สารคดีพิเศษ : หนังสือต้องห้าม ความรู้ที่ถูกจองจำ (ล้อมกรอบ)

หนังสือนักศึกษา สมรภูมิแห่งการห้าม (และการต่อต้าน)
นิยามสั้น ๆ ของหนังสือนักศึกษา คือ สิ่งพิมพ์ทุกชนิดที่จัดทำโดยนักศึกษาในมหาวิทยาลัย กำเนิดของมันมาพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาซึ่งมีอายุมากกว่า ๙ ทศวรรษ หนังสือนักศึกษาจึงเป็นบันทึกแห่งยุคสมัยที่บอกเรื่องราว ความคิด ความฝัน ของพวกเขา/เธอ และแน่นอนระยะเวลาที่ยาวนานนั้นก็ได้บอกเล่าเรื่องราวของการ “ห้ามหนังสือ” ไว้ด้วย
หากจะนับ หนังสือพิมพ์โรงเรียนข้าราชการพลเรือน ซึ่งจัดทำโดยนิสิตแผนกรัฏฐประศาสน์ศึกษาของโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ฉบับปฐมฤกษ์ ๑ มกราคม ๒๔๕๗ ว่าเป็นหนังสือนักศึกษาเล่มแรกแล้ว มหาวิทยาลัย ๒๓ ตุลาคม ๒๔๙๖ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ถูกบันทึกว่าเป็น “หนังสือ (นักศึกษา) ต้องห้าม” เล่มแรกด้วยเช่นกัน
จิตร ภูมิศักดิ์ นิสิตอักษรศาสตร์ สาราณียกรหนังสือเล่มนี้ ได้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่หน้าปกซึ่งจะต้องเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเพียงลายพระหัตถ์ “สยามินทร์” โดยมีพื้นสีดำและวงกลมที่แทนการหมุนไปของโลกและจักรวาล ขณะที่เนื้อหาแต่เดิมคือการเน้นย้ำถึงระบบโซตัส ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นการวิพากษ์วิจารณ์สังคมทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย
แต่หนังสือเล่มนี้ถูกมหาวิทยาลัยระงับการพิมพ์ และเปลี่ยนตัวสาราณียกร จิตรถูกลงโทษด้วยการพักการเรียน และถูกเพื่อนนิสิตพิพากษาด้วยการ “โยนบก” ในวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๔๙๖ แม้หนังสือจะจัดพิมพ์ออกมา แต่ก็ได้มีการตัดบทความในเล่มออกถึง ๒๔ เรื่อง รวมทั้งแก้ปัญหาหน้าปกด้วยการเจาะวงกลมแล้วสอดพระบรมสาทิสลักษณ์ไว้ที่ใบรองปก เพื่อให้ถูกต้องตามประเพณีดั้งเดิม
มหาวิทยาลัย ๒๓ ตุลาคม ๒๔๙๖ ฉบับที่ จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นสาราณียกรจึงกลายเป็น “หนังสือ (นักศึกษา) ต้องห้าม” เล่มแรกที่โด่งดังที่สุด แต่ไม่เคยมีใครได้ครอบครอง
หลังจากนั้นหนังสือนักศึกษาก็มีบทบาทนำในการเสนอประเด็นทางสังคมที่แหลมคม พร้อม ๆ ไปกับการเผชิญกับแรงเสียดทานจากวัฒนธรรมเดิม มหาวิทยาลัยศิลปากร รับน้องใหม่ ๒๕๐๐ ซึ่งตั้งคำถามกับคุณค่างานศิลปะ ก็ถูกเพื่อนนักศึกษารุมฉีกและนำไปเผา ด้วยเหตุว่าไม่ลงพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่กลับไปลงรูปคนต่ำ ๆ (หมายถึงรูปปั้นกลุ่มชาวนาของ ชลูด นิ่มเสมอ) หรือ ธรรมศาสตร์ ฉบับธรรมศาสตร์สามัคคี (๒๕๐๐) ที่หน้าปกเป็นรูปกรรมกรชายหญิง ชูโลกไว้โดยมีนกพิราบบินอยู่ข้างบน ก็มีชะตากรรมเช่นเดียวกัน
