Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

สัมภาษณ์ – เอนก นาวิกมูล- “ผมเปรียบตัวเองเป็นคนปะชุนประวัติศาสตร์”

 

 
“ในบ้านเมืองของเราขาดคนค้นคว้าเรื่องจริงที่ให้ข้อเท็จจริง มีการตรวจสอบแก้ไขข้อมูลต่างๆ ให้ถูกต้อง แล้วข้อมูลบ้านเราก็มีน้อย ที่น้อยนั้นบางครั้งก็ลอกกันมาซ้ำๆ ซากๆ มันก็ไม่เจริญ ก็น่าจะทำให้มันมากขึ้น มหาศาลขึ้น  บางครั้งมีการลอกแล้วก็ลอกผิด หรือว่าเขียนแล้วผิดหรือถูกก็ช่างมัน…ทีนี้เราจะปล่อยให้ข้อมูลผิดพลาด ตลอดไปได้ยังไง มันก็ต้องมีการเขียนชี้แจงออกมาเรื่อยๆ ก็เป็นหลักการว่านำเสนอข้อมูลใหม่ ตรวจสอบแก้ไขข้อมูลเก่าเพื่อให้คนอ่านได้รับความรู้ที่ถูกต้องที่สุด ได้ข้อมูลที่ดีที่สุด มีผู้เขียนที่ตั้งใจทำงานที่สุด”
 
เอนก นาวิกมูล ใน สารคดี ฉบับที่ ๖๒  เมษายน ๒๕๓๓
 
 
ต้นปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ นักเขียนหนุ่มฉกรรจ์ที่ สารคดี สนทนาด้วยอยู่ในวัย “๓๗”  วันนี้ ผ่านไป ๒๐ ปี ตัวเลขอายุของเขาขยับเป็น “๕๖” แต่เค้าหน้ายังคงอ่อนเยาว์อยู่เช่นเดิม
 
และสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี คือ เอนก นาวิกมูล ยังคงยืนหยัดอยู่จุดเดิม–จุดยืนในฐานะ “นักเขียนสารคดี” “นักค้นคว้า” “นักเก็บของเก่า” “คนทำพิพิธภัณฑ์”  ทั้งหมดนี้เขาทำด้วยเชื่อมั่นว่า “ศรัทธาคือพลัง” เพราะ “เก็บวันนี้ พรุ่งนี้ก็เก่า” โดยยึดหลักการทำงานคือ “นำเสนอข้อมูลใหม่ ตรวจสอบแก้ไขข้อมูลเก่า”
 
เอนกอุทิศตัวให้แก่การทำงานที่ว่ามานี้ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย อันที่จริง ว่าไปแล้วตั้งแต่สมัยยังนุ่งขาสั้น ในวัยที่เด็กหลายคนในยุคนี้นั่งจมอยู่กับเกมบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
 
เอนกเกิดที่อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา  มีพี่น้อง ๖ คน เขาเป็นคนสุดท้อง  สนใจสะสมของเก่า จดบันทึก อ่านหนังสือ เขียนนิทาน วาดการ์ตูน เขียนเรื่องส่งไปตีพิมพ์ตามนิตยสารตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม  พอมัธยมก็เริ่มจับกล้องถ่ายรูปบันทึกภาพบ้านเกิด เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำหนังสือกับเพื่อนในชั้นเรียน
 
เมื่อเรียนมหาวิทยาลัย เขาได้ฉายาว่า “มนุษย์โบราณ” จากการสนใจสัมภาษณ์เพื่อนๆ เกี่ยวกับบ้านเกิดของแต่ละคน  ถึงวันหยุดเขามักสะพายย่ามออกสำรวจวัดเก่า  ไปตามหาพ่อเพลงแม่เพลง ถ่ายภาพพร้อมบันทึกเสียง หลายครั้งยังเป็นธุระช่วยเหลือพ่อเพลงแม่เพลงที่เจ็บป่วยขาดแคลนอย่างแข็ง ขัน
 
ปัจจุบันเอนกมีผลงานพ็อกเกตบุ๊ก ๑๔๘ เล่ม (ยังไม่นับที่อยู่ระหว่างการจัดพิมพ์) เกือบทั้งหมดเป็นสารคดีแนวชำระสืบค้นเรื่องเก่าในช่วงต้นรัตนโกสินทร์จนถึง ยุคปัจจุบัน  เป็นผู้ก่อตั้ง “บ้านพิพิธภัณฑ์” (House of  Museums)–สถานที่เก็บและแสดงสิ่งของเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวเมืองชาวตลาดยุค ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งหน่วยงานรัฐหรือเอกชนไม่สนใจเก็บรักษา โดยได้รับการสนับสนุนเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาที่เชื่อมั่นในสิ่งที่เขา ทำ
 
ทุกวันนี้ เอนกยังคงใช้เวลาออกสำรวจวัดเก่า-ตลาดเก่าอยู่เสมอ  หลายครั้งไปบรรยาย ให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้สนใจตามสถานศึกษาและหน่วยงานราชการหลายแห่ง
 
