Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

หนังสือต้องห้าม ความรู้ที่ถูกจองจำ ( 1 )

 

 
 
ภายหลังจากตีพิมพ์หนังสือ บทสนทนาว่าด้วยระบบใหญ่สองระบบของโลก (Dialogue on the Two Great Systems of the World) ในปี พ.ศ. ๒๑๗๕ ซึ่งขัดแย้งอย่างรุนแรงกับความเชื่อของคริสต์ศาสนา กาลิเลโอก็ถูกบังคับให้เพิกถอนทฤษฎีของเขาในปีรุ่งขึ้น ต่อหน้าคณะกรรมการสอบสวนในกรุงโรมซึ่งมีพระสังฆราชเป็นประธาน
ผู้ปกครองทุกยุคสมัยตระหนักดีว่า “กำลังอำนาจนั้นผูกมัดไว้เพียงชั่วคราว แต่ความคิดนั้นดำรงอยู่ชั่วกาล” และไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะนำพาความคิดความอ่านให้แพร่ออกไปกว้างขวางได้เท่ากับหนังสือ …ด้วยเหตุนี้จึงต้อง “ห้ามหนังสือ” และมี “หนังสือต้องห้าม”
สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ (๒๕๔๐)
ปฐมบทแห่งการห้าม
 
๒๔๔๗ ปีที่แล้ว ผลงานของโปรตากอรัส นักปรัชญาชาวกรีก ถูกเผากลางกรุงเอเธนส์ ๑๙๘ ปีต่อมา จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกที่รวมแผ่นดินจีนไว้จนเป็นปึกแผ่นด้วยการสร้าง “อาณาจักรแห่งความกลัว” ทรงสั่งเผาหนังสือทุกเล่มในราชอาณาจักร รวมทั้งทรงบัญชาให้สังหารนักปราชญ์จำนวนมากที่ทรงเห็นว่าเป็นศัตรู 
 
แต่การทำลายหนังสือครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๔๙๕ เมื่อ จูเลียส ซีซาร์ ได้กรีธาทัพเข้าสู่เมืองอเล็กซานเดรีย (ปัจจุบันอยู่ในประเทศอียิปต์) พร้อม ๆ กับการสั่งเผา “หอสมุดอเล็กซานเดรีย” หอสมุดที่ดีที่สุดของโลกยุคโบราณ ที่บรรจุม้วนปาปิรัสซึ่งมีสรรพวิชาความรู้ต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า ๔ แสนม้วน รวมทั้งมีการจัดทำหมวดหมู่ บทวิจารณ์ เรื่องย่อของหนังสือทุกเล่ม และนี่เองที่เป็นจุดสิ้นสุดของอารยธรรมกรีก-โรมันที่เริ่มต้นตั้งแต่ ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล 
 
ไม่เพียงแต่อำนาจรัฐเท่านั้นที่ “ห้ามหนังสือ” ในยุคกลางซึ่งคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกมีอิทธิพลอย่างมาก บรรดาพระผู้ใหญ่ที่มาประชุมกันในปี พ.ศ. ๒๑๐๒ มีความเห็นร่วมกันให้จัดทำ Index Librorum Prohibitorum (Index of Forbidden Books) ประกาศรายชื่อหนังสือที่เห็นว่าเป็นภัยต่อศรัทธาของชาวโรมันคาทอลิก โดยมีการปรับปรุงเพิ่มเติมรายชื่อหนังสือและนักเขียนต้องห้ามอยู่ตลอดเวลา จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๑ มีการปรับปรุง ๓๒ ครั้ง มีรายชื่อหนังสือต้องห้ามบรรจุไว้กว่า ๔,๐๐๐ เล่ม ซึ่งในรายชื่อเหล่านั้นประกอบไปด้วยผลงานของนักคิดคนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น กาลิเลโอ วอลแตร์ เรื่อยมาจนถึง วิกเตอร์ ฮูโก ลีโอ ตอลสตอย เจมส์ จอยซ์ ฯลฯ 
 
ประวัติศาสตร์ยุคใกล้ที่น่าสะพรึงกลัว คือการขึ้นมาของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมนีผู้ใฝ่ฝันที่จะสร้างอาณาจักรไรซ์ที่ ๓ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ฮิตเลอร์ได้บัญชาการให้นายพอล โจเซฟ กอบเบลส์ รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาชวนเชื่อ (Ministry of Propaganda) เป็นผู้นำในการเผาหนังสือจำนวนกว่า ๒ หมื่นเล่มต่อหน้าฝูงชนนับแสนกลางกรุงเบอร์ลิน ในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๗๖ กอบเบลส์ได้กล่าวปราศรัยต่อหน้าฝูงชนว่า “คืนนี้ ท่านกำลังทำสิ่งถูกต้องแล้วที่โยนอดีตอันลามกอนาจารลงในเปลวเพลิง” 
 
