หนังสือดีเด่นเซเว่นบุ๊คอวอร์ด’54

เวียนมาเป็นปีที่ 8 แล้ว…สำหรับการประกวดหนังสือดีเด่นรางวัล 'เซเว่นบุ๊คอวอร์ด' เวทีที่สร้างนักเขียนฝีมือดีมากมายตลอดจนผลิตหนังสือคัดสรรออกสู่ตลาดวรรณกรรมบ้านเราอีกมากเช่นกัน และในปีที่ 8 นี้เอง วรรณกรรมนับร้อยเรื่องจาก 7 ประเภท ได้รับการกลั่นกรองจนเหลือเพียงผลงานที่คณะกรรมการทุกคนต่างยอมรับว่าดีพอจะประทับตราบนหน้าปกว่า "หนังสือดีเด่น"
แน่นอนว่าบนเวทีแห่งการแข่งขันย่อมมีทั้งผู้สมหวังและผิดหวัง แต่ไม่ใช่สำหรับเวทีเซเว่นบุ๊คอวอร์ดนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นที่หนึ่ง ที่สอง หรือที่ใดๆ ล้วนแต่ได้รับคำชื่นชมไม่น้อยหน้ากัน ด้วยเนื้องานอันประณีต ซึ่งบรรดานักเขียนบรรจงสรรค์สร้างจากดวงใจผ่านปลายปากกาสู่นักอ่าน
นักเขียนมือรางวัลแต่ละคนย่อมมีกลเม็ดเด็ดพรายเฉพาะตัว…คงจะดีไม่น้อยหากพวกเขายอมเปิดเผยการทำงาน แนวคิด ตลอดจนเคล็ดวิชาเหล่านั้นให้พวกเรายินยล
ต่อไปนี้คือคำบอกเล่าจากผู้ชนะเลิศ ดูสิว่า…พวกเขามีอะไรดี จึงชนะใจกรรมการและคว้าชัยไปได้
-1-
สำหรับ กฤษณา อโศกสิน ตัวแทนจากฟากฝั่งนวนิยาย เจ้าของผลงาน น้ำเล่นไฟ ซึ่งได้รางวัลชนะเลิศ เปิดเผยเกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้ว่า…
"น้ำเล่นไฟเป็นนวนิยายชีวิตของเกษตรกรที่ดำเนินรอยตามพระราชดำริโดยยึดหลักทฤษฎีใหม่ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเกษตรกรยุคใหม่ที่มีน้ำใจสะอาดคือไม่ทำร้ายผู้บริโภค มีคุณธรรมและจริยธรรมในการผลิตผลการเกษตร ซื่อสัตย์สุจริตต่ออาชีพ ผสมผสานกับชีวิตของเจ้าของตลาดสดที่มีอุดมคติว่าจะให้ตลาดของตัวเองเป็นตลาดที่น่าซื้อและไม่ทำร้ายผู้บริโภคโดยขายเฉพาะสินค้าปลอดสารพิษ
ข้อมูลสิ่งที่เขียนนำมาจากประสบการณ์ ความรู้รอบตัว และข้อมูลที่เราจะต้องหามาเพิ่มเติม บางทีความรู้ของเรามีจำกัด เพราะฉะนั้นก็จะต้องหาความรู้ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมอยู่เสมอ รวมทั้งข้อมูลที่เราให้ผู้อื่นช่วยหาให้
มีบางครั้งที่คิดไม่ออกแต่ว่าเป็นบางตอนเท่านั้นเอง ไม่ใช่ทั้งเรื่องเพราะการเชื่อมตอนต่อตอนเราต้องคิดมาก บางครั้งร่างกายอาจจะไม่พร้อมเช่นยังคิดไม่ออก หรือว่ามึนศีรษะ ต้องพักไว้ก่อน อาจจะไปทำอะไรอย่างอื่นคั่นเวลา แล้วก็กลับมาคิดใหม่ ถ้าคิดใหม่แล้วยังไม่ดี ก็ต้องรื้อเป็นหน้าๆ เหมือนกัน เพราะถ้าเขียนใหม่แล้วรู้สึกว่ายังไม่คมคายเท่าไร มันออกจะจืดๆ ก็เปลี่ยนได้ทันที ยังไม่สายเกินไป แต่พูดถึงโครงเรื่องใหญ่แล้วก็จะแน่นอน เพราะได้ทำพล็อตไว้ตั้งแต่แรก ก็ไม่ขัดข้องกับโครงเรื่องใหญ่ เพียงแต่ว่าขัดข้องระหว่างทางที่จะเชื่อมประสานตอนต่อๆ ไป