แต่นั่นก็ไม่เลวร้ายเท่ากับการที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหาร ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ มีการจับกุมนักคิดนักเขียน ใช้มาตรา ๑๗ ประหารชีวิตผู้มีความเห็นไม่ตรงกับตัวเอง ปิดหนังสือพิมพ์เป็นว่าเล่น ร่องรอยความเป็นเผด็จการของสฤษดิ์เห็นได้จาก ธรรมศาสตร์ ฉบับ ธรรมศาสตร์สามัคคี (๒๕๐๑) ที่เต็มไปด้วยรอยขีดฆ่า และถือว่านี่เป็นการปิดยุคทองของหนังสือนักศึกษาไปพร้อมกัน เพราะหลังจากนั้นบรรยากาศของสังคมไทยก็ได้เข้าสู่ยุค “ความเงียบ”
หลังอสัญกรรมของสฤษดิ์ในเดือนธันวาคม ๒๕๐๖ ได้เกิดวัฒนธรรม “หนังสือเล่มละบาท” ที่จัดทำโดยนักศึกษากลุ่มอิสระในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ลักษณะเด่นของ “หนังสือเล่มละบาท” คือการทำเอง ขายเอง และภายในเล่มอัดแน่นไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเผด็จการอย่างเผ็ดร้อน
๗ สถาบัน ที่นำโดย พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร นักศึกษาแผนกอิสระวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถือว่าเป็นแถวหน้าของแนวรบด้านนี้ ท่ามกลางบรรยากาศเผด็จการ ๗ สถาบัน ได้นำเสนอทั้งเรื่องราวภายนอก เช่นเรื่องสงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นความจริงที่รัฐบาลต้องการปิดบัง และเรื่องภายในมหาวิทยาลัย เช่นการวิจารณ์ปัญหาน้ำท่วมถนนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ซึ่งก็น่าจะไม่มีอะไรถ้าอธิการบดีเวลานั้นไม่ชื่อ จอมพล ประภาส จารุเสถียร) หลังจากนั้น ๗ สถาบัน ก็ปิดฉากลง แต่มันก็ยิ่งทำให้หนังสือนักศึกษาวิจารณ์ระบอบเผด็จการทหารถนอม-ประภาส รุนแรงยิ่งขึ้น
หนังสือนักศึกษาเล่มสำคัญก่อนจะถึง ๑๔ ตุลา คือ มหาวิทยาลัย : ที่ยังไม่มีคำตอบ ของชมรมคนรุ่นใหม่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ออกมาภายหลังการต่ออายุราชการของจอมพล ถนอม กิตติขจร และนำข่าวอื้อฉาวเรื่องการล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่ฯ มาลงประกอบ โดยเล่าถึงเรื่องนี้ด้วยประโยคง่าย ๆ ว่า
สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่
มีมติให้ต่ออายุสัตว์ป่าอีก ๑ ปี
เนื่องจากสถานการณ์ภายในและภายนอก
เป็นที่ไม่น่าไว้วางใจ
จะว่าไปแล้วข้อความแฝงอารมณ์ขันนี้เป็น “อุบัติเหตุ” เพราะขณะปิดต้นฉบับเหลือหน้าว่าง ๑ หน้าจึงได้ใส่ข้อความนี้เข้ามา แต่เผด็จการที่ไหน ๆ ก็ไม่มีอารมณ์ขัน จึงเป็นเหตุให้มีการลบชื่อคณะผู้จัดทำ ๙ คนออกจากการเป็นนักศึกษา เหตุการณ์นี้ได้นำไปสู่การประท้วงใหญ่ครั้งแรกในรอบ ๑๕ ปี ในวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๖ ซึ่งนำมาสู่การเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาในเวลาต่อมา
หลัง ๑๔ ตุลา ความร้อนแรงของหนังสือนักศึกษาได้ส่งต่อไปยัง หนังสือนักเรียน และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวถึง ศึก หนังสือประจำปี ๒๕๑๗ ของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ประชา สุวีรานนท์ สาราณียกร ได้เปลี่ยนทั้งรูปแบบและเนื้อหาหนังสือรุ่นธรรมดาเล่มหนึ่งมาเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาโจมตีระบบการศึกษาอย่างรุนแรงและเรียกร้องให้นักเรียนมีส่วนร่วมทางการเมือง