หลังจากนั้นไม่นาน ฮิตเลอร์ได้นำเยอรมนีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ มีการสังหารชาวยิวไปกว่า ๖ ล้านคน และมีคนล้มตายทั่วโลกกว่า ๖๒ ล้านคน
นานมาแล้ว ไฮน์ริช ไฮเนอ กล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า
“ถ้าที่ไหนเผาหนังสือกันได้ ก็ไม่ต้องแปลกใจที่ต่อไปจะเผาคน”
แรกห้ามในสยามประเทศ
 
หมอบรัดเลย์เช่าบ้านและใช้เป็นโรงพิมพ์ หรือ Printing Office of the American Missionary Association ซึ่งเป็นสถานที่พิมพ์ หนังสือกฎหมายไทย
แม้การอ่าน-เขียนจะไม่เป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายของสังคมสยามมาแต่ก่อน แต่หนังสือก็เป็นมากกว่าวัตถุที่บันทึกตัวอักษร ดังนั้นคนสมัยก่อนจึงมีความเคารพหนังสือ (แม้จะอ่านไม่ออกก็ตาม) เพราะเชื่อว่าหนังสือมีความศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้จากเรื่องเล่าถึงการค้นพบ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ ที่ว่า หลวงประเสริฐอักษรนิติ์เดินไปพบยายแก่คนหนึ่งกำลังเอาสมุดข่อยมาเผา จึงได้เข้าไปขอดูและได้ค้นพบเอกสารชิ้นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การเผาหนังสือดังกล่าวไม่ได้เกิดจากเจตนาที่จะทำลายหนังสือ หากแต่ยายแก่คนนั้นต้องการจะนำขี้เถ้าจากการเผาไปผสมทำยาเพราะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสือต่างหาก แต่การทำลายหนังสือก็มิใช่ไม่เคยมีในสังคมสยาม ใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ได้ปรากฏเหตุการณ์ “คนตื่นเอาตำราคุณไสยทิ้งน้ำ” ในปี พ.ศ. ๒๑๗๘ เมื่อพระเจ้าปราสาททองเสด็จฯ ไปพระราชทานเพลิงศพพระเจ้าลูกเธอฝ่ายใน ณ วัดไชยวัฒนาราม พบเนื้อในท้องเผาไม่ไหม้ ทำให้สงสัยว่าโดนคุณไสย จึงเกิดข่าวลือว่าจะมีการค้นตำรับตำราตามบ้านเรือน ทำให้ผู้แก่ผู้เฒ่าที่มีตำราคุณไสยต่างเอาหนังสือไปทิ้งน้ำเสียเนื่องจากกลัวความผิด 
 
กว่าที่การห้ามหนังสือจะเกิดขึ้นในสยามก็ต้องรอจนถึงปีสุดท้ายในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แต่หลายคนเมื่อได้รู้ว่าหนังสือเล่มแรกที่ถูกห้ามในสยามนั้นเป็นหนังสือว่าด้วยเรื่องอะไร ก็อาจตั้งคำถามว่าทำไมต้องห้าม ? เพราะมันเป็นหนังสือกฎหมาย 
 
เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่เราใช้มโนทัศน์ในปัจจุบันที่ว่า ทุกคนเสมอภาคภายใต้กฎหมาย “การไม่รู้กฎหมายไม่เป็นข้ออ้างให้พ้นผิด” ไม่ได้ เพราะในยุคนั้นความรู้เรื่องกฎหมายเป็นเรื่องของชนชั้นนำ รวมทั้งมันยังถูกเก็บไว้ในสถานที่ “ต้องห้าม” อีกด้วย 
 
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อนายโหมด อมาตยกุล ต้องขึ้นศาลในคดีมรดก นายโหมดได้แอบจ้างคัดลอกกฎหมายที่โรงอาลักษณ์เป็นเงิน ๑๐๐ บาท จนได้ต้นฉบับนำมาพิมพ์เผยแพร่โดยหวังว่าจะได้ช่วยคนที่ไม่รู้กฎหมายและนำเงินมาหักลบต้นทุนที่ลงไป นายโหมดได้นำต้นฉบับดังกล่าวไปว่าจ้างให้หมอบรัดเลย์พิมพ์เป็น หนังสือกฎหมายไทย จำนวน ๒๐๐ ชุด ชุดละ ๒ เล่ม เป็นเงิน ๕๐๐ บาท ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๐-๒๓๙๓ 
 
