารมณ์ดี(จิตรกร บุษบา) กลายมาเป็นลูกค้าประจำคนหนึ่ง ทั้งยังเขียนถึงเล่าถึงและมาร่วมเมื่อร้านมีกิจกรรมในทีหลังก็เป็นอีกสิ่งที่น่าจดจำ ทว่าสิ่งหนึ่งที่เหนือความคาดหมายมากหลังจากรายการดังกล่าวออกอากาศก็เห็นจะเป็นการปรากฏตัวของผู้ชายคนหนึ่ง
 
เสาร์หนึ่ง มีพี่ผู้ชายวัยกลางคน ผิวขาว รูปร่างผอมบางเดินเข้ามาในร้านพร้อมของพะรุงพะรัง
 
“คุณหนุ่มอยู่ไหม?”  มาถึง ยังไม่ทันวางสัมภาระลง แกก็เอ่ยถาม
 
“ครับ! มีอะไรหรือเปล่าพี่?” หนุ่มตอบ น้ำเสียงนั้นออกจะแปลกใจ
 
“อ๋อ! ผมมาจากมหาชัย วันก่อนผมฟังคุณหนุ่มในวิทยุแล้วประทับใจเลยเอาของมาฟาก” แกว่า  พูดจบก็ยื่นน้ำอัญชัน น้ำว่านหางจรเข้ และน้ำสมุนไพรอะไรอีกก็ไม่รู้ที่แกหิ้วมาด้วยให้กับหนุ่มหนึ่งถุงใหญ่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งหนุ่มทั้งโยและใครอีกคนสองคนซึ่งอยู่ในเหตุการณ์พอดีถึงกับอึ้งกันไปทั้งร้าน  จากนั้นจึงค่อยๆฉีกยิ้มบานแฉ่ง
 
ดี! ดีมาก…ช่วงแรกที่ร้านหนังสือเดินทางเปิดนั้นพูดได้ว่าสถานการณ์เป็นใจมาก
 
แม้แต่ชื่อร้านเองก็ไม่เว้น คำว่า “หนังสือเดินทาง” สร้างความมึนงงให้กับผู้คนตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้วก็ว่าได้ ความหมายของมันทำให้ทั้งไทยและเทศมากมายสับสนจนเกิดเหตุการณ์ทำนองอำกันเล่นอยู่เป็นระยะ วันหนึ่งอยู่ดีๆก็มีหนุ่มผมบรอนด์หิ้วเซิร์ฟบอร์ดพรวดเข้ามาในร้านแล้วถามขึ้นว่า “จะต่ออายุพาสปอร์ตและทำวีซ่าใหม่คิดเท่าไหร่?”
 
บางวันเช็ดกระจกอยู่ก็มีผู้ชายบางคนหยุดถาม “เอ!น้อง ที่นี้รับทำพาสปอร์ตเหรอ?”
 
ครั้นบอกว่าเป็นเพียงชื่อร้าน แกยังอยากรู้อีก “แล้ววีซ่าหละทำมั้ย?”
 
บางครั้งก็เป็นทีของคุณป้า วันหนึ่งคุณป้าคนหนึ่งเดินอาดๆเข้ามาในร้านอย่างกับคนผ่านโลกมาเยอะ พอมาถึงเคาเตอร์แกก็เอ่ยคำที่เริ่มจะคุ้นเคย “ที่นี้รับทำวีซ่าด้วยหรือเปล่า?”
 
คำตอบที่เธอได้รับคือ “ไม่” แต่ด้วยอารมณ์อยากช่วยวันนั้นเลยมีการถามกลับ “ป้าจะไปไหนคะ?”
 