หากย้อนดูเส้นทางของนักเขียนสารคดีที่ทำงานหนักที่สุดคนหนึ่งของวงการคนนี้ ผลงานของเขาเคยได้รับรางวัลมาแล้ว ๓ ครั้ง อันได้แก่ รางวัลหนังสือสารคดีดีเด่น งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี ๒๕๒๒ จาก เพลงนอกศตวรรษ (สำนักพิมพ์การเวก, ๒๕๒๑) และ ปี ๒๕๓๔ จาก สิ่งพิมพ์คลาสสิค (สำนักพิมพ์สารคดี, ๒๕๓๓)  ล่าสุดคือ เครื่องกลไกคลาสสิค (สำนักพิมพ์แสงดาว, ๒๕๕๒) ได้รับรางวัลหนังสือสารคดีรางวัลชมเชย งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี ๒๕๕๓
 
ต้นปี ๒๕๕๓ เมื่อนิตยสาร สารคดี มีอายุครบ ๒๕ ปี คณะกรรมการตัดสินรางวัล “สารคดี” เกียรติยศ ครั้งที่ ๑ จึงมีมติเอกฉันท์มอบรางวัลที่ตัดสินจากการทำงานสารคดีอย่างต่อเนื่องมาตลอด ชีวิตให้แก่ เอนก นาวิกมูล
 
วาระนี้เรากลับไปเยี่ยม เอนก นาวิกมูล ที่บ้านพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง เพื่อสนทนาถึงชีวิตการงานที่ผ่านมา ความฝัน ความหวังของเขาในฐานะ “คนเก็บอดีต” และ “นักเขียนสารคดี” ที่ยังคงทำงานหนักอย่างไม่ย่อท้อ  แม้ในยามวิกฤตการเมืองไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ เขาก็ยังยืนยันกับเราว่า
 
“การเก็บและบันทึกเหตุการณ์เหล่านี้สำคัญ เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปถึงคนรุ่นหลัง”
 
สมดังคำกล่าว “เก็บวันนี้ พรุ่งนี้ก็เก่า” ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขาไปแล้ว
 
 
เหตุผลใดทำให้พี่เอนกยังคงพยายามเก็บของเก่า ค้นคว้าเรื่องเก่า ๆ ของเมืองไทยภายใต้หลักการ “นำเสนอข้อมูลใหม่ ตรวจสอบแก้ไขข้อมูลเก่า” โดยมี “ศรัทธาเป็นพลัง” ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
เพราะสังคมไทยมีลักษณะเชื่ออะไรก็เชื่อตามกันมา และไม่จดบันทึกแบบต่อเนื่อง เห็นได้จากประวัติศาสตร์ที่ขาดหายเป็นช่วงๆ หลายจุด ถามถึงเรื่องนั้น ค้นหาเรื่องนี้ก็ไม่มีคำตอบ ช่องโหว่ที่ยังไม่ได้สืบค้นมีจำนวนมาก งานเหล่านี้ต้องการคนที่พยายามหาคำตอบ  ตัวอย่างคือ สมัยที่ผมสนใจเพลงพื้นบ้าน ปรากฏว่าพอจะหาตัวอย่างเพลงพื้นบ้านฟัง พ่อเพลงแม่เพลงก็แก่เฒ่าอายุมากกันหมดแล้ว แผ่นเสียงเก่าๆ ก็มีน้อย ไม่มีใครบันทึกเพลงไว้ให้เป็นเรื่องเป็นราว ต่อมามีการบันทึกเทปเพื่อนำไปออกรายการวิทยุ พอออกอากาศเสร็จแล้วเขาก็ลบทิ้งเพื่อนำเทปมาใช้ใหม่ ก็เลยไม่เหลืออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
 
หรือเรื่องของวัดวาอาราม จิตรกรรมฝาผนังเก่าๆ ถูกลบทิ้งหน้าตาเฉย พอซ่อมแซมก็ไม่รักษาเส้นสายเดิมเอาไว้ ในภาพเดิมเขียนคน ๑๐ คน ของใหม่วาดเหลือ ๕ คน  ตาลโตนดเดิมมี ๗ ต้น วาดใหม่เหลือ ๓-๔ ต้น  ภาพคนพายเรือ วาดคนพายเรือผิดท่า  การพายเรือที่ถูก ต้องคว่ำมือทั้งสองมือ ช่างรุ่นใหม่วาดแบบหงายมือและคว่ำมือผสมกัน พายแบบนี้ก็วนอยู่ในอ่างเท่านั้นเอง  กระทั่งรูปปั้นที่ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่จังหวัด พระนครศรีอยุธยา หรือรูปปั้นที่หอประชุมกองทัพเรือ ก็ยังปั้นท่าจับพายผิดหมด ไปดูเถิด คว่ำมือ-หงายมือทั้งนั้น  ลายสกรีนรูปเรือสุพรรณหงส์บนเครื่องบินของการบินไทยเมื่อ ๑๐ ปีก่อนยิ่งแล้วใหญ่ ฝีพายจับพายผิดทุกคน น่าอายมากเพราะประจานตัวเองไปทั่วโลก ไม่มีใครสังเกต  ในละครโทรทัศน์ ดารามักจับพายผิด และไม่มีใครสนใจบอก  หนังสือที่เขียนเรื่องเรือ ก็ลืมบอกวิธีจับพายพายเรือ  พอไปทำอนุสาวรีย์ ไปเขียนลวดลายบนเครื่องบิน ก็เลยกลายเป็นผิดระดับชาติ
 