ทันทีที่หนังสือเล่มแรกออกมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกริ้ว มีรับสั่งให้นำตัวนายโหมดและพวกลูกจ้างของหมอบรัดเลย์ไปสอบ รวมทั้งริบหนังสือกฎหมายนั้น แต่ก็มิได้มีรับสั่งให้นำไปเผาหรือทำลายเพราะความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสือ เพียงรับสั่งว่าเมื่อพระเจดีย์ที่วัดสระเกศสร้างแล้วเสร็จให้นำหนังสือที่ริบมาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ทั้งหมด 
 
กำธร เลี้ยงสัจธรรม ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุของการ “ริบหนังสือ” ครั้งนั้นไว้ว่า เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่าหากหนังสือกฎหมายตกอยู่ในมือของคนทั่วไปแล้ว “พวกเจ้าถ้อยหมอความ” จะนำไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับคดโกง ทำให้เกิดความยุ่งยากต่อบ้านเมือง นอกจากนี้การกระทำของนายโหมดยังถือเป็นการละเมิดต่อธรรมเนียมการศึกษากฎหมายที่สงวนไว้เฉพาะเจ้านายและขุนนางจำนวนน้อยเท่านั้นด้วย 
 
แต่เมื่อผลัดแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงเปิดรับวิทยาการสมัยใหม่มากกว่า ก็มีรับสั่งว่า “จะต้องให้เอากฎหมายตีพิมพ์ขึ้นไว้อีกจะเป็นคุณกับบ้านเมือง” และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เอาหนังสือที่ริบไว้คืนแก่นายโหมด พร้อมทั้งทรงรับซื้อไว้จำนวนหนึ่งเพื่อแจกแก่โรงศาลทุกแห่ง ถือเป็นการเปิดยุคของการศึกษากฎหมายอย่างเสรีจากที่ก่อนหน้านั้นเป็นวิชาต้องห้าม
เมื่อความคิด ความรู้ ถูกท้าทาย
 
ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมพรรษาเพียง ๑๖ พรรษา โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพียงต้นรัชกาล ก็ได้มีประกาศห้าม นิราศหนองคาย ของหลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) 
 
มูลเหตุมาจากความขัดแย้งทางการเมืองสมัยนั้น ระหว่างสมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งเป็นหัวหน้าสายตระกูลบุนนาคซึ่งกุมอำนาจไว้ทั้งหมด กับเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเกิดสงครามปราบฮ่อ ทั้งสองได้ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในการจัดทัพ ทำให้นายทิมซึ่งเป็นคนของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ฯ ต้องออกมา “เถียงแทนนาย” ผ่าน นิราศหนองคาย โดยหาว่าสมเด็จเจ้าพระยาฯ สั่งเดินทัพในฤดูฝนเป็นการไม่สมควร ทั้งยังเป็นการขาดเมตตาจิตต่อไพร่พล สมเด็จเจ้าพระยาฯ โกรธมาก จึงนำเรื่องเข้ากราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่งผลให้มีการสั่งเผา นิราศหนองคาย และลงโทษนายทิมด้วยการโบย ๕๐ ทีและจำคุก ๘ เดือน 
 
ถึงแม้ว่าในยุคนี้สยามจะรับเทคโนโลยีจากตะวันตกจำนวนมาก แต่วิชาความรู้ก็ยังจำกัดอยู่ในหมู่ชนชั้นนำ หอสมุดของวังหลวงที่ตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๒๓ ก็เป็นเพียง “หอสมุดสำหรับราชตระกูล” ให้บริการเฉพาะเจ้านายและพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น นี่ยังไม่ต้องเอ่ยถึงระบอบการปกครองที่ไกลกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่แม้ใครเพียงคิด ก็จะกลายเป็นพวก “ราดิกัล” (หัวรุนแรง) ไปเสียทุกคน 
 
แต่ในยุคนี้เองที่สามัญชน ๒ ท่าน คือ ก.ศ.ร. กุหลาบ และ เทียนวรรณ ได้รังสรรค์ความรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งคู่มีความเหมือนกันหลายประการ เช่น การได้รับการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม การได้เดินทางไปต่างประเทศ การมีทักษะด้านภาษาอังกฤษ รวมทั้งการเขียน/การทำหนังสือ ท่านแรกมีความสำคัญในการ “เหลียวมองหลัง” สืบเสาะค้นหาและรวบรวมความรู้ที่ถูกหวงห้ามไว้เฉพาะชนชั้นสูง ขณะที่ท่านต่อมาเป็นผู้ที่ “แลไปข้างหน้า” มีจินตนาการเกินกว่าระบอบการปกครองในขณะนั้น นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีชะตากรรมที่ไม่ต่างกัน นั่นคือถูกพิพากษาจากอำนาจรัฐ คนแรกถูกทำให้กลายเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ขณะที่อีกคนถูกขังลืมเกือบ ๑๗ ปี
………………………………………..
 