“ไปแคนาดา” เธอบอก
 
“งั้นก็ต้องไปที่สถานทูตแคนาดา” ใครคนหนึ่งแนะ
 
“รู้! ฉันรู้ เพียงแต่ฉันกลัวจะมีปัญหา ฉันนั้นโอเคเพราะลูกสาวอยู่ที่นั้น แต่ของหลานกลัวว่าจะไม่ผ่านเลยอยากหาทางซิกแซ็กดู ที่เข้ามาถามเพราะคิดว่าคุณน่าจะรู้” แกให้เหตุผล เมื่อแกยืนยันอย่างนี้ก็คงต้องยอมเพราะป้าแกดูจะผ่านโลกมาเยอะจริง
 
จะว่าบาปก็คงบาปอยู่ แต่การตั้งชื่อให้แปลความหมายได้มากกว่าหนึ่งนั้นดูจะเป็นวิธีเรียกคนเข้าร้านที่ดีมากทีเดียว แม้เมื่อร้านเปิดไปหลายปีแล้วก็เถอะ ทุกวันนี้ยังมีคำถามแปลกๆดังมาทางโทรศัพท์
 
“ฮัลโหล! ร้านพาสปอร์ตบุ๊คช๊อปใช่ไหมครับ? เนี๊ยะวันก่อนผมเพิ่งดูในทีวี เอ!..ว่าแต่ว่าร้านคุณมีพลาสติกที่ใช้หุ้มพาสปอร์ตหรือเปล่า?” อย่างเบาๆก็ประมาณนี้
 
หนักหน่อยก็ไปไกลถึง “ฮัลโหล ใช่กรมหนังสือเดินทางหรือเปล่า?”
 
หรือไม่ก็ “สวัสดีค่ะ…ใช่กงสุลหรือเปล่าคะ?” กับคำถามประเภทนี้นั้นว่ากันตามตรงทุกครั้งที่ได้ยินถือเป็นเรื่องยากมากที่จะเฉยอยู่ได้ เล่าให้ใครฟังเขาก็ยิ้ม ใครรู้เข้าเขาก็ขำ ขำให้กับความอลหม่านน้อยๆที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ปีแรกที่เปิดร้านหนุ่มกับโยหัวเราะให้กับมันอยู่หลายวันเหมือนกันเพียงแต่เมื่อสามสี่เดือนผ่านก็ไม่ค่อยสนุกกับมุขนี้แล้ว
 
เหตุเพราะสิ่งที่พวกเขาต้องเจอหลังจากนั้นหาได้มีแต่รอยยิ้มเพียงอย่างเดียว
 
 
 
-3-
 
เมื่อเปิดร้านจริงปรากฏว่ามันมีความจริงสองสามอย่างให้ต้องคิด
 
ความจริงเหล่านั้นคือสิ่งใดหรือ?
 
หนึ่ง ในเมื่อคุณเป็นแค่คนเดินถนนธรรมดาๆคนหนึ่งที่วันหนึ่งอยากทำร้านหนังสือ แล้วคุณเอาหนังสือจากไหนมาขาย?
 
สอง คุณเคยมองมันชัดเจนหรือไม่ว่าเมื่อมีร้านจริงชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปเช่นไร?
 
สาม เมื่อก่อนอาจไม่รู้ แต่ตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าร้านหนังสือนั้นมีเงื่อนไขมากมายที่เราไม่สามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง เงื่อนไขสัญญาเช่าเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำตาม กรรมวิธีการเอาหนังสือมาขายตลอดจนกำไรที่ร้านควรจะได้ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกระบบหนังสือซึ่งมีสำนักพิมพ์และร้านหนังสือใหญ่โตทั้งหลายเป็นผู้เล่นกำหนดไว้ก่อน ซึ่งนี่หมายความว่าเราจำต้องเล่นตามกติกาของคนอื่น ในแง่นี้เราจะจัดการเงื่อนไขดังกล่าวอย่างไร? เราจะเอาความจริงทั้งสามผสมกันและหาความลงตัวให้กับมันได้อย่างไร?
 