ข้อเท็จจริงคือข้อเท็จจริง เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงได้  ข่าวเก่า เรื่องเก่าๆ เหตุการณ์เดียวกัน สองคนเขียนต่างกัน เราต้องนำมาตรวจสอบ  เรื่องแบบนี้บ้านเราไม่มีคนชำระ ผมออกมาชำระเพราะรู้สึกสงสัย  พอได้คำตอบก็บันทึกหรือเขียนเผยแพร่ออกไป คอยเพิ่มเติมเรื่องราวที่ยังบกพร่องอยู่ เรื่องไหนที่ขาดอยู่เราก็ปะชุนเข้าไปเหมือนช่างปะชุนเสื้อผ้า  หลักการ “นำเสนอข้อมูลใหม่ ตรวจสอบแก้ไขข้อมูลเก่า” มาจากปัญหาที่เล่ามานี้
 
งานเขียนสารคดีสมัยก่อนมักเขียนแบบเล่าเรื่อง ไม่ค่อยให้รายละเอียดว่าได้ข้อมูลมาจากไหน รู้มาจากใคร  บางเรื่องเช่นเรื่องรัชกาลที่ ๕ คนเขียน ๒ คน ๓ คนให้ข้อมูลซ้ำๆ กัน ไม่มีอะไรแปลก  ก็เหมือนเอาน้ำในขวดมาขยอก น้ำยังมีปริมาณเท่าเดิม ถ้าเราหาข้อมูลใหม่ๆ เติมเข้าไปบ้าง ความรู้ก็จะงอกงามขึ้น เหมือนเติมน้ำเข้าไปเรื่อยๆ  ส่วนที่บอกว่า “ศรัทธาเป็นพลัง” นั้นหมายความว่าต้องทำงานด้วยความศรัทธา ต้องรักและตั้งใจทำ จึงจะทำออกมาได้ดี
 

อยากให้เล่าถึงชีวิตวัยเด็ก ความสนใจด้านนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นหรือเปล่าครับ
ผมชอบเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เล็กๆ  แรงบันดาลใจมาจากที่บ้าน บ้านเกิดผมอยู่ในตลาดอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ที่บ้านเป็นร้านขายเครื่องเขียนและแบบเรียน ชื่อร้าน “บุญส่งพานิช” ขายอุปกรณ์การเรียน หนังสือปกอ่อน ปกแข็ง หนังสือเพลงเล่มละบาทสองบาท หนังสือการ์ตูน ฯลฯ

บ้านทางภาคใต้มีลักษณะยาว ที่ยาวมากเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยว บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้านยุค ๒๔๙๐ กว้าง ๒ คูหา ด้านหน้าเป็นที่ขายของ มีตู้หลายใบ ในตู้ใส่ของเต็มไปหมด มีหนังสือ ถ่านไฟฉาย ดินสอ สมุด  ช่วงกลางของบ้านเป็นที่นั่งพัก มีโต๊ะกินข้าว มีที่ทำครัว  ช่วงท้ายเป็นบริเวณปลูกต้นไม้ มีกระถางปูนซีเมนต์สวยๆ มีต้นมะลิ มีต้นเยอบีร่าซึ่งสมัยก่อนนิยมปลูกกันมาก มีต้นพุทรา ต้นมะม่วง  มีสระน้ำเล็กๆ ไว้ขังน้ำรดต้นไม้  ส่วนชั้นบนของบ้านเป็นที่นอน

เรื่องสะสมและค้นคว้าเรื่องเก่ามันซึมเข้ามาในตัวเพราะในบ้านมีของมาก เราชอบเปิดตู้ดู โดยเฉพาะของที่พ่อใส่ไว้ในตู้วางพระ  พอเปิดตู้ก็จะพบปฏิทินยุค ๒๔๙๐ ยุค ๒๕๐๐ นิตยสารเก่า ส.ค.ส. เก่า ซึ่งออกแบบประณีต สวยทั้งตัวอักษรและลายเส้นประกอบ  ขนาดฉลากอาหารกระป๋องและกระดาษเขียนจดหมาย เขาก็ยังเขียนสวยๆ บางทีเขาใช้วิธีซื้อภาพพิมพ์ของฝรั่งมาติดบนปฏิทิน  นอกจากปฏิทินแล้วในตู้ก็ยังมีของจุกจิกอื่นๆ อีก ประเภทกล้องส่องทางไกล เลนส์สำหรับเครื่องฉายสไลด์ และรูปยาซิกาแร็ต (ภาพพิมพ์บนกระดาษแข็งแถมมากับซองหรือกระป๋องบุหรี่ฝรั่ง)  รูปยาซิกาแร็ต พ่อผมมีหลายใบ

