สุชาติ สวัสดิ์ศรี และเสียงอึกทึกของ “ความเงียบ”

ผมได้รู้จักชื่อ สุชาติ สวัสดิ์ศรี จากที่ใดจำได้ไม่แน่ชัด อาจจากหนังสือแบบเรียนวรรณวิจักษณ์ที่เรียนในชั้นมัธยมเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ในบรรดานักเขียนที่ได้ยินชื่อ อาทิ อาจินต์ ปัญจพรรค์ จ่าง แซ่ตั้ง เสนีย์เสาวพงศ์ ประยอม ซองทอง เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อังคาร กัลญาณพงศ์ ฯลฯ รวมถึง สุชาติ สวัสดิ์ศรี นั้น เหมือนบุคคลในตำนานที่อยู่ห่างไกลจากการรับรู้เหลือเกิน
ในความคิด ความรู้สึกของเด็กบ้านนอกเมื่อ 20 กว่าปีก่อนนั้น ชื่อของนักเขียนเหล่านี้ เป็นชื่อที่ไม่คิดหวังเลยว่าจะได้พบเห็นตัวจริงได้
เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลาย เริ่มหัดเขียนหนังสือ ผมเป็นหนี้ครูสังคมศึกษา (แทนที่จะเป็นครูภาษาไทย) ที่ได้นำพาเข้าสู่โลกของการอ่านและการเขียน พาไปรู้จักงานเขียนจริงๆของนักเขียนที่เอ่ยชื่อข้างต้น รวมถึงสุชาติ สวัสดิ์ศรี โดยมอบหนังสือ “ความเงียบ” ที่ครูเป็นเจ้าของและบอกว่าดีนักดีหนา ให้ผมอ่าน
ผมอ่านตามที่ครูสั่ง จบแล้วเอาหนังสือไปคืนคุณครู
“เป็นไงบ้างบักหำ” ครูถาม
“ไม่รู้เรื่อง” ผมตอบ
ครูหัวเราะฮาฮาชอบใจ แล้วบอกผมว่า “กูก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกับมึงนั่นแหละ”
(โปรดทราบ ครูบ้านนอกเมื่อผมยังเป็นนักเรียนพูดกูๆมึงๆกับลูกศิษย์ ไม่ใช่พูดหยาบ แต่พูดด้วยความรักเป็นที่สุด)
“อ้าว อ่านไม่รู้เรื่องแล้วจะดีได้ยังไงล่ะครู” ผมสงสัย
“เออ มึงไปเรียนมหาวิทยาลัยมึงก็รู้เองนั่นแหละ”
ตอนนั้น ผมคิดว่าคงไม่มีโอกาสเข้าใจ “ความเงียบ” แล้วล่ะ เพราะคงไม่มีวาสนาเรียนมหาวิทยาลัย
ผมก็ไม่ได้นึกฝันหรอกว่า ผมจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่า เป็นมหาวิทยาลัยของประชาชน เป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทยมาตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัย
ในที่สุด มหาวิทยาลัยที่ ศรีบูรพาเขียนไว้ว่า “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” ซึ่งครูสังคมศึกษาหาหนังสือมาให้อ่านนั้น ผมก็ได้มาเป็นนักศึกษาของที่นี่
ปีหนึ่ง เรียนวิชาพื้นฐานที่คณะศิลปศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่สุชาติ สวัสดิ์ศรีเคยเรียนมาก่อน เมื่อสมัยนานมาแล้ว (ในความรู้สึกของผม)
ได้เห็นและได้นั่งที่ลานโพธิ์ ดินแดนในประวัติศาสตร์ที่เคยได้รับรู้เมื่อกาลก่อน
ได้เห็น “ดอกหางนกยูงสีแดงฉาน บานอยู่เต็มฟากสวรรค์” เหมือนที่ วิทยากร เชียงกูล เขียนไว้ไม่มีผิด
ผมเข้าห้องสมุด เปิดดูหนังสือเก่าๆ หาชื่อผู้ยืม ได้เห็นชื่อของ วิทยากร เชียงกูล ชื่อ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ชื่อ อุดร ทองน้อย ในบัตรยืม รวมถึงชื่อ สุชาติ สวัสดิ์ศรี
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ผมได้อ่านความเงียบอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดีแหละครับ
เมื่อเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆนั้น ผมยังไม่ได้เห็นตัวจริงของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี แต่ใกล้ชิดมากขึ้นผ่านนิตยสาร “โลกหนังสือ” ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่หนังสือจะปิดตัวลง
ผมจำไม่ได้ว่า ผมรู้จักตัวจริงของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เมื่อไร ในงานอะไร และ สุชาติ สวัสดิ์ศรี รู้จักผมตอนไหน เนื่องในงานอะไร ผมก็ไม่รู้เช่นกัน
ผมจำได้แต่เพียงว่า ผมเรียกสุชาติ สวัสดิ์ศรีว่า “พี่สุชาติ” ดังเช่นที่คนอื่นๆในรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมเรียกพี่สุชาติ