เมื่อเปิดร้านแล้วนั้น ความจริงข้างต้นไม่รอช้าเลยที่จะเผยตัวมันออกมา
 
อย่างต่อเนื่อง มั่นคง และไม่ปล่อยให้ตั้งตัวนาน เมื่อวันแรกของปีแรกผ่านไปแม้ความมุ่งมั่นตั้งใจยังมีอยู่เป็นล้นพ้นทว่าในขั้นตอนของการทำให้เป็นร้านหนังสืออย่างที่หวัง  ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้เอาจากการลงมือปฏิบัติจริงโดยแท้  หนุ่มกับโยเริ่มรู้สึกถึงสัญญาณหลายอย่างที่บอกว่ามันไม่ง่าย  หนำซ้ำสัญญาณเหล่านั้นยังเป็นสิ่งที่รอเฉยอยู่ไม่ได้
 
ร้านหนังสือนั้นจำเป็นต้องมีหนังสือ และในเมื่อประเทศนี้มีร้านหนังสืออยู่แล้วมากมายกลายเป็นว่าการเปิดร้านปีแรกของร้านหนังสือน้องใหม่นั้นหมดไปกับการทำความรู้จักกับระบบหนังสือและหาวิธีรับมือกับมันเป็นหลัก
 
ในกระบวนการดังกล่าว ก่อนที่ร้านหนังสือเดินทางจะเปิดอันที่จริงก็ได้มีการพยายามทำความเข้าใจและคิดหาวิธีสอดแทรกตัวเองเข้าไปในเงื่อนไขที่ว่ากันมาแล้วระดับหนึ่ง
 
การที่ตั้งชื่อว่า “หนังสือเดินทาง” ว่ากันตามตรงมีที่มาที่ไปมากกว่าแค่ตั้งใจให้ผู้คนสนเท่ห์กับชื่อร้านไปอย่างนั้น
 
“หนังสือเดินทาง” หนังสือเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยว หนังสือมันเดินทางได้ หรือการนั่งอ่านหนังสืออยู่กับที่แล้วเดินทางไปในโลกของตัวอักษรนี่คือความหมายที่มุ่งหวัง
 
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ?
 
เหตุผลนั้นมีหลายอย่าง ในแง่ของคนทำหนุ่มกับโยคิดว่าหากจะทำร้านหนังสือก็ควรทำร้านหนังสือในแนวที่ตนถนัด ในเมื่อพวกเขาชอบเดินทางท่องเที่ยวอยู่เป็นทุนจะให้ขายคู่มือคอมพิวเตอร์ หรือตำราแพทย์คงไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นหนังสือเดินทางที่พวกเขาให้ความหมายก็ใช่จะน้อยเสียที่ไหน เรื่องสั้น วรรณกรรมดีๆที่อ่านแล้วอยากเดินทางไกล ตลอดจนหนังสือเชิงความคิด ปรัชญา ศาสนาที่กระตุ้นให้คนครุ่นคิดถึงชีวิตที่มีความหมายก็เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางภายในที่พวกเขานิยาม ถ้าสามารถรวบรวมหนังสือในลักษณะนี้มาไว้ในที่เดียวกันมากๆได้ก็คงไม่เลว นี่คือสิ่งที่พวกเขามองจากมุมส่วนตัว
 
ในภาพรวมของธุรกิจหนังสือพวกเขาก็ใคร่ครวญถึงมันเช่นกัน
 
หนุ่มนั้นโชคดีหน่อยตรงที่ตั้งแต่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านเขาก็คลายเหงาด้วยการเดินเข้าร้านหนังสือมาตลอด ในฐานะนักอ่านคนหนึ่งเขาจึงพอตระหนักอยู่ว่าประเทศนี้มีร้านหนังสืออยู่แล้วมากหลายและแต่ละรายก็เป็นยักษ์ใหญ่ที่ร้านหนังสือเดินทางไม่สามารถเอาอะไรไปสู้ได้เลยทั้งนั้น ในแง่นี้พวกเขาจึงคิดว่าการทำร้านเล็กๆแต่เฉพาะทางน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกเหตุเพราะเหมือนว่ายังไม่เคยมีใครทำร้านลักษณะนี้มาก่อน ยิ่งถ้าสามารถสร้างร้านให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างบรรยากาศการเดินทางขึ้นมาให้ได้จริง เมื่อประกอบกับว่าร้านตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ด้วยแล้วมันก็น่าจะไหว เกี่ยวกับตรงนี้นั้นโยเองเคยสรุปไว้ดี เธอว่าหากแข่งกันในปริมาณหนังสือไม่ได้ก็แข่งกันในปริมาณความรู้สึก ซึ่งก็ดูจะเป็นความคิดที่ถูกทีเดียว
 