ก.ศ.ร. กุหลาบ (๒๓๗๗-๒๔๕๖) 
ก.ศ.ร. กุหลาบ เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการทำลายการผูกขาด “ความรู้” ของชนชั้นนำในยุคนั้น โดยเริ่มจากการออกอุบายขอยืมหนังสือจากหอหลวงมาอ่าน แล้วจ้างอาลักษณ์คัดลอก การทำเช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องมานานนับปีจึงทำให้ท่านมีต้นฉบับจากหอหลวงเป็นจำนวนมาก 
 
ต่อมาท่านจึงนำความรู้ที่ได้มาพิมพ์เผยแพร่ ทั้งที่เป็นหนังสือเล่ม เช่น คำให้การของขุนหลวงหาวัด และที่นำลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ สยามประเภท ที่จัดทำขึ้นเพื่อ “บำรุงปัญญาประชาชน” แต่ด้วยความที่ท่านทราบดีว่าการนำความรู้ที่หวงห้ามไว้มาเผยแพร่มีความผิด ท่านจึง “ดัดแปลง” บางข้อความเสีย ทว่าการกระทำดังกล่าวกลับนำโทษมาสู่ตัวเอง เมื่อท่านเขียนชีวประวัติของสมเด็จพระสังฆราช (สา) พระอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคลาดเคลื่อน จนมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ และได้ข้อสรุปว่า ก.ศ.ร. กุหลาบ “เปนผู้แสดงความเท็จอวดอ้างตนให้คนเชื่อถือ เปนผู้ปั้นความที่ไม่จริงขึ้นลวงให้คนเชื่อผิด ๆ” หลังจากนั้น “กุ” จึงกลายเป็นคำที่หมายถึงการสร้างเรื่องขึ้นมาโดยไม่มีมูล ทั้ง ๆ ที่ความจริงมูลเหตุที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ ต้อง “กุ” นั้นมาจากการหวงห้ามความรู้นั่นเอง
………………………………………..
เทียนวรรณ (๒๓๘๕-๒๔๕๘) 
เทียนวรรณ เป็นตัวแทนความคิดสมัยใหม่ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงของสยามภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาริ่ง ที่ส่งผลให้การค้าถือเป็นมาตรวัดความเจริญของประเทศ ท่านพยายามเปลี่ยนทัศนคติให้ชาวสยามหันมาทำการค้ามากกว่าจะมุ่งแต่เป็นข้าราชการ ท่านได้เห็นทั้งการเอารัดเอาเปรียบของพ่อค้าคนกลางและการคอร์รัปชันในระบบราชการ พอ ๆ กับการทราบถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก จึงเป็นที่มาของความกระตือรือร้นในการเปลี่ยนแปลงสยามสู่ความ “ศิวิไลซ์” ด้วยการเรียกร้อง “ปาลิเมนต์”, การเลิกทาส, ห้ามสูบฝิ่น ฯลฯ 
 
เทียนวรรณได้ก้าวสู่การเป็นนักหนังสือพิมพ์โดยการออกหนังสือ ตุลวิภาคพจนกิจ และเปิดสำนักงานทนายความ “ออฟฟิศอรรศนานุกูล” อันเป็นเหตุให้ท่านถูกกลั่นแกล้งจนตกเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นตราราชสีห์ จากการที่มีผู้มาหลอกลวงให้เขียนใบฎีกา ส่งผลให้ท่านถูกโบย ๕๐ ที และถูกขังลืมเกือบ ๑๗ ปี ในระหว่างนั้นท่านได้เขียนงานที่ทรงคุณค่าและมาก่อนกาลเป็นจำนวนมาก ก่อนจะสิ้นอายุขัยในวัย ๗๓ ปี ได้มีเด็กนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วย เราไม่ทราบว่าทั้งสองคุยกันเรื่องอะไร แต่อีก ๑๖ ปีต่อมา นักเรียนหนุ่มผู้นั้นได้เป็นมันสมองของคณะราษฎรที่เปลี่ยนแปลงการปกครองชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ทรัพย์ศาสตร์ : เศรษฐศาสตร์ต้องห้าม
 
