หนังสือต้องห้าม ความรู้ที่ถูกจองจำ ( 2 ) ตอนจบ
.jpg)
แต่ในยุคนี้ จากจำนวนหนังสือต้องห้ามทั้งหมดกว่า ๓๕๐ รายการ (ระหว่างปี ๒๕๐๑-๒๕๑๖) กลับมีหนังสือของนักเขียนฝ่ายก้าวหน้าถูกห้ามเพียง ๒ เรื่องเท่านั้น คือนวนิยาย แลไปข้างหน้า ของ ศรีบูรพา และงานแปล ประวัติจริงของอาQ แต่งโดย หลู่ซิ่น ที่เหลือ ถ้าไม่ใช่หนังสือโป๊ซึ่งมีทั้งไทยและเทศ ก็เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับประเทศคอมมิวนิสต์ ถ้าไม่เป็นภาษาจีนก็เป็นภาษาอังกฤษ
การห้ามหนังสือในยุคนี้จึงมิได้เกิดจากผลทางกฎหมายเท่านั้น แต่มาจากความหวาดกลัวต่ออำนาจที่มีอย่างล้นเหลือของสฤษดิ์ จนกลายเป็นวัฒนธรรมเซ็นเซอร์ตัวเอง ซึ่งไม่เพียงแต่นักเขียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ ร้านหนังสือด้วย
จริงอยู่ที่อำนาจเผด็จการอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะห้ามหนังสือ เพราะถ้ามีคนต้องการอ่าน ก็ต้องมีคนผลิต ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม แต่ที่สฤษดิ์ทำสำเร็จคือการสะกดความใฝ่ฝันของสังคมโดยทำให้หนทางอื่นที่ไม่ใช่หนทางเผด็จการเป็นไปไม่ได้ พร้อมกับเสนออุดมการณ์ “พัฒนา” มาเป็นหนทางไปสู่การสร้างความสำเร็จให้แก่สังคม ผ่านการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติในปี ๒๕๐๔
นี่คงเพียงพอที่จะอธิบายว่า ทำไมแผงหนังสือจึงไม่มีที่ว่างให้หนังสือที่ท้าทายอำนาจเผด็จการ
ประวัติจริงของอาQาQ ซึ่งแปลมาจากงานเขียนของหลู่ซิ่น เป็น ๑ ใน ๒ เล่มงานเขียนฝ่ายก้าวหน้าที่ถูกห้ามในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
แต่ก็ใช่ว่างานเขียนของฝ่ายก้าวหน้าจะสูญหายไปจากสังคมไทย เพราะนักคิดนักเขียนจำนวนมากยังคงผลิตงานของตนอยู่อย่างเงียบ ๆ ในคุกลาดยาว เหมือนรู้ว่าสักวันหนึ่งงานเขียนเหล่านั้นมันจะได้ใช้
ประจักษ์ ก้องกีรติ เรียกสิ่งที่รัฐเผด็จการของสฤษดิ์กระทำต่อนักคิดนักเขียนฝ่ายก้าวหน้าว่าเป็นการ แยก “ปัญญาชน” ออกจาก “สาธารณะ” ซึ่งแม้ว่าจะมิได้ทำลายชีวิตทางกายภาพ แต่ก็เท่ากับทำลายชีวิตทางการเมืองวัฒนธรรมซึ่งสำคัญยิ่งยวดต่อการดำรงชีวิตในฐานะปัญญาชน ทำให้พวกเขาตายจากสาธารณะ หรือหมดบทบาทของการเป็นปัญญาชนสาธารณะ (public intellectual)
แต่อำนาจเผด็จการที่ไหนก็ไม่ยั่งยืน หลังอสัญกรรมของสฤษดิ์ พืชพันธุ์แห่งการต่อต้านเผด็จการก็ก่อตัวขึ้น โดยเฉพาะขบวนการนักศึกษาที่ก่อตัวจากกลุ่มอิสระตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมตัวมาเป็นองค์การนักศึกษา และศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย จนเกิดเป็นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ ที่ล้มอำนาจเผด็จการที่สืบทอดมานานนับสิบปี
หนึ่งเดียว หลัง ๑๔ ตุลา
เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ ได้ทำลายเผด็จการทหารที่ครอบงำการเมืองไทยมากว่า ๒ ทศวรรษ และเป็นการรื้อฟื้นหนังสือต้องห้ามจำนวนมากให้กลับมาสู่สังคมไทยอีกครั้ง