สำหรับเทคนิคบางทีอธิบายยาก ถ้าเป็นหลักการใหญ่ๆ อาจจะบอกได้ มีหลายข้อเหมือนกัน เวลาผูกเรื่องแล้วมีเงื่อนปมที่จะคลี่คลายต่อไปได้ก็จะทำอย่างนั้น เมื่อเราเกิดความบันดาลใจจะผูกเรื่องใดขึ้นมา ส่วนมากเราต้องหาเงื่อนปมที่จะคลี่คลายไปได้เรื่อยๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจของผู้อ่าน ปมนี่เราจะตั้งไว้ตั้งแต่แรกเลย คือโครงเรื่องใหญ่จะต้องมีเงื่อนปมที่น่าสนใจ สามารถติดตามไปจนตลอดเรื่อง
ภาษา ลีลา สำนวนก็สำคัญมากเหมือนกัน ถ้าภาษาไม่ดีผู้อ่านก็ไม่สนใจ บางคนอ่านเรื่องอะไรก็ตามพออ่านไปได้สัก 2 – 3 บรรทัดเขาบอกไม่อ่านแล้วเพราะว่าไม่ประทับใจ ไม่กินใจ เราจะต้องมีภาษาไทยที่ดี ที่จะจูงใจดึงดูดผู้อ่านให้ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ"
-2-
ส่วนผู้คว้าชัยในประเภทสารคดี องค์ บรรจุน นักเขียนเจ้าของผลงานเรื่อง สยามหลากเผ่าหลายพันธุ์ เปิดเผยว่า…
"หนังสือเล่มนี้เป็นแค่ตัวอย่างที่นำมาลงไว้ได้ 22 เรื่อง จากการพบปะพูดคุยกับตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ 22 กลุ่ม หรือมากกว่านั้น มีเกร็ดย่อยที่รวมอยู่ข้างในที่มาจากการสัมภาษณ์ผู้คน ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำเป็นเรื่องเป็นเล่ม เขียนเป็นตอนๆ ทยอยลงในศิลปะวัฒนธรรมของมติชน ก็เขียนไปเรื่อยๆ ด้วยความสบายใจ ความสนุกที่อยากจะทำ เขียนตั้งแต่ปี 2547 พอมารู้ตัวอีกทีก็ปี 2553 มีเนื้อหาที่ร้อยเรียงโยงใยเกี่ยวพันกับเรื่องชาติพันธุ์ต่างๆ ในเมืองไทยอยู่มาก น่าเอามารวมไว้ในที่เดียวกันก็เป็นหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
ย้อนความไปนิดหนึ่ง ผมเองก็มีชาติพันธุ์เชื้อสายมอญ แต่เกิดในเมืองไทย ชั่วอายุคนที่ 5 – 6 แล้ว ก็เริ่มจากการปฏิเสธตัวเองก่อนที่เราจะเป็นมอญ คือเราเกิดมาก็เป็นมอญ ภาษาแรกก็พูดมอญแล้วพอเราเข้าโรงเรียนเราถูกปฏิเสธ คุณครูจะทำโทษถ้าเด็กพูดมอญในโรงเรียน เราก็เลยหนีความเป็นตัวเอง เราไม่อยากเป็นมอญ พอวันหนึ่งมันหนีไม่พ้น เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้อ่านประวัติศาสตร์ เราก็เจอตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยตรงนั้นตรงนี้เรื่อยๆ ความเป็นมอญในตัวเราที่เกี่ยวพันกับสังคมไทยก็ไม่ได้น่าอาย ก็เลยศึกษาเรื่องของตัวเองมาเรื่อยๆ จนรู้ว่าเราก็เป็นบุคคลที่อยู่ในสังคมไทยได้อย่างสง่าผ่าเผย มีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ มีวัฒนธรรมประเพณีที่สอดคล้องกับสังคมไทย พอศึกษาตัวเองมาถึงจุดหนึ่งการจะรู้ตัวเองมันก็เป็นการไปกดทับกับคนอื่นๆ ด้วย ศึกษามาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีแรก ประมาณ 10 กว่าปี พอศึกษาเรื่องมอญมากๆ ก็ไปกดทับเพื่อนๆ พี่น้องของเรา ซึ่งเป็นจีน ลาว ญวน เขมร เวียดนาม ที่อยู่ร่วมกับเราในสังคมไทย เพราะฉะนั้นเราก็จำเป็นต้องรู้คนอื่นด้วย เพื่อจะอยู่ร่วมกับคนอื่น อยู่กับความแตกต่าง อยู่ด้วยความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน
หากได้อ่าน อย่างน้อยผู้อ่านก็จะรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ในสังคมไทยประกอบด้วยคนหลากหลาย ถ้าเราตัดในเรื่องของความเป็นชาติพันธุ์ออกไป ถ้ามองในแง่หนึ่งอาจจะเป็นการแบ่งแยก คุณเป็นเขมร คุณเป็นลาว คุณเป็นไทย แต่จริงๆ แล้วโดยทั่วไปมนุษย์เรามีความเป็นปัจเจกบุคคลอยู่แล้ว มีความเป็นชุมชนนิยม อัตนิยมอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเราเป็นไทยทั่วไปแต่เราก็ยังมีสมาคมศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ศิษย์เก่าจุฬาฯ การแข่งเรือระหว่างหมู่บ้านมันก็น่าจะสนุกกว่าการแข่งเรือในหมู่บ้านเดียวกัน
สยามหลากเผ่าหลายพันธุ์มีเชิงอรรถอยู่ด้วย ไม่มีก็ได้เขาก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่ก็มีเชิงอรรถด้วยต้องการแสดงให้เห็นอะไรบางอย่างว่าแหล่งข้อมูลของเรามีที่มาเป็นอย่างไร แล้วคนที่สนใจจะตามไปดูที่มาต้นตอเป็นอย่างไรก็ดูที่เชิงอรรถได้ การเขียนลักษณะนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเขียนเชิงวิชาการซึ่งทำให้คนเข้าถึงยาก มีลูกเล่นได้ ใส่กลยุทธ์ในการเขียนได้ การขึ้นต้นการจบท้ายอาจจะหยิบยืมกลวิธีการเขียนเรื่องสั้นมาใช้บ้างก็ได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง อาจจะเปิดหัวด้วยการตั้งคำถาม โยนคำถามไปในวงนักอ่าน วงสังคมว่ามันคืออะไร ข้อสรุปนิดๆ อาจจะไม่สรุปมาก แล้วค่อยคลี่คลายไปเรื่อยๆ ยกหลักฐานยกสิ่งต่างๆ อ้างแล้วก็ขมวดปมทิ้งท้ายอย่างหนักแน่นว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการให้ผู้อ่านได้รับรู้"
-3-
สำหรับ ชนประเสริฐ คินทรักษ์ นักเขียนรางวัลชนะเลิศประเภทวรรณกรรมสำหรับเด็ก จากเรื่อง นักล่าผู้น่ารัก กล่าวว่า…
"นักล่าผู้น่ารักเป็นเรื่องราวของสุนัข 2 ตัวมีที่มาที่แตกต่างกันสุดขั้ว แต่ว่ามีเหตุบังเอิญให้ทั้ง 2 ต้องออกเดินทางร่วมกัน เพื่อไปตามหาสิ่งที่ตัวเองขาดหาย ตัวหนึ่งตามหาอดีตที่ตัวเองโหยหา โดยที่อีกตัวหนึ่งออกไปตามหาความหมายคุณค่าของชีวิต ทั้งสองออกเดินทางไปด้วยกันถึงแม้สุดท้ายจะไม่ได้พบสิ่งที่ตัวเองคาดหมายแต่สิ่งที่ได้มาตลอดการเดินทางก็คือประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้ทั้งสองรู้จักความยิ่งใหญ่ของคำว่ามิตรภาพ
แรงบันดาลใจเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากเรื่องแรกคือ 'บันทึกสี่เท้า จากหัวใจผู้ไร้บ้าน' ที่ได้เขียนเป็นเล่มแรก เรื่องราวทั้งหมดมาจากการที่เรารับเลี้ยงสุนัขจรจัด สุนัขที่ถูกทอดทิ้ง เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับสุนัขกลุ่มนั้น หลังจากนั้นก็เริ่มมองเห็นว่าจริงๆ แล้วมีสุนัขอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้ไร้บ้าน เขามีบ้านแต่เป็นบ้านที่ไม่ได้ให้ความรักกับเขา เปรียบเสมือนเขาเป็นสุนัขจรจัดอยู่ในบ้านของตัวเอง ซึ่งตรงนี้หลายๆ คนอาจจะไม่ได้มองเห็นเขา หรือว่ามองผ่านว่าเขาก็มีชีวิตที่ดี มีบ้าน มีเจ้าของ แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่เขาต้องการสิ่งที่สำคัญคือความรัก เลยมีเรื่องนักล่าผู้น่ารักเกิดขึ้นมา เพื่อที่จะเรียกร้องให้ผู้คนที่เลี้ยงสุนัขว่าอย่ามองเขาเป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่งในบ้าน ให้มองว่าเขาเป็นชีวิต