พ่อเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ช่วงนั้นบุหรี่ออกมาเยอะ แกชอบอาสาซื้อบุหรี่ให้ผู้ใหญ่สูบ แล้วขอรูปมาเก็บสะสม  จนเป็นหนุ่มพ่อย้ายไปอยู่พัทลุงกับพี่สาว ปรากฏว่าวันหนึ่งหลานรื้อออกมาเล่นโดยไม่ขออนุญาต แกโมโหมาก เลยเผารูปยาซิกาแร็ตหมด เหลือบางส่วนมาให้ผมได้ดูแค่ไม่กี่ปึก ภาพพวกนี้ดูแล้วสบายตาสบายใจ ตื่นตาตื่นใจ  นอกจากนี้พ่อผมยังเป็นนักประดิษฐ์สมัครเล่นด้วย แกสร้างเครื่องพิมพ์จากคำบอกเล่าของญาติที่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ มา  เขาบอกว่าแท่นพิมพ์หน้าตาอย่างไร แล้วแกก็มาจินตนาการต่อ ทำแท่นพิมพ์แบบใช้เท้าเหยียบ ผมยังเคยใช้เครื่องพิมพ์ง่ายๆ เครื่องนี้พิมพ์ซองกระดาษเล่นบ่อยๆ

ทราบว่าพี่เอนกเป็นคนเรียนเก่ง แสดงว่าเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก
สมัยเพิ่งเข้าโรงเรียนผมชอบอ่านแบบเรียนเก่า อาทิ ดรุณศึกษา ของ ฟ. ฮีแลร์  แบบเรียนชุด “เรณู-ปัญญา” ซึ่งเล่มหลังผมยังทันใช้ตอน ป.๑  ตำราชุดนี้พิมพ์ราวปี ๒๔๙๗-๒๔๙๘  ที่โดดเด่นมากคือมีภาพประกอบฝีมือครูเหม เวชกร

แบบเรียนชุด “เรณู-ปัญญา” ตอน “เที่ยวรถไฟ” ครูเหมวาดบรรยากาศทุ่งนาชนบทให้เห็นชัดเจน ผลไม้และของกินที่ขายตามสถานีรถไฟก็น่ากินจริงๆ อ่านแล้วทำให้เห็นว่าเมืองไทยสวยงาม  แบบเรียนนี้ต่อมารัฐบาลก็เลิกใช้

ที่ผมได้อ่านแบบเรียนหลายรุ่นเพราะมีพี่ ๖ คน แต่ละคนมีลังกระดาษเก็บแบบเรียนเอาไว้ ผมชอบไปรื้อมาอ่าน เอามาทำห้องสมุดส่วนตัว  ผมยังอ่านหนังสืออื่นด้วย ช่วงปิดเทอมพี่สาวที่ไปเรียนในตัวจังหวัดหรือกรุงเทพฯ ก็มักซื้อหนังสือมาฝาก เช่น วิธีวาดการ์ตูนโดยตุ๊ยตุ่ย เล่มละ ๑๐ บาท  นิทานแปลสั้นๆ ของสำนักพิมพ์รวมสาส์น, ประมวล-สาส์น  อ่านนิทานแปลของ อ. สนิทวงศ์  ไผ่แดง ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช  ละครแห่งชีวิต ของ ม.จ. อากาศ-ดำเกิง รพีพัฒน์

ฉากใน ละครแห่งชีวิต ที่ผมชอบมากคือตอนที่กล่าวถึง วิสูตร ศุภลักษณ์ ณ อยุธยา มีเพื่อนชื่อกิมเฮียง  บางครั้งเขาไปนั่งเล่นบ้านกิมเฮียงซึ่งอยู่ริมน้ำ ลมพัดเย็น มีเรือเอี้ยมจุ๊นแล่นผ่าน เราก็มาเทียบกับเรือและบรรยากาศในคลองระโนด

บนชั้นสองของบ้านผมมีโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่ง ตอน ป.๓-ป.๔ ผมชอบนั่งเขียนหนังสือที่โต๊ะนั้น  โต๊ะอยู่ริมหน้าต่างชั้น ๒ มองผ่านลูกกรงออกไปเห็นบ้านข้างๆ ปลูกต้นมะขามร่มรื่น  จะเห็นว่ารูปภาพและเรื่องราววัยเด็กกินใจ และฝังลึกเข้าไปในใจเรา  พออ่านมากก็อยากเขียนหนังสือบ้าง ผมตั้งใจมาตั้งแต่เด็กว่าอยากเขียนหนังสือ เลยแต่งนิทานแต่งอะไรมาตั้งแต่ตอนนั้น  ส่วนเรื่องการเรียน เราถูกกวดขันให้ขยันมาตลอด ผมสอบได้ที่ ๑ บ่อย แต่ก็รู้สึกกดดันและเบื่อ