เพียงแต่ถูกแค่ครึ่งเดียว
 
เหตุที่ถูกเพียงครึ่งเดียวเป็นเพราะเมื่อคิดดูอีกทีกลับพบว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขามองมาจากมุมของตัวเพียงฝ่ายเดียวขณะที่ประเด็นใหญ่ของร้านหนังสือยังอยู่ที่เดิม ซึ่งก็คือร้านหนังสือต้องมีหนังสือและพวกเขาจะเอาหนังสือมาจากไหน ตรงนี้เองที่กลายเป็นข้อบังคับให้ต้องคุยกับคนอื่นและการคุยกับคนอื่นนี่แหละที่มันไม่ง่าย
 
ตอนที่ร้านหนังสือเดินทางเปิดวันแรกนั้นชั้นหนังสือมีที่ว่างเหลืออยู่เป็นช่องๆยังกับคนฟันหลอ และอันที่จริงมันก็หลออยู่อีกตั้งหลายวัน
 
จากวันกลายเป็นเดือน จากเดือนเลยไปถึงเกือบครึ่งปี สำหรับรายละเอียดอื่นๆพอจะกล่าวได้ว่าพวกเขาจัดการมันได้ดีแล้วตั้งแต่วันต้นๆ ระบบบัญชีนั้นโยใช้เวลาที่เธอได้อยู่กับร้านในเดือนแรกคิดค้นมันขึ้นมาทั้งยังได้จัดเมนูชากาแฟให้เข้าที่และทดลองชงจนมั่นใจแล้วว่าดื่มได้ ส่วนในแง่บรรยากาศมิตรผู้พี่ก็ยังอารีเสมอ Smith เอารูปใส่กรอบมาแขวนให้บนชั้นสองหนึ่งชุดทั้งยังเอาโปสการ์ดขาวดำมาให้ขายอีกหนึ่งแผงใหญ่ ส่วนกระบี่ไม่ไผ่ก็บอกให้หนุ่มกับโยรีบไปบ้านเขาเพื่อเอาของมาแต่งร้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้ได้ลูกโลกโบราณมาหนึ่งลูก ได้นกอีมูไม้มาสองตัว ได้ตะขอทองแดง ได้โคมไฟเก่าจากเกาหลีและได้โปสการ์ดจากประเทศต่างๆอีกจำนวนหนึ่งซึ่งต่อมาหนุ่มก็เอาของต่างๆมารวมกันแล้ววางมันไว้ตามมุมต่างๆ โปสการ์ดนั้นเขาขึงเส้นเอ็นกับกรอบประตูแล้วก็เอาไม้หนีบผ้าหนีบมันไว้บนนั้นแม้มันอาจดู Low Cost และ Hand Made อยู่บ้างทว่าก็มีชีวิตชีวาและให้ความรู้สึกเป็นมนุษย์ดี จะมีก็แต่หนังสือนั่นแหละที่จับทุกเล่มโชว์ปกหมดแล้วก็ยังไม่เต็มชั้น แอบเอากล่องนมไปดันข้างหลังแล้วก็ยังดูไม่งาม แล้วจะเป็นร้านหนังสืออยู่ได้อย่างไรหากไม่มีหนังสือ
 
ล้อเล่นไป…คำว่าร้านหนังสือต้องมีหนังสือนั้นสำคัญมากทีเดียว สำคัญพอๆกับที่นักเขียนจะเป็นนักเขียนอยู่ได้อย่างไรหากไม่เขียนหนังสือ ตำรวจจะเป็นตำรวจอยู่ได้อย่างไรหากไม่พิทักษ์สันติราษฎร์ เมื่อประกาศว่าเป็นอะไรเราก็ไม่ควรลืมสาระสำคัญในสิ่งที่เราเป็นไม่ใช่หรือ?
 