ในฐานะที่เป็นศิษย์ร่วมสถาบัน แม้จะห่างรุ่นกันนับสิบปี ผมก็ยังมีความรู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆ ว่า เราก็เป็นศิษย์ร่วมสถาบันกับ “ผู้ยิ่งใหญ่” คนหนึ่ง
เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในทางวรรณกรรมที่ผู้คนต่างยอมรับว่าเป็นของจริงแท้แน่นอน
ยอมรับมิใช่เพราะว่า สุชาติ สวัสดิ์ศรี ติดสินบน หรือมีอำนาจแล้วคนต่างกลัวเกรง หากแต่ยอมรับเพราะ สุชาติ สวัสดิ์ศรี คือผู้รู้ที่ รู้ทั้งเปลือก ทั้งกระพี้ และทั้งแก่น ของวรรณกรรม
ที่สำคัญก็คือ รู้แล้วไม่หวงความรู้ และไม่ได้อวดอ้างว่าตนรู้กว่าใครทั้งหมด หากแต่แสดงความรู้นั้นออกมาผ่านงาน ทั้งในฐานะ “สุชาติ สวัสดิ์ศรี” และ “สิงห์สนามหลวง”
หากแม้นจะหาเจ้าหนี้ทางความรู้ในงานวรรณกรรม แน่นอนว่า หนึ่งในเจ้าหนี้ความรู้ของผมก็ย่อมจะเป็นสุชาติ สวัสดิ์ศรี และสิงห์สนามหลวง อย่างเที่ยงแท้แน่นอน
หากเปลี่ยนชื่อจากเจ้าหนี้มาเป็นครู สุชาติ สวัสดิ์ศรีก็นับว่าเป็นครูคนหนึ่ง แม้จะเป็นครูผ่านหนังสือก็นับว่าเป็นครูได้อย่างเต็มความหมาย
ผมได้รู้จัก สุชาติ สวัสดิ์ศรี อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เมื่อผมทำงานที่ BOOK REVIEW และ สำนักพิมพ์คณาธร ภายใต้การสั่งสอนของ อาจารย์มาลา คำจันทร์ กับ พีระ พรหมโสภี หรือนักแปลนาม “พัชรินทร์” ที่บุกเบิกแปลงานของ กาเบรียล การ์เซียร์ มาเกซ คนแรกๆ
ผมได้รู้จักใกล้ชิด “พี่สุชาติ” รวมไปถึง เรืองเดช จันทรคีรี ชมัยภร แสงกระจ่าง สิทธิชัย แสงกระจ่าง (ชื่อเดิม ปัจจุบันคือ ดลสิทธิ์ บางคมบาง) และ “ศรีดาวเรือง” กับ “โมน”
ผมเคยไปเยือนบ้านทุ่งสีกันก่อนจะโดยภัยพิบัติจากการพัฒนาจนต้องโยกย้ายไปที่รังสิต
บ้านทุ่งสีกันที่นอกบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ ในบ้านเต็มไปด้วยหนังสือจนแทบจะไม่มีที่ว่าง.
ผมเคยไปเยือนบ้านใหม่ที่รังสิต ในช่วงที่เจ้าของบ้านเพิ่งไปอยู่ใหม่ๆ พร้อมกับ ไพวรินทร์ ขาวงาม กานติ ณ ศรัทธา ดวงแก้ว กัลญาณ์ วรรณ ณ จันทร์ธาร และมิตรสหายอีกหลายคน
ได้ฟังเรื่องราวอันหลากหลายจากเจ้าของบ้านภายในบ้านที่สร้างยังไม่เสร็จดี แต่ลักษณะอาการของเจ้าของบ้านดูมีความสุขและพอใจในสถานที่ที่เรียกว่าบ้าน
บ้านในสวนที่ต่อมากลายเป็นสถานที่ที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรีได้ปลอดปล่อยพลังสร้างสรรค์เป็นงาน ทั้งงานวรรณกรรมและภาพเขียนในปัจจุบัน
ผมคงต้องหาโอกาสไปเยือนบ้านนักเขียนที่กลายมาเป็นบ้าน “จิตกร” สักครั้งแล้ว
60 ปี สุชาติ สวัสดิ์ศรี ในปี 2548
22 ปีนับจากที่ผมเข้ามหาวิทยาลัย จนถึงบัดนี้ เมื่ออ่าน “ความเงียบ” ผมก็ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่า “พี่สุชาติ” ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ในงานเขียนชุดนั้น หรือแม้กระทั่งชุดต่อๆมา จนถึง “จินตนาการสามบรรทัด” หรืออาจจะแม้แต่ในงานศิลปะ
สำหรับผมแล้ว “ความเงียบ” และ “สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ก็ไม่ต่างจาก “เมตามอร์ฟอซิส” กับ “คาฟก้า” ที่อ่านมา 20 ปีแล้วผมก็ยังไม่รู้ว่า “คืออะไรกันแน่”
รู้แต่เพียงว่า เมื่อนึกถึงทีไรก็ดึงดูดให้อยากอ่าน อยากรู้ อยาก”เคี้ยวกลืน” อยู่เสมอ และจะมีหนังสือสักกี่เล่มที่ทำให้คนต้องตกอยู่ในอาการเช่นนี้ได้ และทำให้ผมเริ่มจะเข้าใจที่ครูสังคมศึกษาบอกไว้ว่า “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” และ “มึงเรียนมหาวิทยาลัยก็จะเข้าใจเอง”
สำหรับผมแล้ว สุชาติ สวัสดิ์ศรี ทำให้ความเงียบไม่เงียบ เพราะดังอึกทึกอยู่ในความคิดคำนึงของผมตลอดมา
60 ปี สุชาติ สวัสดิ์ศรี ผมขอคารวะด้วยความนับถือ
ผมหวังว่า ในวาระ 70 ปี สุชาติ สวัสดิ์ศรี ผมคงจะเข้าใจเสียงของ “ความเงียบ” มากขึ้นกว่านี้.
คอลัมน์โลกใต้กะลากะลาใต้โลก นิตยสาร Politics 2548