หนังสือดี มีคนอ่าน
หลังจากใช้เวลาในการค้นหากิจกรรมและสารพัดข้อเสนอทางนโยบายเพื่อเนรมิตสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการอ่าน บรรดาผู้สร้างสรรค์หนังสือเด็ก บรรณาธิการและนักกิจกรรมก็ค้นพบข้อสรุปสำคัญอันหนึ่งว่า สิ่งแรกที่เราจำเป็นต้องมีสำหรับภารกิจนี้ก็คือ “หนังสือดีๆ” นั่นเอง
บรรณาธิการสำนักพิมพ์คุณภาพอย่างสำนักพิมพ์ผีเสื้อ- มกุฏ อรดี เชื่อว่า “การทำหนังสือดี ก็เสมือนสร้างโบสถ์วิหาร และการมีโอกาสอ่านหนังสือดี นับเป็นโชคของมนุษย์”
อันที่จริง หนังสือ โดยตัวของมันเองนั้นเป็นสิ่งดีและเป็นสื่อส่งเสริมการอ่านที่สุดยอดอยู่แล้ว ข้อนี้ได้รับการยืนยันจาก นิวยอร์คไทมส์ ซึ่งเคยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบมาเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบสอดคล้องกับสรีระมนุษย์ที่สุดในรอบ 1,000 ปี ปรากฏว่า “หนังสือ” ได้รับการลงคะแนนให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบสอดคล้องกับสรีระของมนุษย์ที่สุด–ในที่นี้หมายถึงหนังสือเล่มที่ถือกำเนิดเมื่อการพิมพ์เฟื่องฟูในศตวรรษที่ 18 ไม่ได้ย้อนไปไกลถึงยุคบาบิโลนที่หนังสือเป็นแผ่นดินเหนียววางซ้อนกันไว้เป็นกอง หรือหนังสือในจีนยุคเริ่มแรกที่เป็นม้วนจากกระดาษแผ่นเดียว
นอกเหนือไปจากโดดเด่นในเรื่องการออกแบบให้มนุษย์ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ผู้เชี่ยวชาญยังยกย่องให้หนังสือเป็น “ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมเต็มชีวิตและพามนุษย์ข้ามพรมแดนความรู้ ความรู้สึก เหตุผล ปัญญาและอารมณ์ ไปสู่สถานการณ์อันแปลกใหม่” อีกด้วย
ถึงผู้เชี่ยวชาญจะไม่บอก เราทุกคนย่อมสัมผัสได้ด้วยตัวเองว่าหนังสือดีอย่างไร—หนังสือไม่ต้องเสียบปลั๊ก เปลี่ยนถ่าน ซ่อมไม่ยาก ไม่มีวันหมดอายุ พกพาไปได้ทุกที เปิดอ่านได้ทุกเวลาและทุกท่า จะนอนอ่าน นั่งอ่าน หรือยืนอ่านบนรถไฟฟ้าก็ย่อมทำได้ ฯลฯ
แม้ว่าหนังสือจะได้รับการสรรเสริญเยินยอมากมาย แต่การเกิดขึ้นของสื่อออนไลน์และสื่ออิเลคทรอนิคส์อย่าง kindle (หนังสืออิเลคทรอนิคส์) ก็ทำให้คนที่อยู่ในวงการหนังสือเล่มหวั่นไหวไปได้เหมือนกันว่าอวสานของหนังสือและสิ่งพิมพ์ใกล้มาถึงแล้วจริงหรือ ความหวั่นไหวนี้ส่งผลให้ผู้ผลิตหนังสือเร่งปรับตัวพัฒนา “ผลิตภัณฑ์” ของตัวเองให้ดีขึ้นทั้งในด้านดีไซน์และเนื้อหาเพื่อพยายามรักษาคะแนนนิยมในกลุ่มผู้บริโภคเอาไว้อย่างเต็มที่
งานวิจัยเกี่ยวกับการอ่านของเด็กอายุ 5-17ปี ในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2008 พบว่า 1 ใน 3 ของเด็กที่สำรวจทั้งหมด (จำนวน 501 ราย) ใช้เวลาออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตทุกวัน เด็กที่อายุมากกว่า 8 ปีขี้นไป (9-17 ปี) จะเริ่มใช้เวลาในแต่ละวันออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตมากกว่าการอ่านหนังสืออ่านเล่น อย่างไรก็ตาม เด็กส่วนใหญ่ (ร้อยละ 62) ชอบอ่านหนังสือที่เป็นเล่มมากกว่าการอ่านในคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์มือถือ และเห็นว่าเทคโนโลยีเป็นเพียงส่วนช่วยเสริมการอ่านเท่านั้น
สำหรับประเทศไทย สถานการณ์อาจจะยังไม่น่ากังวลนัก ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ในปี 2551 มูลค่าตลาดหนังสือรวมในประเทศมีประมาณ 18,900 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 3.2 จากปี 2550 (18,300 ล้านบาท) จำนวนหนังสือใหม่ที่เข้าสู่ร้านหนังสือเฉลี่ยประมาณ 1,112 ชื่อเรื่องต่อเดือน (13,344 ชื่อเรื่องต่อปี) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.4 จากปีก่อนหน้า สำนักพิมพ์ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 512 สำนักพิมพ์แล้ว
แม้ตัวเลขจะพอทำให้ใจชื้นได้บ้าง แต่บรรดาคนทำหนังสือโดยเฉพาะหนังสือเด็กก็ไม่ชะล่าใจและยังคงหาทางทำหนังสือให้ดูดีที่สุด ตั้งแต่การออกแบบปก รูปเล่ม และภาพประกอบ ทำวิจัยความพึงพอใจของผู้อ่านแต่ละกลุ่มตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยทำงาน ไปจนกระทั่งถึงการปรับปรุงด้านเนื้อหาให้โดนใจผู้อ่านมากที่สุด
นักส่งเสริมการอ่านพบว่า ความประทับใจจากหนังสือที่อ่านในวัยเด็กจะยังติดตรึงฝังใจกระทั่งถึงวัยผู้ใหญ่และยังคงอยู่ตลอดไป ผู้ใหญ่หลายคนยังจดจำ นกกางเขน แบบเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ได้ดีเพราะฝังใจกับเรื่องราวของลูกนกกางเขน 4 ตัวที่ชื่อ นิ่ม นิด หน่อย น้อย หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือหายากและราคาสูง จนกระทั่งมีการเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการนำกลับมาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง โดยส่วนมากผู้ใหญ่จะซื้อไปให้ลูกหลานอ่าน นี่จึงเป็นดังข้อสรุปของคำกล่าวขานว่าหนังสือเป็น “สื่อแห่งสุนทรีย์”
ทำหนังสืออย่างไรให้ติดตราตรึงใจผู้อ่านเหมือนอย่าง นกกางเขน จึงเป็นโจทย์ท้าทายของผู้ผลิตหนังสือ ส่วนจะทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชนไทยรู้จัก เข้าถึง และหยิบหนังสือดีๆ ขึ้นมาอ่านนั้นเป็นโจทย์ท้าทายของทุกๆ ฝ่ายในบ้านเรา
ภาพจาก : http://mblog.manager.co.th/