เป็นคนทำหนังสือ/เขียนหนังสือมาตั้งแต่สมัยยังนุ่งขาสั้น
สมัยเรียน ป. ๖-ป. ๗ (เทียบเท่าชั้นมัธยม ๑ ปัจจุบัน) ผมเรียนที่โรงเรียนระโนดวิทยามูลนิธิ  เรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียนชื่อเรื่อง “เสื้อตัวนั้น” ส่งไปลง ชัยพฤกษ์ นิตยสารสำหรับเด็กที่ดังและดีมากในสมัยนั้น  เรื่องได้ตีพิมพ์ทันที เล่าย่อๆ คือเด็กชายพัลลภได้เสื้อใหม่มาแล้วไม่ยอมถอด ใส่จนสกปรก ยายพยายามให้ถอด พัลลภก็ไม่ยอม สุดท้ายแมวตกโคลนมาคลอเคลีย ทำให้เสื้อเปื้อน ก็เลยยอมถอดซัก ผมได้ค่าเรื่อง ๓๐ บาท เราเป็นเด็กต่างจังหวัดก็ดีใจมาก ต่อมาผมก็ส่งกลอน ขำขัน และการ์ตูนไปลงอีก ทำให้มีผลงานตีพิมพ์อยู่เรื่อยๆ

ชัยพฤกษ์ เป็นนิตยสารที่ดี ข้อเขียนหลายชิ้นอ่านสนุก มีภาพของครูเหมวาดประกอบเรื่องประวัติศาสตร์และวรรณคดี ในหน้ากลางกับปกหลัง  มีคอลัมน์ “ภาษาภิรมย์” ที่อาจารย์เปลื้อง ณ นคร บรรณาธิการ ตอบจดหมายเด็กๆ ด้วยตัวเอง  ที่ฮิตมากคือเขียนไปถามความหมายของชื่อกับนามสกุล หรือให้ทายลายมือ มันเริ่มจากคนหนึ่งถามแล้วคนต่อมาก็เลียนแบบ  ตอน ป. ๖ ผมเขียนจดหมายไปแล้วได้ลงพิมพ์เป็นครั้งแรก ดีใจมาก  สมัยนั้นเด็กอ่านหนังสือมากกว่าสมัยนี้ อาจเพราะสื่ออื่นยังมีน้อย แล้วนิตยสารเล่มนี้จำหน่ายไปทั่วประเทศ และอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนหลายแห่ง

พอขึ้น ม.ศ. ๑ (เทียบเท่าชั้นมัธยม ๒ ปัจจุบัน) ผมก็ต้องลงเรือเดินทางเข้าไปเรียนในตัวเมืองสงขลา ไปอยู่ร้านโชติภัณฑ์ซึ่งเป็นของลุงพิชิต ศิริโชติ เพื่อนค้าขายของพ่อ  บ้านลุงพิชิตเป็นร้านขายเครื่องเหล็ก แต่ก่อนเคยเป็นร้านขายหนังสือ มีหนังสือกลอนจากโรงพิมพ์วัดเกาะ ที่พิมพ์หนังสือปกสวยๆ หลายเล่ม  จริงๆ แล้วโรงพิมพ์นี้ไม่ใช่ของวัด โรงพิมพ์ตั้งอยู่ในย่านสำเพ็ง ชื่อจริงคือโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ แต่คนเรียกติดปากว่าโรงพิมพ์วัดเกาะเพราะอยู่ใกล้วัดเกาะ  สมัยก่อนโรงพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือแนว “เล่มสลึงพึงรู้ท่านผู้ซื้อ” ราคาถูก ขายทั่วประเทศมีไม่กี่แห่ง

ตอนเรียน ม.ศ. ๑ ผมเขียนเรื่องสั้นเรื่อง “ปีแห่งกรรม” ส่งไปประกวดเรื่องสั้นทั่วประเทศใน ชัยพฤกษ์  เป็นเรื่องคนแก่ที่ทำนาไม่ได้ผลเพราะฝนแล้ง เกิดทะเลาะแย่งน้ำกับเพื่อนบ้านถึงตาย  อิทธิพลการเขียนได้จาก มนัส จรรยงค์  ฉากในเรื่องผมก็ได้จากที่ระโนด

ตอนนั้นพี่เขยคนโตของผมเป็นปลัดอำเภอ มีพิมพ์ดีด แกสนับสนุนผมโดยเอาเรื่องที่เคยได้ลงใน ชัยพฤกษ์ มารวมเล่มเป็นโรเนียว ให้เอาไปแจกเพื่อนในโรงเรียนมหาวชิราวุธ  ต่อมาก็บอกให้ชวนเพื่อนๆ ในห้องทำวารสารเล่น จึงเกิดวารสาร ๑ จ. ขึ้น ทำจากกระดาษฟุลสแก๊ป ผมเขียนกลอนเปิดเล่ม เพื่อนๆ ก็ช่วยกันเขียนเรื่องมาลง เสร็จแล้วเราก็เวียนกันอ่านในห้อง  จำได้ว่าคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่เรียนห้องเดียวกันก็มาช่วยเขียนด้วย  ทำวารสาร ๑ จ. ออกมา ๒ เล่มก็เลิกราไป  พอ ม.ศ. ๓ ก็ทำ เอนกสาร ออกมา ๗-๘ เล่ม ผมทำคนเดียว อยากเขียนอยากวาดอะไรก็ทำ มีเพื่อนเขียนส่งมาบ้างเราก็ลงให้  ในเล่มมีเรื่องสั้น เรื่องขำขัน ความรู้ทั่วไป เรื่องซุบซิบในห้อง  เราสนุกกับการเขียน เพื่อนสนุกกับการอ่าน ก็ว่ากันไป  มาหยุดตอนสอบได้คะแนนร้อยละ ๕๐ เกือบตก ตกใจมาก ต้องเขียนจดหมายไปขอโทษพ่อแม่ เพราะเคยเรียนได้คะแนนร้อยละ ๘๐-๙๐ มาตลอด