ในการรับมือกับปัญหาดังกล่าวหนุ่มเดินหน้าเต็มที่เพื่อหาทางแก้ไขโดยมีโยคอยช่วยเหลือเรื่องเอกสาร
 
สมัยนั้นอาจเป็นไปได้ว่า ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ยังไม่ล่ำซำสำนักพิมพ์ openbooks ของเขาเลยยังไม่มี หนังสือที่มีอยู่ในร้านหนังสือเดินทางจึงมีแต่หนังสือจากสำนักพิมพ์ภัคธรรศน์ หนังสือจากบริษัทเคล็ดไทย และหนังสือจากสำนักพิมพ์ผีเสื้ออีกจำนวนหนึ่งเท่านั้นซึ่งแน่ว่าย่อมไม่พอ
 
“สวัสดีครับ! คือผมกำลังจะเปิดร้านหนังสือ ถ้าหากอยากได้หนังสือมาขายไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้างครับ?” เมื่อร้านยังมีหนังสือไม่พอหนุ่มจึงต้องติดต่อกับสายส่งเพิ่มขึ้นอีก วิธีที่เขาใช้ก็คือโทรไปคุยเอาดื้อๆ ถามว่าสายส่งเหล่านั้นอยู่ไหนหรือ ก็อยู่ในหน้าสองของหนังสือแต่ละเล่มนั่นแหละ ในหนังสือแต่ละเล่มหากเปิดออกจะมีหน้าหนึ่งที่นอกจากจะมีบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติแล้วยังมีข้อมูลบอกให้รู้ว่าใครเขียน ใครพิมพ์ ใครขาย และจะติดต่อได้อย่างไร ผู้จัดจำหน่ายเหล่านี้คือสายส่ง  หนุ่มไปรื้อหนังสือเก่าๆของตัวเองแล้วจดเบอร์เหล่านั้นมา ครั้นพบว่าหนังสือที่ตัวเองเคยอ่านล้าสมัยไปแล้วเขาก็ไปยังร้านหนังสือแถวท่าพระจันทร์ เปิดหนังสือใหม่ๆที่คิดว่าน่าจะมีในร้านตัวเองแล้วแอบจดเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งต่อมาเมื่อทำพฤติกรรมนี้จนเป็นนิสัยหนุ่มดูคล้ายคนเป็นโรคจิตเล็กๆอยู่เหมือนกันเหตุเพราะเจอหนังสือใหม่ในร้านคนอื่นทีไรแทนจะเปิดอ่าน กลับชอบเปิดดูว่าใครเขียน ใครขายไปเสียทุกที
 
อัมรินทร์ งานดี สารคดี ซีเอ็ด ดวงกมล ชนนิยม อทิตตา  APA Asia Book  ฯลฯ เหล่านี้คือสายส่งหนังสือและสำนักพิมพ์เป้าหมายหลังจากนั้น
 
แต่ละครั้งที่หนุ่มโทรไปยังคงต้องอธิบายตัวเองเหมือนเดิม บางครั้งก็ได้คุยกับผู้บริหารระดับสูงแต่ส่วนใหญ่ก็หยุดอยู่แค่เจ้าหน้าที่ซึ่งยืนยันว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎ                      
 
เงื่อนไขของสายส่งหนังสือแต่ละแห่งนั้นแม้หลักใหญ่จะคล้ายกันแต่ในกรณีของร้านหนังสือเดินทางแล้วกลับพบว่ามีรายละเอียดที่ต่างกัน
 
ในส่วนที่คล้าย หนังสือที่จะเอามาทั้งหมดอยู่บนเงื่อนไขของการฝากขาย โดยที่รายรับของร้านอยู่ที่ 25 % ของราคาหนังสือที่ขายได้เป็นมาตรฐาน ทั้งนี้จะมีการเช็คยอดกันทุก 30 วัน 60 วัน หรือ 90 วันแล้วแต่กำหนด ในขั้นของการปฏิบัติก่อนจะเอาหนังสือมาต้องมีการทำสัญญาซึ่งศัพท์ในวงการเรียกว่า “การเปิดหน้าบัญชี” ในขั้นตอนนี้ทางร้านต้องเตรียมใบทะเบียนการค้า เตรียมสำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน รวมทั้งต้องทำแบ็งค์การันตี นี่คือหลักการในส่วนที่คล้าย
 