ตลาดหนังสือหลัง ๑๔ ตุลา มีความเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่อง “ปริมาณ” ที่มีการเกิดขึ้นของสำนักพิมพ์อิสระ ที่มุ่ง “ขาย” ความคิดมากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ทำให้มีหนังสือออกมาเป็นจำนวนมาก ขณะที่ “คุณภาพ” ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ ๑๔ ตุลานำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางภูมิปัญญาครั้งใหญ่ของสังคมไทย
๑๔ ตุลายังนำมาซึ่งการปลดปล่อยงานเขียนในทศวรรษ ๒๔๙๐ ที่ถือเป็นงาน “ต้องห้าม” ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง นับเฉพาะหนังสือ โฉมหน้าศักดินาไทย ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ก็ได้รับการตีพิมพ์นับหมื่นเล่มในเวลาไม่กี่เดือน จนต้องมีการจัดสัมมนาว่าด้วยหนังสือเล่มนี้โดยเฉพาะ
แต่ ๑๔ ตุลาก็ไม่สามารถให้ความกระจ่างต่อความดำมืดของประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ นั่นคือ กรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙
กลางปี ๒๕๑๗ วิวาทะว่าด้วยกรณีสวรรคตก็เริ่มขึ้น เมื่อหนังสือ กรณีสวรรคต ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ โดย สรรใจ แสงวิเชียร วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย ได้ตั้งข้อสงสัยต่อบทบาทการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายปรีดี พนมยงค์ ในกรณีสวรรคต หลังจากนั้นเพียงสัปดาห์เดียว ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ของ สุพจน์ ด่านตระกูล ก็ออกมาโต้อย่างทันควัน สุพจน์นอกจากเสนอว่าปรีดีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ยังขยับไปอีกขั้นว่าใครน่าจะมีส่วนบ้าง หนังสือทั้งสองเล่มนี้ได้รับการพิมพ์ซ้ำอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยหนังสือที่เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตอีกจำนวนมาก
และในบรรดาหนังสือว่าด้วยกรณีสวรรคต เล่มที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดก็คือ กงจักรปีศาจ ซึ่งแปลมาจาก The Devil’s Discus ของ เรย์น ครูเกอร์ (Rayne Kruger) ความจริงแล้วฉบับภาษาอังกฤษนั้นถูกจัดเป็น “สิ่งพิมพ์ที่ห้ามเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร” ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ หรือแทบจะทันทีที่หนังสือเล่มนี้ออกวางจำหน่าย เพียงแต่ครั้งนั้นหนังสือเล่มนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเนื่องจากเป็นภาษาอังกฤษและช่วงเวลานั้นยังอยู่ในยุคเผด็จการ
กงจักรปีศาจ แปลโดย เรือเอก ชลิต ชัยสิทธิเวช ร.น. จัดพิมพ์โดยชมรมนักศึกษากฎหมาย ด้านหลังบอกว่า “พิมพ์ถูกต้องตามกฎหมาย โดยคัดจากสำนวนศาลแพ่งคดีดำที่ ๗๒๓๖/๒๕๑๓ ระหว่างนายปรีดี พนมยงค์ โจทก์ บริษัทสยามรัฐ จำกัด ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช กับพวก จำเลย”
ความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้เริ่มจากนายปรีดี พนมยงค์ ได้ฟ้อง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช กับพวก ในข้อหาหมิ่นประมาทว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต โดย กงจักรปีศาจ ฉบับแปลนี้เป็นเอกสารประกอบการฟ้อง และเมื่อศาลประทับรับฟ้องแล้ว เอกสารสำคัญนี้ก็เหมือนได้รับความคุ้มครองในทางกฎหมายระดับหนึ่ง หลังจากนั้น กงจักรปีศาจ (ฉบับโรเนียว) ก็เผยแพร่อยู่ในวงแคบ ๆ ในหมู่ผู้สนใจประวัติศาสตร์ก่อน ๑๔ ตุลา
แต่ภายหลังเมื่อมีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มเพื่อร่วมวิวาทะกับหนังสือกรณีสวรรคตเล่มอื่น ๆ ทางคณะผู้จัดพิมพ์กลับเปลี่ยนใจ “ถอด” เนื้อหาในส่วนแรก (๑๖ หน้า) ที่ประกอบด้วยชื่อผู้รับผิดชอบและคำชี้แจงในการจัดพิมพ์ออก พร้อม ๆ กับแปรสภาพให้ กงจักรปีศาจ เป็นหนังสือใต้ดิน ที่แม้ไม่วางขายทั่วไปแต่ก็เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อมีการประกาศรายชื่อหนังสือต้องห้าม จะมี กงจักรปีศาจ รวมอยู่ด้วย
เผาคน (แล้ว) เผาหนังสือ
นักศึกษาผู้เคราะห์ร้ายถูกฝูงชนทุบตีและนำมาเผาบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ เหตุการณ์ดังกล่าวนอกจากจะเป็นการฆาตกรรมทางการเมืองครั้งใหญ่แล้ว ยังนำมาสู่การห้ามหนังสือครั้งใหญ่ที่สุดของสังคมไทยอีกด้วย ดังภาพล่างซึ่งเป็นหนังสือจำนวนมากที่รอการทำลาย
ภายหลังจากอาชญากรรมรัฐที่กระทำต่อนิสิตนักศึกษาด้วยการล้อมปราบและทารุณกรรมในเช้าวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ แล้ว ตกค่ำ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำโดย พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนและนำประเทศเข้าสู่การปกครองระบอบเผด็จการอีกครั้งหนึ่ง
ในคืนนั้นเอง คณะปฏิรูปฯ ได้สั่งปิดหนังสือพิมพ์รายวันทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ และตั้งคณะกรรมการซึ่งมีนายประหยัด ศ. นาคะนาท เป็นประธาน เพื่อพิจารณาคำร้องว่ามีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่ควรได้ดำเนินการต่อไป ผลปรากฏว่า ประชาชาติรายวัน ประชาธิปไตย อธิปัตย์ ฯลฯ ถูกลบออกจากสารบบหนังสือพิมพ์ไทยนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนฉบับที่เหลือก็ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองทุกครั้งที่ตีพิมพ์
ในคำสั่งเดียวกัน คณะปฏิรูปฯ ได้ให้เจ้าหน้าที่ริบหรือทำลายหนังสือที่เห็นว่าจะก่อให้เกิดความแตกสามัคคีในชาติและทำให้ประชาชนเลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต์ เท่านั้นยังไม่พอ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๐-๒๕๒๓ ได้มีการออกประกาศ ๔ ฉบับ ระบุรายชื่อสิ่งพิมพ์ต้องห้ามรวมแล้ว ๒๑๙ รายการ ซึ่งนับเป็นการห้ามหนังสือครั้งใหญ่ที่สุดในสังคมไทย