ความทุกข์ยากของชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งจากพ่อค้าคนกลางและพ่อค้าส่งออก ส่งผลให้พระยาสุริยานุวัตรเขียน ทรัพย์ศาสตร์ ขึ้น ทั้งในแง่ของการวิเคราะห์และชี้ทางออก แต่หนังสือเล่มนี้กลับถูกห้าม
ถึงแม้เศรษฐศาสตร์จะเป็นวิชาที่ศึกษาได้ทั่วไปในปัจจุบัน แต่ถ้าค้นลงไปในประวัติศาสตร์กลับพบว่า ก่อนปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕ เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาต้องห้าม เห็นได้จากที่มีการห้ามหนังสือ ทรัพย์ศาสตร์ ของพระยาสุริยานุวัตร การห้ามหนังสือเล่มนี้ เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งถือกันว่าเป็น “ยุคทองของนักหนังสือพิมพ์” 
 
พระยาสุริยานุวัตร อดีตเสนาบดีกระทรวงพระมหาสมบัติ นอกจากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารนโยบายเศรษฐกิจแล้ว ท่านยังมีความเชื่อเรื่องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจด้วย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านเสนอให้โอนกิจการฝิ่นจากเจ้าภาษีนายอากรมาสู่รัฐบาลเพื่อขจัดการรั่วไหลของรายได้ และจะได้นำเงินมาพัฒนาประเทศ แต่เมื่อนโยบายถูกต่อต้านจนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มีพระราชหัตถเลขาแนะนำให้ท่านลาออก ชีวิตราชการของท่านจึงยุติด้วยวัยเพียง ๔๕ ปี 
 
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ท่านก็ได้อุทิศเวลาที่เหลือทุ่มเทให้แก่การเขียนตำราทางเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของสยามที่ชื่อว่า ทรัพย์ศาสตร์ เนื้อหาในเล่มนอกจากการวิจารณ์การดำเนินนโยบายที่ไม่ส่งเสริมการสะสมทุน จนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประเทศล้าหลังแล้ว ท่านยังชี้ให้เห็นการขูดรีดส่วนเกินทางเศรษฐกิจของชาวนาไปให้แก่พ่อค้าคนกลางและพ่อค้าส่งออกในรูปแบบของการปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูงและการกดราคาข้าวเปลือกอีกต่อหนึ่ง 
 
ทันทีที่ ทรัพย์ศาสตร์ ๒ เล่มแรกตีพิมพ์ออกมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ (จากที่วางแผนไว้ว่าจะมีทั้งหมด ๓ เล่ม) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีรับสั่งให้พระยาสุริยานุวัตรยุติการเขียน หลังจากนั้นทรงเขียนบทวิจารณ์ “ทรัพย์ศาสตร์ (เล่ม ๑) ตามความเห็นของเอกชนผู้ได้อ่านหนังสือเท่านั้น” ในนามปากกา “อัศวพาหุ” ลงในวารสาร สมุทรสาร ทรงเห็นว่า ทรัพย์ศาสตร์ จะทำให้คนไทยแตกแยกเป็นชนชั้น เพราะในสยามประเทศนั้น เว้นแต่พระเจ้าแผ่นดินแล้ว “ใคร ๆ ก็เสมอกันหมด” ทรงเห็นว่าผู้เขียน “ตั้งใจยุแหย่ให้คนไทยเกิดฤศยาแก่กันและแตกความสามัคคีกัน” เพราะเขียนเรื่องความต่างทางรายได้ 
 
ทรัพย์ศาสตร์ จึงต้องยุติลงเพียงเล่ม ๒ เท่านั้นท่ามกลางความทุกข์ใจอย่างยิ่งของผู้เขียน และเมื่อผลัดแผ่นดิน เหตุการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลง เพราะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นถึงกับมีการแก้ไขกฎหมายอาญากำหนดความผิดของการสอนลัทธิเศรษฐกิจ โดยมีโทษสูงสุด ๑๐ ปี และให้ปรับไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ทรัพย์ศาสตร์ จึงกลายเป็นหนังสือต้องห้ามสมบูรณ์แบบ 
 
กว่าที่วิชาเศรษฐศาสตร์จะกลับมาสู่สาธารณะอีกครั้งก็เมื่อมีการสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๗ “ลัทธิเศรษฐกิจ” ได้รับการบรรจุเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิต และพระยาสุริยานุวัตรก็ได้เขียนทรัพย์ศาสตร์ เล่ม ๓ ออกมาในชื่อ เศรษฐศาสตร์และการเมือง 
 