นอกจากเขียนหนังสือ เก็บสะสม พี่เอนกเริ่มต้นถ่ายรูปบันทึกสิ่งรอบตัวตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
ผมเริ่มถ่ายรูปตั้งแต่ปี ๒๕๑๑ สมัยเรียน ม.ศ. ๑ ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ  เรียนได้สักพักอาจารย์ที่ดูแลห้องโสต-ทัศนศึกษาบอกว่าใครมีกล้องและอยากรู้ วิธีถ่ายภาพให้เอากล้องไป จะสอนให้  บังเอิญที่บ้านผมมีกล้องแบบ BOX ยี่ห้อ Kodak สีดำ ผมเลยขอพ่อไปให้ครูดู  ครูก็สอนว่าฟิล์มขนาด ๑๒๐ มิลลิเมตรใส่แบบนี้ๆ หมุนแบบนี้ แล้วถ่ายได้เลย  ผมถามตัวเองว่าเราจะถ่ายอะไร  ก็มองสิ่งรอบตัว จนวันหนึ่งมีขบวนแห่วันเข้าพรรษาผ่านมาทางหน้าร้าน ผมก็ขึ้นไปถ่ายจากชั้น ๓ กับลงไปถ่ายข้างล่าง แล้วเอารูปไปอัด เขียนวันที่บันทึกไว้  สมัยนั้นค่าล้างรูปรูปละ ๒-๓ บาท ไม่ยากอะไร  ต่อจากนั้นก็คิดว่าต้องถ่ายรูปเมืองระโนดเก็บไว้ด้วย ก็เลยเดินถ่ายรูป ขี่จักรยานสำรวจรอบบ้านในรัศมีไม่เกิน ๑๐ กิโลเมตร  ตอนนั้นรู้สึกอายๆ เหมือนกัน เพราะคนชอบมอง  บางทีเราก็กลัวว่าไปถ่ายไกลๆ จะมีใครมาแย่งกล้องเราไปหรือเปล่า ก็ต้องระวัง

ความสนใจของพี่เอนกชัดเจนมากว่าเป็นเรื่องประวัติศาสตร์สังคม แล้วทำไมจึงเลือกสอบเข้าเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พอจบมัธยมก็ไม่ได้คิดหรอกว่าอยากทำอาชีพอะไร รู้แต่ว่าอยากเขียนหนังสือ ครั้นจะไปเรียนโบราณคดีก็ไม่รู้ว่าจบแล้วไปทำอะไร  สมัยนั้นผมอาจคิดไม่เยอะ แล้วเขามีค่านิยมว่ารับราชการมั่นคงดี ถ้าจบรัฐศาสตร์อาจไปเป็นปลัดหรือทำงานในอำเภอได้  อีกอย่างพี่เขยผม-อนันต์ พงษ์อักษร เป็นปลัดอำเภอ บอกว่าถ้าสนใจเขียนเรื่องสั้น หากออกต่างจังหวัดก็น่าจะได้ประสบการณ์ เพราะสมัยผมเป็นเด็ก มีนักเขียนที่เป็นนายตำรวจชื่อ มนัส สัตยารักษ์ ไปอยู่ระโนด มนัสเขียนเรื่องสั้นลงหนังสือพิมพ์ ชาวกรุง และอื่นๆ  บางทีเขียนเกี่ยวกับเมืองระโนดด้วย  สมัยโน้นมนัสโดดเด่นมากเพราะเป็นคนกรุงเทพฯ รูปหล่อแล้วมาเป็นนายตำรวจในอำเภอเล็กๆ  ผมเคยเห็นเขาขี่ม้าเรียกแถวตำรวจ เท่ดี  ทำให้คิดว่าการออกภาคสนามเวลารับราชการ ทำให้เรามีข้อมูลเขียนเรื่องด้วย เลยเลือกสอบเข้าคณะรัฐศาสตร์  ซึ่งก็เรียนได้แต่ไม่ถึงกับใช่ เห็นได้จากปี ๔ ผมตกวิชาหนึ่ง เกี่ยวกับการบริหาร เรารู้สึกว่าอาจารย์สอนไม่เก่ง มารู้ว่าตกวิชานี้ตอนนั่งกินข้าว เพื่อนวิ่งมาบอกว่าได้ F เราใจหายวูบเลย ต้องเรียนซ้ำ จบ ๔ ปีครึ่ง  ผมไปงานรับปริญญาเพื่อน พอถ่ายรูปหมู่ทั้งคณะก็ไม่มีผม  ผมมารับปริญญารุ่นหลังจากนั้น ๑ ปี รุ่นเดียวกับอาจารย์จรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ คนปัจจุบัน

 