แต่เมื่อ ศึก ออกมากลางเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๗ ก็ได้มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งนำมาเผากลางสนามฟุตบอล ติดโปสเตอร์ประณามผู้จัดทำหนังสือทั่วโรงเรียน และพยายามทำร้ายคณะผู้จัดทำ นับว่าเป็นโชคดีของคณะผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้ที่หนีออกมาได้ เพราะมิเช่นนั้นเหตุการณ์เช่นเดียวกับการ “โยนบก” จิตร ภูมิศักดิ์ เมื่อ ๒๑ ปีก่อนหน้า อาจจะกลับมาอีกครั้ง
แต่เสรีภาพหลัง ๑๔ ตุลากลายเป็น “ฤดูกาลอันแสนสั้น” เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็มีการฆาตกรรมกลางเมืองหลวงในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ ซึ่งย้อนยุคกลับไปสู่ระบอบเผด็จการ หนังสือนักศึกษาต้องกลายเป็นสิ่งต้องห้ามไปโดยปริยาย นักศึกษาจำนวนมากต้องหนีเข้าป่าเขา หนังสือพิมพ์ อธิปัตย์ ที่จัดทำโดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย หลัง ๑๔ ตุลาก็ต้องกลายเป็น อธิปัตย์ในสถานการณ์สู้รบที่ปฏิวัติ ขณะที่การเคลื่อนไหวในเมืองต้องทำอย่างหลบซ่อน หนังสือนักศึกษาจึงต้องอำพรางตัวอยู่ในรูปหนังสือเตรียมสอบวิชาต่าง ๆ
น่าเสียดายว่าภายหลังเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลง บทบาทของหนังสือนักศึกษากลับมิได้เป็นธงนำวิพากษ์วิจารณ์สังคมอีกต่อไป แต่นั่นก็ใช่ว่าบทบาทของหนังสือนักศึกษาจะสูญหายไปจากสังคมการเมืองไทย ตราบใดที่พวกเขายังมีความหวังในการสร้างสรรค์สังคมที่ดีกว่า
หนังสือและหนังที่ว่าด้วยการห้ามหนังสือ
เพราะหนังสืออยู่เคียงคู่มากับอารยธรรมมนุษยชาติ ดังนั้นความรู้สึกของคนเราที่มีต่อหนังสือจึงไม่ใช่แค่วัสดุที่แบกเอาข่าวสารข้อมูลมาส่งให้เราเท่านั้น มนุษย์เกือบทุกสังคมได้ฝากฝังสิ่งที่ตนคิดว่ามีคุณค่าอย่างสูงไว้ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาอันลึกซึ้ง งานสร้างสรรค์ทางศิลปะ หรือความรู้วิทยาการที่ตนค้นพบหรือสืบทอดมาไว้ในหนังสือแทบทั้งนั้น
ดังนั้น การห้าม/ทำลายหนังสือ จึงกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจจะยอมรับได้ มีวรรณกรรมจำนวนมากที่นำฉากการห้าม/ทำลายหนังสือ มาเป็นแกนในการดำเนินเรื่อง และเมื่อพูดถึงวรรณกรรมประเภทนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวถึง Fahrenheit 451 (1953) ของ เรย์ แบรดบิวรีย์ นักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ผู้เขียนได้จินตนาการถึงโลกเผด็จการในอนาคตที่หนังสือเป็นสิ่งต้องห้ามที่ผู้ปกครองต้องสั่งเผา ขณะคนที่รักหนังสือก็พยายามต่อต้านโดยการสร้างชุมชนที่ให้สมาชิกช่วยกันจำหนังสือที่ตัวเองชอบ เพื่อสืบทอดมรดกทางความคิดและจินตนาการของตนไว้ โดยตัวเลข “451” ผู้เขียนจงใจใช้เพื่อสื่อไปถึงอุณหภูมิที่เผากระดาษจนมอดไหม้