หลังจากนั้นไม่นานท่านก็ถึงแก่กรรมในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๔๗๙ เหลือทิ้งไว้แต่มรดกล้ำค่าที่คนจะจดจำไปตลอดกาล นั่นคือหนังสือที่ชื่อ ทรัพย์ศาสตร์
อรุณรุ่งแห่งเสรีภาพ
 
การปฏิวัติสยาม ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มิได้เป็นเพียงการเปลี่ยนระบอบการปกครองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนสำนึกของผู้คนและเป็นการทำลายทำนบของการห้ามหนังสือจำนวนมาก
“ผมกับเพื่อนรุ่นหนุ่มอีกสองสามคนชักชวนกันแสวงหาคำตอบจากหนังสือต่าง ๆ ซึ่งเดิมโรงเรียนห้ามไม่ให้อ่าน เพราะเป็นบาป เช่น หนังสือของรุสโซ วอลแตร์ โซลา และหนังสือประวัติการปฏิวัติของฝรั่งเศส” 
ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (๒๕๑๕) 
 
การปฏิวัติสยาม ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎร ไม่เพียงแต่เปลี่ยนอำนาจการเมืองเท่านั้น แต่ความคิดความรู้ของผู้คนจำนวนมากก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้น ม. ๘ โรงเรียนอัสสัมชัญ หันมาสนใจการบ้านการเมืองมากขึ้น พร้อม ๆ กับการขวนขวายอ่านหนังสือที่ถูกประทับตราว่าเป็นหนังสือต้องห้ามของโรงเรียนโรมันคาทอลิกอย่างอัสสัมชัญ 
 
ทว่าช่วงเวลาของเสรีภาพต้องสะดุดเมื่อหนังสือ เค้าโครงการณ์เศรษฐกิจ หรือที่รู้จักกันในนาม “สมุดปกเหลือง” ของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ออกมา เอกสารภายในที่จัดพิมพ์ไม่เกิน ๒๐๐ เล่ม เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ (ปีปฏิทินเก่า) ได้ก่อให้เกิดความเห็นแตกออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่านี่จะเป็นหนทางนำความผาสุกมาสู่สยาม ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่านี่เป็นโครงการของคอมมิวนิสต์ ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นจนพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี ต้องทำการรัฐประหารโดยรัฐธรรมนูญ โดยการ “ปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา” ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ 
 
และในวันรุ่งขึ้นก็ได้มีการประกาศใช้ “กฎหมายคอมมิวนิสต์” ซึ่งมีไว้เล่นงานนายปรีดี พนมยงค์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้โดยเฉพาะ จนมีการประกาศห้ามหนังสือสมุดปกเหลืองด้วยเหตุว่า “แสลงไปในทางการเมือง…เหลื่อมไปในทางลัทธิคอมมูนิสม์” 
 
นายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยการเมืองในวันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ จากนั้นในวันต่อมาก็มีหนังสือ บันทึกพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องเค้าโครงการณ์เศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ออกมาแจกจ่ายจำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม เนื้อหาในเล่มมุ่งโจมตีนายปรีดี เช่นข้อความที่ว่า “โครงการนี้นั้นเป็นโครงการอันเดียวอย่างแน่นอนกับที่ประเทศรัสเซียใช้อยู่ ส่วนใครจะเอาอย่างใครนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ สตาลินจะเอาอย่างหลวงประดิษฐ์ หรือหลวงประดิษฐ์จะเอาอย่างสตาลิน” 
 
ถึงแม้ต่อมาอำนาจการเมืองจะหมุนกลับมาที่คณะราษฎรจากการยึดอำนาจคืนในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ แต่พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีคนใหม่ กลับแก้ปัญหาด้วยการขอร้องมิให้รื้อฟื้นเรื่องขึ้นมาอีก โดยบอกว่า “ช่วยกันปล่อยให้ลืมเสียเถิด เพื่อเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง” 
 
หลังจากนั้นสมุดปกเหลืองก็หายไปจากการเมืองไทยกว่า ๒๐ ปี ขณะที่ข้อหาคอมมิวนิสต์ได้ติดตัวนายปรีดีไปตลอดชีวิต 
 
แต่สมุดปกเหลืองก็เป็นจุดสะดุดเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นได้มีการสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อให้เป็น “บ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎรผู้สมัครแสวงหาความรู้” ในวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๗ วิชา “ต้องห้าม” เช่น เศรษฐศาสตร์ รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง ฯลฯ ก็เปิดสอนอย่างเปิดเผย และการเป็นตลาดวิชาก็ทำให้มีผู้สมัครเรียนในปีแรกถึง ๗,๐๔๙ คน หนึ่งในนั้นคือ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นักเรียนอัสสัมชัญผู้ได้รับผลสะเทือนโดยตรงจากการปฏิวัติสยาม
มรดกจอมพล ป. พิบูลสงคราม
 