สมัยเรียนมหาวิทยาลัย อะไรทำให้พี่เอนกออกสำรวจวัดร้าง ตามหาพ่อเพลงแม่เพลง แทนที่จะไปสนุกสนานกับเพื่อนในช่วงวันหยุด
เพราะตอนเรียนที่สงขลา ได้อ่านงานของอาจารย์ น. ณ ปากน้ำ (ประยูร อุลุชาฎะ นักโบราณคดีอาวุโส ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)  ที่สงขลามีร้านหนังสือเก่าร้านหนึ่งชื่อร้าน “นายน่วม” ผมกับพี่ชายไปซื้อหนังสือร้านนี้ประจำ เจอหนังสืออาจารย์ น. ๒-๓ เล่ม เป็นหนังสือปกแข็ง อ่านแล้วสะเทือนใจมาก เพราะวัดโบราณถูกรื้อทำลายตลอดเวลา เกิดความเสียดาย คิดว่านี่คืองานขั้นแรกที่จะต้องเริ่มทำเมื่อเข้ากรุงเทพฯ
 
พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปี ๒๕๑๕ ผมก็ออกสำรวจ บางทีก็ชวนเพื่อน ชวนพี่ชายไปเป็นเพื่อน บางทีก็ไปคนเดียว  ออกสำรวจวัดเก่าตั้งแต่เรียนปี ๑  ตอนนั้นได้กล้องแบบ Instamatic ที่เรียกว่ากล้องปัญญาอ่อนของพี่มาใช้ บางทีก็ยืมกล้อง SLR จากเพื่อนรุ่นพี่มา ออกไปถ่ายจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์วิหารตามวัดเก่าในกรุงเทพฯ และธนบุรี เช่น วัดสุวรรณาราม วัดทอง วัดเปาโรหิตย์  ทำแผนที่ พล็อตจุดว่าไปตรงไหนมาบ้าง ใช้หนังสือ ศิลปกรรมในบางกอก ของอาจารย์ น. เป็นคู่มือ ดูว่าอาจารย์บอกว่าอะไร เราพบแล้วเป็นอย่างไร  ก่อนหน้านั้น ผมเคยเขียนจดหมายถึงอาจารย์ น. ถามว่าการขออนุญาตชมโบสถ์วิหารต้องทำอย่างไรบ้าง อีกนานมากจึงได้รับโปสการ์ดตอบว่าป่านนี้คุณคงออกสำรวจไปแล้ว ส่วนการขออนุญาตนั้นขึ้นกับจังหวะ  ผมดีใจที่ได้รับโปสการ์ดจากอาจารย์ ยังเก็บโปสการ์ดแผ่นนั้นไว้จนบัดนี้
 
ผมมีสมุดปกแข็งเล่มหนึ่งชื่อ “อ่านเอาเรื่อง เขียนเอาความ”  อ่านอะไรมารู้สึกชอบใจ จะบันทึกข้อมูลจากความจำลงไป เป็นการฝึกจำและฝึกบันทึกไปในตัว นอกเหนือจากเขียนบันทึกประจำวันที่ผมทำมาตลอดตั้งแต่ ป. ๖
 
ถึงเวลาปิดเทอมผมก็มีสมุด “ปิดเทอมทั้งทีมีอะไร” เช่นเรียนจบปี ๑ ก่อนกลับลงไปพักผ่อนที่ระโนดผมจะออกสำรวจวัด จะจดว่าไปวัดไหนมาบ้าง เดินผ่านสวนตรงไหน ไปอย่างไร เห็นอะไร ผมจดทั้งนั้นครับ
 
ที่เริ่มสนใจเพลงพื้นบ้านเพราะพ่อเพลงแม่เพลงเริ่มหมด ผมไปดูงานที่สังคีตศาลา หน้าโรงละครแห่งชาติ หรืออ่านหนังสือพิมพ์เขาเขียนว่าดนตรีไทยกำลังจะหมด เพราะคนหันไปสนใจเพลงสากลกันมากขึ้น ผมมองว่าแม้จะห่วงเรื่องดนตรีไทยกันมาก แต่ก็ยังมีการสอนดนตรีไทย มีสถาบันมีชมรมที่ทำงานด้านนี้  การละเล่นพื้นบ้าน อย่างหนังตะลุง มโนราห์ หนังใหญ่ ลำตัด เพลงฉ่อยสิยิ่งแย่กว่า เพราะไม่มีใครสนใจ  พอคนเหล่านี้ตาย ภูมิปัญญาต่างๆ ก็พลอยสูญหายไปด้วย เลยคิดว่าต้องทำควบคู่กับการบันทึกภาพจิตรกรรมฝาผนังและเรื่องวัดวาอาราม
 
ผมอ่านคอลัมน์ศิลปวัฒนธรรมใน สยามรัฐ รายวัน บอกแล้วคุณอาจคาดไม่ถึง คือ วีระ มุสิกพงศ์ ก็เคยเขียนถึงคนเพลงใน สยามรัฐ ด้วย เขาใช้นามปากกาว่า “ระโนตวี”  ผมเคยอาศัยข้อเขียนของเขาไปแกะรอยหาพ่อเพลงที่ชื่อตาพรหม ตลาดสะพานใหม่จนพบ
 