เมื่อผสานกับนโยบายการปราบปรามอันเข้มงวด ก็ทำให้ประชาชนต้องนำหนังสือมาทำลายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ย้อนนึกไปยังสมัยพระเจ้าปราสาททอง เพียงแต่เปลี่ยนจากหนังสือคุณไสยมาเป็นหนังสือการเมืองเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้มีอำนาจสมัยนั้นมิได้มีความรู้ในการห้ามเสียด้วยซ้ำ หลายเล่มก็ดูเพียงชื่อผู้เขียน เช่น จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน ๑๔ ตุลาคม โดย ปรีดี พนมยงค์ หลายเล่มก็ดูเพียงชื่อหนังสือ เช่น ชาวนาไทยกับการเปลี่ยนแปลง ของ สุเทพ สุนทรเภสัช กระบวนการห้ามหนังสืออย่างบ้าคลั่งนี้ทำให้ รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ถึงกับทิ้งงานวิชาการโดยสิ้นเชิง เมื่อ กลยุทธในการแก้ปัญหาความยากจนในประเทศไทย ของเขาได้กลายเป็น ๑ ใน ๒๑๙ หนังสือต้องห้าม
นอกจากการห้ามหนังสืออย่างเป็นทางการแล้ว เอกสารราชการจำนวนมากที่เก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ หรือหน่วยงานราชการอื่น ที่เคยเปิดให้ใช้ภายหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ก็ถูก “ห้าม” เช่นเดียวกัน ทั้งที่เอกสารเหล่านั้นกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต เช่น การเจรจาเขตแดนกับอังกฤษและฝรั่งเศสในสมัย ร. ๕ ซึ่งส่งผลสำคัญต่อวงวิชาการเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อขบวนการคอมมิวนิสต์ล่มสลายลงทั้งในระดับประเทศและสากลในต้นทศวรรษ ๒๕๓๐ หนังสือต้องห้ามหลายเล่มก็ได้ออกมาวางจำหน่ายอีกครั้งแต่กลับไม่คึกคักเหมือนเคย เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่มีอารมณ์ร่วมในการอ่านหนังสือเหล่านี้อีกต่อไปจึงไม่คุ้มที่จะพิมพ์ออกมาในเชิงธุรกิจ มันจึงปรากฏอยู่เพียงตามร้านหนังสือเก่าทั้งที่รัฐเองก็อนุญาตอยู่กลาย ๆ เพราะใน พ.ศ. นี้ คอมมิวนิสต์มิใช่ภัยของรัฐอีกต่อไป การออก “พ.ร.บ. ยกเลิกคำสั่งปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ ๔๓ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙“ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ก็เป็นเพียงการอนุญาตอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ต้องห้าม เพราะถามไม่ตรงคำตอบ
ปัจจุบันหอจดหมายเหตุแห่งชาติยังมีเอกสารที่ “งดให้บริการ” จำนวนมาก ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง แต่เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวไม่อาจนำมาอ้างได้ เพราะจะมีความผิดตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร จึงไม่มีคำชี้แจงใด ๆ สำหรับการ “งดให้บริการ” นี่เป็นอีกหนึ่งของความรู้ที่ยังคงถูกจองจำ
“วีรกรรมนี้เกิดขึ้นจริงหรือ ?”
ปกหลัง การเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (๒๕๓๘)
เมื่อคอมมิวนิสต์ไม่เป็นภัยคุกคามแล้ว การห้ามหนังสือก็ดูเหมือนจะคลี่คลายลง แต่จู่ ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์การห้ามโดย “ภาคประชาชน” มูลเหตุเกิดจากข้อความสั้น ๆ ที่ปรากฏอยู่บนปกหลังหนังสือ การเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ของ สายพิน แก้วงามประเสริฐ ว่า “วีรกรรมนี้เกิดขึ้นจริงหรือ ?”