ขณะที่ The Name of the Rose (1980) ของ อุมแบร์โต เอโก ก็มีฉากที่ว่าด้วยการห้ามหนังสือที่น่าสนใจ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในยุคกลางที่คริสต์ศาสนามีอำนาจครอบคลุมทุกมิติของชีวิต ได้เกิดการฆาตกรรมต่อเนื่องในอารามแห่งหนึ่งในอิตาลี สาเหตุเนื่องมาจากนักบวชอดีตบรรณารักษ์ที่ชื่อ จอร์เก พยายามรักษาหนังสือต้องห้ามที่ว่าด้วยเรื่อง Comedy ของ อริสโตเติล เดิมเคยเชื่อกันว่าหนังสือเล่มนี้หายสาบสูญไปนานแล้วและไม่มีใครเคยอ่าน แต่กลับมาปรากฏอยู่เล่มหนึ่งในหอสมุดของอารามแห่งนี้ สาเหตุที่ “ต้องห้าม” หนังสือเล่มนี้ก็เพราะว่าจอร์เกไม่ต้องการให้บรรดานักบวชในอารามได้อ่านเรื่องที่ว่าด้วยการหัวเราะ เพราะการหัวเราะเป็นการจาบจ้วงความจริงของพระเจ้า เป็นอันตรายต่อคริสต์ศาสนา อดีตบรรณารักษ์ตาบอดผู้ไม่มีอารมณ์ขันรูปนี้เลยวางยาพิษไว้ที่หน้ากระดาษ คนที่มาแอบอ่านจึงถูกยาพิษตาย
นวนิยายทั้งสองเรื่องได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว Fahrenheit 451 ซึ่งคณะบรรณารักษ์แห่งห้องสมุดประชาชนนิวยอร์กเลือกเป็น ๑ ใน ๑๗๒ หนังสือดีในรอบศตวรรษ ประเภทโลกจินตนาการและโลกอนาคต และ “สิงห์สนามหลวง” ยกย่องว่าเป็น ๑ ใน ๑๐ นิยายวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด ชาญ คำไพรัช แปลไว้ในชื่อ ฟาเรนไฮต์ ๔๕๑ อุณหภูมิเผาหนังสือ (๒๕๒๙) ส่วน The Name of the Rose ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิกร่วมสมัยนั้น ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปลไว้ในชื่อ สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ (๒๕๔๑)
นวนิยายทั้งสองเรื่องถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว โดย Fahrenheit 451 กำกับโดย ฟรังซัวส์ ทรุฟโฟต์ ขณะที่ The Name of the Rose กำกับโดย ชอง-ชากส์ อันโนลด์ นำแสดงโดย ฌอน คอนเนรี, คริสเตียน สเลเตอร์
หนังสือและหนังทั้งสองเรื่องนี้นอกจากจะเป็นรายชื่อแนะนำสำหรับหนอนหนังสือและนักชมภาพยนตร์แล้ว ยังเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจในการสั่งห้ามหนังสือทุกคนจะต้องอ่าน/ดู เพื่อจะได้รู้ว่าคำสั่งห้ามหนังสือนั้นส่งผลต่อผู้เขียน/ผู้อ่านมากเพียงใด
หนังสือโป๊ หนังสือต้องห้ามที่ (ไม่) รอวันตาย
เริ่มแรกหนังสือโป๊ (pornography) นั้นหมายถึงหนังสืออะไรก็ตามที่สั่นสะเทือนความเป็นระเบียบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้นนวนิยายอีโรติก (ที่ไม่เพียงนำเสนอเรื่องราวทางเพศเท่านั้น แต่ยังมุ่งที่จะเปิดโปงพฤติกรรมที่เหลวแหลกของชนชั้นสูงด้วย) หนังสือต่อต้านศาสนา (คริสต์) หรือหนังสือปรัชญาการเมือง (ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์) ก็จัดว่าเป็นหนังสือโป๊ทั้งนั้น เชื่อกันว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ๒๓๓๒ ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นได้จากคุณูปการของหนังสือโป๊เช่นกัน