แบ็งค์การันตีนั้นเป็นความคิดที่ดี มันคือการที่ร้านต้องเอาเงินไปฝากกับธนาคารเพื่อให้ธนาคารออกเอกสารค้ำประกันมาคู่หนึ่งแล้วให้ร้านกับสายส่งหนังสือถือไว้คนละชิ้น ตราบใดที่ยังค้าขายต่อกันอย่างซื่อสัตว์เงินก้อนนี้ก็อยู่ในธนาคารไม่ไปไหนโดยที่เมื่อไรไม่อยากทำร้านแล้วก็สามารถเอาเอกสารดัง กล่าวไปติดต่อเบิกเงินกลับมาได้ แต่หากวันใดร้านเบี้ยว ไม่จ่ายค่าหนังสือ สายส่งก็มีสิทธิเอาเอกสารชิ้นที่ว่าไปติดต่อกับธนาคารเพื่อยึดเอาเงินค้ำประกันไปได้เช่นกัน ในแง่นี้ก็ถือว่ายุติธรรมดี
 
แต่ที่ไม่ค่อยดีคือหนุ่มกับโยไม่รู้มาก่อนว่าต้องมีการทำแบ็งค์การันตีด้วย
 
หนำซ้ำแบ็งค์การันตีแต่ละเจ้าก็ใช่จะน้อยและเท่ากันเสียที่ไหน อย่างธรรมดาก็รายละ 2 ถึง 3 หมื่นบาท สายส่งหนังสือภาษาอังกฤษเจ้าหนึ่งถึงกับเรียกถึง 5 หมื่น ขณะที่อีกรายกลับไม่เอาแต่ต้องการเช็คเงินสดแทนซึ่งแม้ไม่อยากมองว่าเขาคงเอาเงินไปหมุนก่อน แต่ก็ไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้
 
รายละ 2-3 หมื่นหากเปิดหน้าบัญชีกับอีกสิบกว่าสายส่งก็ต้องใช้เงินอีกร่วมสามแสน ตรงนี้เองที่เป็นปัญหา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะทำกันอย่างไร?
 
ด้วยเหตุที่ไม่ได้คำนึงถึงตรงนี้มาก่อน ถึงตอนนี้เงินที่หนุ่มกับโยเอามารวมกันในตอนต้นหายไปกับการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าและทำร้านหมดแล้ว เมื่อไม่มีเงินไปออกแบ็งค์การันตีก็ไม่มีหนังสือขาย ไม่มีหนังสือขายก็ไม่ได้เงิน ไก่กับไข่ไม่รู้ควรจะลงทุนในอะไรก่อนกัน เมื่อเดือนแรกสิ้นสุดนั้นแม้ยอดขายแต่ละวันจะกระเตื้องขึ้นบ้างแต่ก็ยังติดลบ เดือนที่สองก็ไม่ต่าง นี่ยังไม่นับว่าเมื่อเดือนแรกผ่านค่าเช่าร้านเดือนใหม่ก็มาถึงและอีกไม่ช้าค่าเช่าของอีกเดือนก็คงตามมา ก่อนที่สถานการณ์จะแย่โยเสนอว่าเธอพอจะหาเงินมาได้อีกก้อนจะเอาไหม ทว่าหนุ่มนั้นกลับลังเลใจอยู่ทั้งที่มองไม่เห็นทาง
 
ความเครียดความกดดันนั้นเกิดขึ้นแล้ว ถึงตอนนี้ช่วงเวลาวิกฤตินั้นมาถึงแล้ว 
 
ร้านหนังสือเดินทางเริ่มขึ้นด้วยความตื่นเต้นน่าดีใจก็จริงทว่าไม่นานคนทำร้านก็ต้องรับมือกับหัวเลี้ยวหัวต่อดังกล่าว ซ้ำยังต้องคิดหาทางออกให้กับมันอยู่ตลอดทั้งปี ซึ่งจะว่าไปนี่มันแค่การหาหนังสือมาขายเท่านั้น
 
ยังไม่ทันได้คิดถึงชีวิตด้านอื่นเลยด้วยซ้ำ.

ขอบคุณข้อเขียนดีๆจาก : http://www.onopen.com