นี่มิใช่คำถามใหม่ แม้แต่ปราชญ์สยามอย่างสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ก็เคยทูลถามสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า “เรื่องท่านผู้หญิงโม้นี้ดูก็ประหลาด …ไม่เห็นว่าแสดงแผลงอิทธิฤทธิ์อะไร เป็นแต่ว่าคุมพวกผู้หญิงเป็นกองหลังเท่านั้น ทำไมยกย่องกันหนักหนาไม่ทราบ”
แต่สายพินไปไกลกว่านั้นด้วยคำถามใหม่ ๆ เช่น ทำไมจึงต้องเร่งสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีขึ้นในปี ๒๔๗๗, ทำไมต้องเร่งเปิดอนุสาวรีย์ทั้งที่เป็นเพียงรูปปูนปลาสเตอร์ปั้นแล้วทาสีทองทับเท่านั้น, เหตุใดต้องเปลี่ยนท่าทางของท้าวสุรนารี ฯลฯ
จากคำถามเหล่านี้ สายพินได้เริ่มค้นหาคำตอบด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์จนพบว่า วีรกรรมของท้าวสุรนารีถูกนำมาใช้เพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองในทศวรรษ ๒๔๗๐ และนั่นก็คือที่มาที่ทำให้ท้าวสุรนารีเป็นสามัญชนคนแรกที่ทางการสร้างอนุสาวรีย์ให้
งานวิจัยชิ้นนี้ได้เป็นวิทยานิพนธ์ดีเด่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี ๒๕๓๖ และอีก ๒ ปีต่อมา สำนักพิมพ์มติชนก็ได้นำมาปรับปรุงเรียบเรียงเป็นหนังสือชื่อ การเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ก็มีชาวโคราช ทั้งนักการเมือง นักวิชาการ และสื่อมวลชน ออกมาประท้วงผู้เขียนและสำนักพิมพ์ว่าลบหลู่สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่เคารพ ก่อให้เกิดการแตกแยกในสังคม พร้อมทั้งข่มขู่ว่า หากย่างเท้าเข้ามาเมืองโคราชจะถูก “ต้อนรับ” อย่างสาสม มีการรวมพลังคนนับหมื่นที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ทำให้สำนักพิมพ์มติชนต้องเก็บหนังสือออกจากท้องตลาด ขณะที่ผู้เขียนก็ถูกย้ายจากโรงเรียนสะแกราชธวัชศึกษา อำเภอปักธงชัย นครราชสีมา
สายพินสรุปว่าเรื่องของท้าวสุรนารียังคงถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน และชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของวิชาประวัติศาสตร์ ที่ไม่ช่วยให้คนในสังคมแก้ปัญหาด้วยการค้นหา “ความจริง” มาโต้แย้ง “ความจริง” ที่ไม่เป็นที่พึงประสงค์
นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกที่หนังสือเรื่องเดียวกัน เมื่ออยู่ใน “พื้นที่” มหาวิทยาลัย ใน “รูปแบบ” วิทยานิพนธ์ ไม่มีปัญหา แต่เมื่อกลายเป็นหนังสือเล่มวางขายทั่วไปในท้องตลาด กลับก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง ความผิดของหนังสือเล่มนี้คืออยู่ผิดที่ผิดทาง หรือว่าอยู่ในสังคมที่ไม่ยอมรับความเชื่อที่แตกต่าง และพร้อมที่จะจัดการความเชื่อที่แตกต่างด้วยกำลัง
ผลจากกรณีดังกล่าวได้ก่อให้เกิดขนบบางอย่างขึ้นในการทำงานวิชาการว่า บางเรื่อง “ไม่เชื่อก็อย่า (แม้แต่) ตั้งคำถาม”
ไม่ห้ามหนังสือ ใช่ว่าไม่มีหนังสือต้องห้าม
นอกจากหนังสือที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีหนังสือต้องห้ามเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน ขณะที่ตลาดหนังสือก็ขยายตัวมากขึ้น รายงาน “ที่สุดในธุรกิจหนังสือ ปี ๒๕๔๘“ ของซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ พบว่า ในปีที่ผ่านมามีหนังสือไปขอเลขมาตรฐานประจำหนังสือ ๓๙,๘๕๐ ปก หรือเฉลี่ยมีหนังสือออกใหม่วันละ ๑๐๙ ปก (ตัวเลขนี้รวมทั้งวิทยานิพนธ์ หนังสือราชการ หนังสืองานศพ ที่ไม่เข้าสู่ระบบตลาดด้วย) และมีหนังสือเข้าร้านซีเอ็ด ๑๑,๖๕๑ ปก เฉลี่ยวันละ ๓๑.๙ ปก