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นข้ออ้างที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ใช้เพื่อออก พ.ร.บ.การพิมพ์ มาเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน กฎหมายดังกล่าวยังมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน ในภาพคือกองทัพญี่ปุ่นที่เดินทัพผ่านประเทศไทยเพื่อไปยึดมลายูในวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
“เพราะเรามีนักการเมืองที่ใจแคบและมีความคิดบ้องตื้นเช่นนั้น หนังสือพิมพ์ของเราจึงต้องเป็นฝ่ายค้านรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา” 
กุหลาบ สายประดิษฐ์ (๒๕๐๐) 
 
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีร่วม ๑๖ ปี ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (๒๔๘๑-๒๔๘๗, ๒๔๙๑-๒๕๐๐) มีความสำคัญยิ่งต่อสังคมไทย หลายอย่างที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันเป็นผลผลิตมาจากการเมืองยุคนั้น และหนึ่งในนั้นคือ “แอก” สำคัญของสิ่งพิมพ์ปัจจุบัน นั่นคือ พ.ร.บ. การพิมพ์ ๒๔๘๔ 
 
ยุคแรกของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (๒๔๘๑-๒๔๘๗) เริ่มต้นด้วยการจับกุมฝ่ายตรงข้ามและตั้งศาลพิเศษพิพากษาประหารนักโทษการเมืองรวม ๑๘ คน พร้อมกันนั้นรัฐบาลก็ได้ดำเนินนโยบายชาตินิยมทางการทหารและต่อต้านคนจีน 
 
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ อุบัติขึ้นในยุโรปเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๔๘๒ ถึงแม้รัฐบาลจะประกาศวางตัวเป็นกลาง แต่ก็ได้อาศัยข้ออ้างเรื่องความมั่นคงออก พ.ร.บ. การพิมพ์ ๒๔๘๔ เนื้อหาใจความของกฎหมายฉบับนี้อยู่ที่มาตรา ๙ ที่ระบุว่า เมื่อเห็นว่าสิ่งพิมพ์ใด “อาจจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ก็สามารถ “ห้ามการขายหรือจ่ายแจก และให้ยึดสิ่งพิมพ์นั้น” ซึ่งเริ่มต้นด้วยการห้ามหนังสือภาษาจีน เช่น เลียกลือท้วน ตงกกชุดโล่ว ฯลฯ 
 
เพียง ๒ เดือนให้หลัง ญี่ปุ่นก็บุกไทยในวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ แต่รัฐบาลกลับร่วมมือกับญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดขบวนการใต้ดินต่อต้านรัฐบาลและขับไล่กองทัพญี่ปุ่น รัฐบาลถือโอกาสนี้เข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ทุกประเภทหนักมือยิ่งขึ้น ข่าวการเมืองทุกชิ้นต้องส่งให้รัฐบาลพิจารณาก่อนตีพิมพ์ รวมทั้งมีการ “บังคับ” ให้หนังสือพิมพ์ลงข้อความโฆษณารัฐบาลที่หน้าปกทุกฉบับ เช่น “เชื่อผู้นำทำให้ชาติพ้นภัย” “ความปลอดภัยของชาติอยู่ที่เชื่อผู้นำ” ฯลฯ 
 
ในช่วงนั้นถ้าจะเผยแพร่ความคิดโดยเสรีก็ต้องทำหนังสือ “ผิดกฎหมาย” เช่น มหาชน ฉบับใต้ดิน ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่มีไว้เพื่อต่อต้านรัฐบาลจอมพล ป. และกองทัพญี่ปุ่นโดยตรง 
 
ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจอยู่ในมืออย่างล้นเหลือ แต่จอมพล ป. กลับแพ้ภัยตัวเองเมื่อแพ้การลงคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรในกรณีการย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์ จนต้องลาออกจากตำแหน่ง และถูกแทนที่ด้วยรัฐบาลเสรีไทยซึ่งได้นำประเทศไทยผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยไม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ 
 