กว่าที่นิยามหนังสือโป๊จะกลายมาเป็นเหมือนที่คุ้นเคยในปัจจุบัน ก็ปาเข้าไปศตวรรษที่ ๑๙ แล้ว
สำหรับสังคมไทยนั้น แม้จะมีความสนใจทางเพศและกามารมณ์ไม่ต่างจากที่อื่น ๆ แต่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า สื่อที่เห็นว่า “โป๊” เช่น ฉากสังวาสในวรรณกรรม จิตรกรรมฝาผนัง หรือเพลงพื้นบ้านที่ปรากฏใน “พื้นที่สาธารณะ” เป็นเพียง “อารมณ์ขัน” มิใช่เรื่องลามกอนาจาร เพราะสังคมไทยเก็บเรื่องนี้ไว้ใน “พื้นที่ส่วนตัว”
ดังนั้นหนังสือโป๊ที่มุ่งในทางกามารมณ์จึงเป็นสิ่งที่รับจากภายนอกอย่างแน่นอน ส่วนจะเข้ามาเมื่อไรนั้นจำเป็นจะต้องสืบค้นกันต่อไป
“หนังสือโป๊” เล่มแรกนั้นน่าจะได้แก่ พระตำหรับโยนี ที่พิมพ์ขึ้นใน ร.ศ. ๑๒๖ หนังสือขนาดเล็กเล่มนี้ตีพิมพ์เพียง ๒๐๐ ฉบับ และมีไว้สำหรับชนชั้นสูงในเวลานั้น เนื้อหาอ้างว่านำมาจากตำราของผู้ที่ได้เคยไปอินเดียและได้ศึกษาว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของร่างกายกับโชคชะตา (Physiognomy) ส่วนสำคัญของเล่ม คือการกล่าวถึงอวัยวะเพศหญิงและชาย เพื่อจำแนกลักษณะที่จะนำไปสู่ชะตากรรมที่แตกต่างกัน โดยภาษาที่ใช้ในเล่มนี้ก็เป็นภาษาปากอย่างที่ใช้กันอยู่ทั่วไป
ส่วนหนังสือโป๊ที่ว่าด้วยกามารมณ์โดยตรงนั้นเฟื่องฟูเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ รู้จักกันในชื่อ “หนังสือปกขาว” ด้วยเหตุที่หน้าปกเป็นสีขาวและมีภาพผู้หญิงฝรั่งขึ้นหน้าปกพิมพ์สีเดียว การเป็นหนังสือ “ใต้ดิน” ทำให้เนื้อหาและภาษาที่ใช้ในหนังสือปกขาวนั้นตรงไปตรงมา ไม่ต้องมีความงดงามทางวรรณศิลป์หรือการเปรียบเทียบใด ๆ ทั้งสิ้น (เพราะเนื้อหาประเภทนี้หาได้จากวรรณกรรมทั่วไป) นักเขียนที่มีชื่อที่สุดคือ “ช้างงาดำ”
หนังสือปกขาวในยุคนั้นหาซื้อได้บริเวณแผงหนังสือท้องสนามหลวง ในราคาประมาณ ๒๐ บาทซึ่งในสมัยนั้นถือว่าแพงเอาการ ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรม “ลงขัน” ซื้อมาอ่านของผู้มีรายได้น้อยหรือนักเรียนนักศึกษาในยุคนั้น
เมื่อเทคโนโลยีการพิมพ์พัฒนาขึ้น ก็มาสู่ยุค “หนังสือปกสี” นอกจากเนื้อหาที่ยัง “เข้มข้น” เหมือนเดิมแล้ว ยังมีการนำภาพสี่สีทั้งที่ขโมยมาจากหนังสือต่างประเทศ หรือไม่ก็เป็นภาพถ่ายของนางแบบไทย มาลงประกอบไว้ด้วย
เมื่อเทคโนโลยีใหม่คือ วิดีโอเทป ที่มีทั้งภาพ (เคลื่อนไหว) และเสียงเข้ามา ทำให้หนังสือปกสีต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่ โดยมีการแบ่งเป็น ๒ ตลาดอย่างชัดเจน โดยตลาดบนมีการการลงทุนจ้างนางแบบ ถ่ายภาพ จัดฉาก อย่างเป็นระบบ พิมพ์สี่สีกระดาษอาร์ตมันทั้งเล่ม ขายในราคาหลักหลายร้อยบาท ขณะที่ตลาดล่างที่มุ่งเน้นผู้มีรายได้น้อย มีการแทรกหน้าสี่สีหน้ากลาง ส่วนเนื้อหาก็มีความหลากหลายขึ้นและมีหลายหัวให้เลือก