หนังสือขายดี ๕ อันดับแรก คือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่ม ๖, เกิดแต่กรรม เล่ม ๑, เล่ม ๒, เข็มทิศชีวิต และ คู่มือ Windows XP ฉบับสมบูรณ์ ขณะที่ประเภทของหนังสือที่คนไทยซื้ออ่านมากที่สุด คือ หนังสือเด็ก, วรรณกรรม, คู่มือเตรียมสอบ และคอมพิวเตอร์ และถ้ารวมงาน “มหกรรมหนังสือ” ที่จัด ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในเดือนเมษายนและตุลาคมของทุกปี ที่มีคนเข้างานหลายแสนคนและมียอดขายหลายร้อยล้านบาทแล้ว ก็นับได้ว่าสังคมไทยเปิดกว้างมากขึ้น
แต่ถ้าพิจารณาเรื่องความหลากหลายแล้วกลับพบว่า มิได้ไปในทิศทางเดียวกับตลาดหนังสือ
ขณะที่นวนิยายแปลอย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ มียอดขายเป็นอันดับ ๑ แต่ Don Qvixote de la Mancha นวนิยายที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของโลก ต้องใช้เวลาถึง ๔๐๐ ปีกว่าจะมีต้นฉบับพากย์ไทยชื่อ ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน ถ้ามิใช่โอกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดี ฆวน กาลอส ที่ ๑ และสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน เสด็จฯ เยือนประเทศไทย ก็ไม่แน่ว่าคนไทยจะได้อ่านวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นนี้หรือไม่
ขณะที่ พระราชอำนาจ หนังสือการเมืองที่ตอกย้ำแนวคิดประวัติศาสตร์แบบ “ราชาชาตินิยม” ที่เป็นเรื่องเล่าสมัยใหม่ว่าด้วยการต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์ ขายดีเป็นอันดับที่ ๘ แต่หนังสือที่ตั้งคำถามต่อประวัติศาสตร์ที่เราคุ้นเคยอย่าง การเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี กลับไม่มีให้เห็นตามแผง
ขณะที่หนังสือวัยใส แนวรักกุ๊กกิ๊ก ครองอันดับ ๑ หนังสือขายดีในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ผ่านมา ด้วยส่วนแบ่งสูงถึง ๓๐ % แต่หนังสือที่เป็นปากเสียงของเยาวชนไทยกลับไม่มีให้เห็น
ขณะที่นิตยสารบันเทิง นิตยสารผู้หญิง-ความงาม เปิดตัวกันอย่างคึกคักทั้งหัวในและหัวนอก แต่นิตยสารที่ว่าด้วยการเมือง สารคดี สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ กลับหยุดนิ่ง และบางฉบับต้องปิดตัวลง
ขณะที่หนังสือประเภท “รู้ทันทักษิณ” มีให้เห็นกันเกลื่อนแผง แต่กว่าที่จะมีปรากฏการณ์อย่างนี้ก็ต้องรอให้ขึ้นปีที่ ๔ ของการบริหารประเทศของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
ปัจจุบันหนังสือส่วนใหญ่ออกมาชื่นชมและให้ความชอบธรรมกับการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แต่หนังสือที่ออกมาตั้งคำถามกับความถูกต้องชอบธรรมของการรัฐประหารอย่างตรงไปตรงมายังไม่ปรากฏ
สังคมใดที่ขาดความหลากหลาย สังคมนั้นก็จะขาดโอกาสและภูมิคุ้มกันเมื่อประสบกับภัยที่คาดไม่ถึง เช่นเดียวกับวงการหนังสือ ถึงแม้จะมีหลายเหตุผลมารองรับปรากฏการณ์ข้างต้น เช่นเหตุผลทางเศรษฐกิจ (ความคุ้นทุน) การเมือง (สถานการณ์บ้านเมือง) หรือวัฒนธรรม (การยอมรับของคนในสังคม) แต่ทั้งหมดก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ “ห้ามหนังสือ” จำนวนมากมิให้ออกมาเป็นทางเลือกของสังคม และถ้าปรากฏการณ์ดังกล่าวยังเป็นไปในทิศทางนี้ ก็น่าเป็นห่วงว่าหนังสือจะเป็นเพียงสถาบันที่ผลิตซ้ำความคิด ความเชื่อเดิมของสังคม
และเมื่อนั้น…
ผู้ปกครองต่างยินดีที่มี “หนังสือต้องห้าม” โดยที่ไม่ต้อง “ห้ามหนังสือ”
หนังสือประกอบการเขียน
กำธร เลี้ยงสัจธรรม. “กรณีริบหนังสือกฎหมายในรัชกาลที่ ๓“. ศิลปวัฒนธรรม ๒๖:๒ ธันวาคม ๒๕๔๗, หน้า ๑๐๐-๑๑๒.