รัฐบาลหลังสงครามได้เปิดเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น มีการยกเลิก พ.ร.บ. คอมมิวนิสต์ ๒๔๗๖ รวมทั้งอนุญาตให้ตั้งพรรคการเมือง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ทำคือยกเลิก พ.ร.บ. การพิมพ์ ๒๔๘๔ แม้รัฐบาลจะปล่อยให้มีการรวมกลุ่มทางการเมืองอย่างเปิดเผย แต่เสรีภาพทางการเมืองก็เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเมื่อเกิดรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ คณะรัฐประหารได้ตั้งนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกฯ หุ่นเชิดจนถึงปี ๒๔๙๑ ต่อมาจอมพล ป. ก็กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง 
 
ยุคที่ ๒ ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (๒๔๙๑-๒๕๐๐) เริ่มต้นด้วยการสังหารนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเช่นเดิม แต่ครั้งนี้การต่อต้านมีมากขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มนักหนังสือพิมพ์ที่มี กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นหลัก ซึ่งนอกจากจะทำการต่อต้านในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนแล้ว นักหนังสือพิมพ์เหล่านี้ยังได้จัดตั้งคณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย จนเป็นเหตุให้มีการจับกุมครั้งใหญ่ในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๕ หรือที่รู้จักกันในนาม “กบฏสันติภาพ” พร้อม ๆ กับการกลับมาของ พ.ร.บ. คอมมิวนิสต์ ในอีก ๓ วันต่อมา 
 
สิ่งที่ต้องบันทึกไว้ด้วยก็คือ ยุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเย็นระหว่าง “โลกเสรี” ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา กับ “โลกคอมมิวนิสต์” ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นแกนนำ โดยที่รัฐบาลไทยมีจุดยืนเคียงข้างสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่หนังสือต้องห้ามกว่า ๒๕๐ รายการส่วนใหญ่มาจากสหภาพโซเวียต เช่น รวมเรื่องสั้นของกอร์กี้ โดย แมกซิม กอร์กี้ ลัทธิมาร์คซ์และการปฏิวัติ โดย เลนิน ความหมายสากลแห่งการปฏิวัติเดือน ๑๐ โดย สตาลิน 
 
แต่อำนาจเผด็จการก็ไม่สัมบูรณ์ ขณะที่นโยบายรัฐบาลคล้อยตามสหรัฐอเมริกาอยู่นั้น แนวคิดสังคมนิยมก็ถูกจุดให้เป็นทางเลือกของสังคมผ่านนักคิดนักเขียนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่า “ฝ่ายก้าวหน้า” เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ อัศนี พลจันทร์ จิตร ภูมิศักดิ์ ฯลฯ พวกเขาไม่เพียงแต่มีฝีไม้ลายมือในการขีดเขียนเท่านั้น แต่ข้อเขียนที่สื่อออกสาธารณะยังกระตุ้นเตือนให้เห็นถึงความฉ้อฉลของรัฐบาลและปลุกให้คนไม่ยอมจำนนกับระบอบเผด็จการ 
 
จนเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ได้ทำการรัฐประหาร เป็นการปิดฉากทางการเมืองของจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยมีมรดกชิ้นสำคัญที่ทิ้งไว้คือ พ.ร.บ. การพิมพ์ ๒๔๘๔ ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐ “ห้ามหนังสือ” มาจนถึงปัจจุบัน
ยุคสมัยแห่งความเงียบ
 
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ อาศัยอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ จับกุมนักคิดนักเขียนฝ่ายก้าวหน้าจำนวนมากไว้ในคุกลาดยาวโดยไม่มีการสอบสวน แต่ก็เป็นเพียงการจับกุมทางกายภาพเท่านั้น เพราะนักคิดนักเขียนเหล่านี้ยังเต็มเปี่ยมด้วยความคิดและอุดมการณ์
ต่อมา การ “รัฐประหารตัวเอง” ของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ ก็ได้นำมาสู่การยกเลิกรัฐธรรมนูญ รัฐสภา และพรรคการเมือง พร้อม ๆ ไปกับการจำกัดเสรีภาพทางการเมืองแทบทุกด้าน สฤษดิ์สั่งจับกุมนักคิดนักเขียนฝ่ายก้าวหน้าจำนวนมาก คนที่เหลือถ้าไม่ลี้ภัยทางการเมืองก็ต้องยุติบทบาททางการเขียนลง หรือหากจะอยู่บนเส้นทางวรรณกรรมต่อไปก็ต้องเปลี่ยนไปเขียนเรื่องแนวโรแมนติก เช่นกรณีของ “รพีพร” หรือ สุวัฒน์ วรดิลก 
 
สิ่งที่ขาดไม่ได้ของรัฐเผด็จการทุกแห่ง คือการสั่งปิดหนังสือพิมพ์ และประกาศรายชื่อหนังสือต้องห้าม 
 
( มีต่อ )