ยุคที่หนังสือปกสีรุ่งเรืองนั้น มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่จากสนามหลวงมาสู่สวนจตุจักร และขยายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ สำหรับผู้ชายที่เคยไปเดินแผงหนังสือตลาดนัดสวนจตุจักรคงคุ้นเคยกับคำชักชวนที่ว่า “โป๊มั้ยพี่” กันดี เมื่อเข้าสู่ยุคสารสนเทศ มีอินเทอร์เน็ตที่เปิดทางเข้าสู่ “เว็บโป๊” มากมายทั้งไทยและเทศ และรวมทั้งมีแผ่นวีซีดีราคาถูก (และการทำสำเนาที่ง่ายขึ้น) ทำให้การแพร่หลายของ “หนังโป๊” เป็นไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ทำให้วงการหนังสือโป๊ต้องเสียลูกค้าจำนวนมาก แต่ถึงอย่างไร หนังสือโป๊ก็ยังเป็นสื่อที่ยังไม่ตาย คนชั้นล่างจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ยังเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่สำหรับตลาดหนังสือโป๊ ขณะที่ “เกจินู้ด” อย่าง นิวัติ กองเพียร ก็ยืนยันว่า “หนังสือพวกนี้จะไม่หายไปจากโลก เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคน เพียงแต่ว่าเราไม่ยอมรับ สังคมไทยไม่ยอมรับเท่านั้น…”
แน่นอนว่าหนังสือโป๊ไม่มีวันตาย แต่อาจจะเปลี่ยนรูปแบบจากสื่อสิ่งพิมพ์เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่น่าเสียดายก็คือ ขณะที่เรายังไม่สามารถแก้ปัญหาสื่อต้องห้ามประเภทนี้ให้เหมาะสมได้ เรากลับต้องสูญเสียนักอ่านรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นชีวิตนักอ่านของตนจากการอ่าน “หนังสือโป๊” ไปจำนวนหนึ่งทีเดียว
การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี พ.ศ. ๒๓๓๒ ซึ่งส่งผลต่อสำนึกและรูปแบบการปกครองสมัยใหม่ หนังสือโป๊ (pornography) ที่หมายถึงหนังสือที่ต่อต้าน ขนบธรรมเนียมเดิม มีส่วนสำคัญยิ่งต่อเบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น
จากหนังสือต้องห้ามสู่หนังสือดี : ความรู้ที่ขาดหายไปในประวัติศาสตร์
ปีเดียวกับการปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕ Board of Good Reading ได้คัดเลือกหนังสือดี ๑๐๐ เล่มของโลกตะวันตกขึ้น โดยแบ่งออกเป็น ๕ ยุค คือ ยุคโบราณ, ยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ, คริสต์ศตวรรษที่ ๑๗-๑๘, คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ และคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าเมื่อ ๓๗๓ ปีก่อนหน้านั้น ในโลกตะวันตกเช่นเดียวกัน ที่ประชุมศาสนจักรโรมันคาทอลิกได้จัดทำ Index Librorum Prohibitorum ประกาศรายชื่อหนังสือต้องห้ามที่ถือเป็นภัยต่อศรัทธาของชาวโรมันคาทอลิก โดยมีการปรับปรุงเพิ่มเติมรายชื่อหนังสือและนักเขียนต้องห้ามอยู่ตลอดเวลา
ในการคัดเลือกครั้งนี้มีหนังสือดีถึง ๑๗ เล่มที่เคยเป็นหนังสือต้องห้าม เช่น ในยุคกลางมี ยูโทเปีย (Utopia) ของ โทมัส มอร์ หนังสือที่เกี่ยวกับสังคมพระศรีอาริย์ซึ่งมนุษย์จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขด้วยเหตุและผล, ยุคคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ มี A Discourse on Method ของ เรอเน เดการ์ต นักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ที่ว่าด้วยความสงสัยทางด้านวิทยาศาสตร์และตรรกะทางคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับปรัชญาเหตุผลนิยมสมัยใหม่, สัญญาประชาคม (Social Contract) ของ รุสโซ และ ก็องดิดด์ (Candide) ของ วอลแตร์ สองนักคิดคนสำคัญในการปูพื้นฐานทฤษฎีการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตย
ยุคคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ มี กำเนิดของเผ่าพันธุ์ต่างๆ (The Origin of Species) ความเรียงชิ้นสำคัญของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้เสนอวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและกฎการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับคำสอนของศาสนจักรที่ว่าพระเจ้าสร้างโลก, ทุน (Capital) ของ คาร์ล มาร์กซ์ ที่วิพากษ์ระบบทุนนิยมและการขูดรีดแรงงานส่วนเกินจากชนชั้นผู้ใช้แรงงาน ยุคคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ มี จิตวิเคราะห์เบื้องต้น (Introduction to Psychoanalysis) ของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ที่เสนอว่า การตีความความฝัน คือถนนสายพระราชาไปสู่ความเข้าใจกิจกรรมใต้จิตสำนึกของจิตใจ
ในเมืองไทยก็เช่นเดียวกัน ในปี ๒๕๔๒ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้จัดทำ สารานุกรมแนะนำหนังสือดี ๑๐๐ เล่ม ที่คนไทยควรอ่าน ขึ้น โดยหลักเกณฑ์หนึ่งในการคัดเลือกคือ จะต้องเป็นหนังสือที่โดดเด่น มีอิทธิพลต่อความคิด อารมณ์ความรู้สึก ของผู้อ่านจำนวนมากในยุคหนึ่ง ๆ และมีผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในจำนวน ๑๐๐ เล่มที่เลือกมานี้ มีถึง ๗ เล่มที่เคยเป็นหนังสือต้องห้ามในวาระต่าง ๆ กัน คือ
นิราศหนองคาย โดยนายทิม สุขยางค์ ที่นอกจากถูกห้ามโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี ๒๔๑๒ แล้ว เมื่อ จิตร ภูมิศักดิ์ ในนามปากกา สิทธิ ศรีสยาม นำมาเขียนเป็น นิราศหนองคาย วรรณคดีที่ถูกสั่งเผา ก็ถูกห้ามอีกครั้งในปี ๒๕๒๓
ทรัพย์ศาสตร์ โดยพระยาสุริยานุวัตร ถูกห้ามโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี ๒๔๕๔
แลไปข้างหน้า โดย กุหลาบ สายประดิษฐ์ ถูกห้ามในปี ๒๕๐๑ และ ในปี ๒๕๒๓
กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ โดย เหรียญ ศรีจันทร์ และ เนตร พูนวิวัฒน์ ถูกห้ามในปี ๒๕๒๐
โฉมหน้าศักดินาไทย และ กวีการเมือง ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกห้ามในปี ๒๕๒๐
พิราบแดง ของ สุวัฒน์ วรดิลก ถูกห้ามในปี ๒๕๒๓
ถึงแม้ว่าเกณฑ์ในการคัดเลือกหนังสือดีทั้งสองประเภทนั้นยังมีข้อโต้แย้งอีกมาก แต่ก็ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เราไม่อาจปล่อยให้ผู้มีอำนาจคนใด “ห้ามหนังสือ” ได้อีกต่อไป เพราะบทเรียนที่ผ่านมาได้ชี้ให้เห็นว่า หนังสือที่ “เลว” ของผู้มีอำนาจในยุคสมัยหนึ่ง อาจจะเป็นหนังสือ “ดี” ในอีกยุคหนึ่งก็ได้
ขอบคุณนิตยสารสารคดี ฉบับที่ 260 > ตุลาคม 49 ปีที่ 22