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. “ความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของพระยาสุริยานุวัตร”. สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ๙:๑๒ กันยายน ๒๕๑๗.
ชัยอนันต์ สมุทวณิช. เทียนวรรณและ ก.ศ.ร. กุหลาบ. กรุงเทพฯ : ธีรนันท์, ๒๕๒๒.
ณัฐพล ใจจริง. “วิวาทะของหนังสือ เค้าโครงการณ์เศรษฐกิจฯ และพระบรมราชวินิจฉัยฯ กับการเมืองของการผลิตซ้ำ”. จุลสารหอจดหมาย เหตุธรรมศาสตร์ ฉบับที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๔-พฤษภาคม ๒๕๔๕.
ธเนศ วงศ์ยานนาวา. “ภาพตัวแทนของตูด”. ใน เผยร่างพรางกาย. ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ : คบไฟ, ๒๕๔๑.
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และ บุศรินทร์ โตสุขุมวงศ์. “พิเคราะห์หนังสือต้องห้ามของไทย”. รัฐศาสตร์สาร ๑๙:๓ (๒๕๓๙).
นิธิ เอียวศรีวงศ์. “ประณามพจน์หนังสือ”. มติชนสุดสัปดาห์ ๒๕:๑๓๐๘ ๙ กันยายน ๒๕๔๘, หน้า ๓๓.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. “เรื่องโป๊ ๆ เปลือย ๆ”. ผ้าขาวม้า, ผ้าซิ่น, กางเกงใน และ ฯลฯ. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๓๘.
ประจักษ์ ก้องกีรติ. “๘๖ ปีหนังสือนักศึกษา: ชีวประวัติหนุ่มสาวสยามฉบับลาย ลักษณ์”. จุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ฉบับที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๓– พฤษภาคม ๒๕๔๔.
ประจักษ์ ก้องกีรติ. และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘.
ป๋วย อึ๊งภากรณ์. “แตกเนื้อหนุ่มเมื่อ ๒๔๗๕“. สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ๖:๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๕.
มุกหอม วงษ์เทศ. “มนุษย์-ต้อง-(ถูก) ห้าม”. ศิลปวัฒนธรรม ๒๖:๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๘.
วิทยากร เชียงกูล. สารานุกรมแนะนำหนังสือดี ๑๐๐ เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๒.
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “กงจักรปีศาจ และหนังสือเกี่ยวกับกรณีสวรรคต”. ประวัติศาสตร์ ที่เพิ่งสร้าง. กรุงเทพฯ : ๖ ตุลารำลึก, ๒๕๔๔.
สัญลักษณ์ พงษ์สุวรรณ. “ปกสียุคแรก”. Thaicoon (ปักษ์หลัง) มิถุนายน ๒๕๔๔.
สุดแดน วิสุทธิลักษณ์. “หนังสือ เจ้าของ และห้องสมุด”. สารคดี ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๑๖๗ มกราคม ๒๕๔๒.
สุดแดน วิสุทธิลักษณ์. “หนังสือต้องห้าม ‘หนังสือที่เลวที่สุดเล่มหนึ่ง…มันดีเกินไป’”. สารคดี ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๑๔๗ พฤษภาคม ๒๕๔๐.
“ ‘หนังสือโป๊’ ไม่มีวันตาย !?”. ผู้จัดการรายวัน ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๗.
อัลแบร์โต แมนเกล. โลกในมือนักอ่าน. แปลโดย กษมา สัตยาหุรักษ์. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๖.
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 260 > ตุลาคม 49 ปีที่ 22