สำหรับนักล่าผู้น่ารักไม่มีคำว่าตันหรือคิดไม่ออกค่ะ อาจจะด้วยว่าใช้หลักการเขียนที่เรียนมาด้านการออกแบบ ซึ่งจะมีขั้นตอนที่กำหนดรูปแบบของงาน อย่างเช่นเราตั้งโจทย์ว่าเราจะเขียนอะไรจากนั้นเราก็ทำการตรวจทานกับตัวเองว่าเราต้องการสื่ออะไรในงานออกแบบคือเป็นคำว่า Conceptual แนวความคิดคืออะไรจากนั้นก็วางโครงเรื่องเป็นตอนๆ ลักษณะคล้ายๆ การออกแบบวางแผน คือวางไว้ครบหมดแล้วทุกตอนแล้วก็ค่อยไปเริ่มลงรายละเอียดในแต่ละตอน สุดท้ายเก็บงานตกแต่งด้วยการขัดเกลาภาษาอีกครั้งหนึ่ง
โดยส่วนตัวสิ่งเดียวที่คิดก็คือว่าทำอย่างไรให้ผู้อ่านรักตัวละครของเรา วางภาพเขาให้โดดเด่นจนคนรักเขา สุดท้ายเมื่อเกิดจุดเปลี่ยนแปลงพลิกผัน ทำอย่างไรให้คนที่อ่านเทใจเอาใจช่วยเขาไปให้ถึงตอนจบ
ถ้าจะให้แนะนำนักเขียนที่อยากเขียน คือ หนึ่งเขียนสิ่งที่เรารู้จริง สองถ้าโดยส่วนตัวแล้วมีโอกาสที่จะเข้าไปอบรมกับวิทยากร นักเขียนที่มีประสบการณ์ก็เข้าไปทำตรงนั้น เวลาที่ได้รับมอบหมายให้เขียนงานอะไร ให้ทำเพราะว่านั่นเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่จะได้รับคำวิจารณ์จากผู้ที่มีประสบการณ์และทรงคุณวุฒิ สามคือเมื่อเราเขียนแล้วยอมรับฟังคำวิจารณ์ เอาให้คนอื่นอ่านเพื่อที่จะรับฟังความเห็น รับฟังหลายๆ ความเห็นแล้วนำมาปรับแก้ไข บางครั้งเขียนเสร็จแล้ววางไว้ก่อน 7 วันมาอ่าน อ่านแล้ววางอีกทีหนึ่งมีอะไรแก้ไหม อีกเดือนหนึ่งมาอ่านมีอะไรแก้ไหม แก้จนที่ตัวเองคิดว่าไม่มีอะไรแก้แล้วก็ส่งให้คนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจหรือว่าน่าจะให้ความเห็นดีๆ กับเราได้ แล้วก็นำคำวิจารณ์กลับมาปรับปรุง ทำอย่างตั้งใจให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้"
-4-
และมาถึงตัวแทนจากฝั่งนิยายภาพหรือการ์ตูนอย่าง เดอะดวง วีระชัย ดวงพลา ผู้รังสรรค์ My Inspiration อย่างวิจิตรจนได้รับรางวัลชนะเลิศไปอย่างไม่ยากเย็น เปิดเผยว่า
"เนื้อหาของ My Inspiration ตรงตามชื่อเรื่องคือแรงบันดาลใจทั้งหมด 7 เรื่อง เรื่องการตีความของผู้อ่านแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันแต่ว่าจุดประสงค์จะเป็นจุดประสงค์เดียวกัน แต่ละเรื่องมีคอนเซปต์อยู่แล้ว อย่างเรื่อง 'ไข่' สะท้อนปัญหาสังคม ไข่เป็นตัวแทนของเด็กที่ถูกทิ้ง เวลาแม่มีลูกที่ไม่ต้องการให้เกิด พอเกิดแล้วไม่อยากเลี้ยงก็เอาเด็กทิ้ง ก็เปรียบเป็นไข่ พอฟักออกมาก็เป็นปัญหาสังคม เรื่องก็จะเป็นแนวสะท้อนสังคมทั้ง 7 เรื่อง บางเรื่องก็ให้กำลังใจ ให้ลุกขึ้นสู้
ผมโตมากับเรื่องสั้น เริ่มเขียนจาก 5 หน้า 10 หน้า 20 หน้า นักเขียนการ์ตูนเกือบทุกคนก่อนเข้าวงการต้องได้ทดลองเขียนเรื่องสั้นซึ่งเป็นบททดสอบแรกว่าเราจะสรุปเรื่องราวภายในจำนวนหน้าที่จำกัด น้อยๆ แล้วให้ได้ใจความ มันเป็นโจทย์ที่ยากแต่ก็จะมีประเด็นหลักๆ อยู่
เวลาคิดไม่ออก วิธีการก็แค่พักผ่อน มันไม่มีวิธีอะไรเลย เลิกคิดเรื่องงานไปเลย ล่าสุด ไม่เกี่ยวกับ My Inspiration ผมได้โจทย์มาโจทย์หนึ่ง เป็นโจทย์ที่ชื่อว่าโลกแตก ในระหว่างนั้นก็มีงานเยอะอยู่ พอได้โจทย์นี้มาทำเราทำงานอื่นไม่ได้เลยเพราะว่าคิดไม่ออก แล้วงานอื่นที่ค้างอยู่ก็พลอยไม่มีอารมณ์ทำไปด้วยเพราะว่าคิดงานนี้ไม่ออกงานเดียว พักผ่อนยังไงก็ไม่ได้ วาดไปคิดไปแล้ว 2-3 เรื่องก็ไม่พอใจ เป็นโจทย์ที่ได้ยินกันมานานว่าโลกจะแตก ก็คิดไป วาดไปเสร็จหลาย 10 หน้าแล้วก็ขยำทิ้งไม่พอใจ จนถึงที่สุดแล้วจะมีแค่แวบหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งที่มันจะเข้ามาในหัว ผมไปมองเรื่องความรักแทน ผมรู้สึกว่าความรักกับโลกแตกนี่มันไปกันได้ เราไม่ต้องมองถึงฉากโลกแตกหรอก เรามองที่ความรัก แต่ผมไม่เฉลยเนื้อเรื่อง (หัวเราะ)
เคล็ดลับในการเขียนเรื่อง พ่อผมสอนไว้ พ่อผมก็เขียนการ์ตูนเหมือนกัน พ่อบอกว่าถ้าจะเขียนเรื่องอะไรให้เขียนเรื่องที่เราเข้าใจ มีเรื่องหนึ่งใน My Inspiration ที่โจทย์เราจะเขียนส่วนไหนของกรุงเทพฯ ก็ได้ ผมเลือกสะพานเหล็ก ลองจินตนาการว่าคนไม่เคยเห็นสะพานเหล็กเลย จู่ๆ ก็ด้นสดเขียนขึ้นมา มันก็ไม่ใช่สะพานเหล็กแล้ว เราก็ควรรู้ว่าสะพานเหล็กมันคืออะไรมันมีอะไรบ้าง แล้วเราก็เขียนมันออกมา ไม่งั้นคนอ่านก็จะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เราสื่อ ถ้าเราเขียนไปมั่วๆ คนอ่านก็ว่าเราได้
สำหรับคนที่อยากเริ่มเขียนการ์ตูนเข้าประกวด พยายามอย่าไปเขียนเรื่องมหากาพย์ ในตอนแรกที่เริ่มเขียนส่วนใหญ่ปัญหาที่พบคือ มหากาพย์ หลายเล่มจบ บางทีแนะนำไปว่าให้เขียนเรื่องสั้นอาจจะไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าอยากให้เข้าใจว่าเขียนเรื่องสั้นดีกว่า เพราะว่าเป็นการสั่งสมประสบการณ์ เมื่อเราผูกเรื่องสั้นแล้วเราคุมมันอยู่ เรื่องยาวแค่ไหนเราก็คุมอยู่เพราะเรามีประเด็น แต่มหากาพย์เรายังไม่รู้เลยว่าเราจะจบอย่างไร อยากให้ทำความเข้าใจกับเรื่องใกล้ตัว เขียนเรื่องที่เรารู้จริง เขียนแล้วสนุกไปกับมัน ถ้าเขียนแล้วเบื่อให้เปลี่ยนเรื่องไปเลย ไม่อย่างนั้นคนอ่านก็จะเบื่อ เบื่อมากกว่าเราด้วยซ้ำ
ส่วนใหญ่ผมจะเขียนเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายเพราะว่าเมื่อเราเข้าใจง่ายคนอื่นจะเข้าใจตาม"
ไม่ว่าจะด้วยวิธีคิด แรงบันดาลใจ หรือ กลวิธีใด วันนี้…รางวัลในมือของพวกเขา ก็เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความมุ่งมั่น ตั้งใจ และ ความรัก คือ ที่มาของความสำเร็จนั่นเอง
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com
โดย : วีรภัทร บุญมา, ปริญญา ชาวสมุน