พอปิดเทอมผมก็ลงไปสัมภาษณ์นายหนังตะลุงแถบจังหวัดสงขลา พัทลุง เพราะเคยตั้งข้อสังเกตว่าไม่มีใครสนใจศึกษาประวัตินายหนังตะลุงยุคเก่าจริงๆ จังๆ เลย  คือในบทร้องไหว้ครูหนัง มีการเอ่ยนามครูหนังสั้นๆ แต่ไม่มีใครไปขยายความว่าแต่ละคนเกิดที่ไหน ตายเมื่อไร  เราสังเกตอย่างนี้ ทำให้รู้ว่าสมัยก่อนมีนายหนังชื่ออะไรบ้าง บ้านอยู่ตำบลไหนบ้าง จากนั้นก็ตามหาไปเรื่อยๆ ได้ข้อมูลแล้วก็เอามาเขียนเผยแพร่
 
ที่ผมทำแบบนี้ทำเพราะชอบ ในชมรมวรรณศิลป์ จุฬาฯ มีสมุดเล่มหนึ่งวางอยู่ในห้อง ใครจะเขียนอะไรลงไปก็ได้ คนอื่นเขาเขียนกลอน แต่ผมเป็นห่วงศิลปวัฒนธรรมของชาติ ผมเขียนลงไปว่าต้องรีบเก็บข้อมูล โดยมี “ศรัทธาเป็นพลัง” ยืนยันหลักการนี้มาตลอด  ผมอาจแปลกแยกไปจากคนอื่นมาก แต่เพื่อนๆ ร่วมชั้นก็เข้าใจ บางคนเรียกผมว่า “มนุษย์โบราณ”
 
ทำไมจึงเลือกเข้าชมรมวรรณศิลป์ สภาพการทำกิจกรรมสมัยนั้นเป็นอย่างไร
คนในคณะรัฐศาสตร์ก็ชอบอะไรแตกต่างกัน หลายคนเล่นฟุตบอล เล่นรักบี้ หรือเข้าชมรมฟันดาบ  ผมไม่เก่งกีฬา ชอบอยู่กับหนังสือมาตลอด เมื่อมีชมรมวรรณศิลป์ก็ไปเป็นสมาชิก ทำให้รู้จักคนที่สนใจอะไรคล้ายกัน  ยุคนั้นคนวรรณศิลป์ จุฬาฯ ส่วนมากเป็นนักกลอน เขียนกลอนกันเก่งๆ  ผมเขียนกลอนแบบธรรมดา เวลาไปแข่งกลอนสดระหว่างมหาวิทยาลัยก็ไปแข่งกับเขา ไปกันเป็นทีม
 
สมัยนั้นมีการออกวารสารวรรณศิลป์ด้วย ผมยังนำบทสัมภาษณ์แม่เพลงที่ชื่อยายทองหล่อมาลงในวารสาร  ทำวารสารแล้ว ในฐานะเป็นรุ่นน้องต้องไปช่วยยืนขายหน้าประตูจุฬาฯ ฝั่งสามย่านด้วย ขายเล่มละ ๒ บาท  กิจกรรมของชมรมวรรณศิลป์ยุคผมอาจจะสู้รุ่นก่อนหน้าขึ้นไปอีกไม่ได้ เพราะเขาแข่งกลอนกันสนุกมาก  กลอนยุค ๒๕๐๐-๒๕๑๐ เรียกกันว่ายุคสายลมแสงแดด  ส่วนการออกค่ายซึ่งนิยมกันมากนั้น ผมไม่ได้ไปกับเขาหรอกครับ เพราะรู้ตัวดีว่าเป็นคนกินยากอยู่ยาก อีกอย่างเราก็ทำงานที่คนอื่นไม่ทำอยู่แล้ว
 
สภาพการเดินทางและวิธีเก็บข้อมูลสมัยก่อนเป็นอย่างไร
สมัยก่อนผมไม่มีรถส่วนตัว ต้องอาศัยรถเมล์ รถ บขส. รถท้องถิ่น เป็นหลัก  เวลาเดินทางไปที่ต่างๆ ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายมาก  การไปมาสมัยก่อนไม่ง่าย ถนนก็ไม่ได้เข้าถึงเกือบทุกแห่งเหมือนสมัยนี้ ค่อนข้างลำบาก  ผมต้องสะพายกล้องและหิ้วเครื่องบันทึกเสียงขนาดเทอะทะไป  ครั้งหนึ่งตอนเก็บข้อมูลหนังตะลุงที่ภาคใต้ ผมรู้สึกว่าเครื่องบันทึกเสียงที่หิ้วไปเกะกะมาก เลยตัดสินใจนั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ ไปซื้อเครื่องบันทึกเสียงใหม่ที่หลังกระทรวงมหาดไทย ได้เทปยี่ห้อ SANYO เป็นของมือสอง  การสำรวจ การเดินทางทำให้เราสนุก เอาแค่สำรวจคลองมหานาคในกรุงเทพฯ ก็น่าสนใจแล้วครับว่ามีบ้าน มีวัด มีตลาดอะไรบ้าง  สมัยนั้นผมไปนั่งสเกตช์ภาพตามมุมต่างๆ ของคลอง วาดไม่สวยหรอกครับแต่ประทับใจสิ่งที่ได้เห็น คลองมหานาคช่วงที่ผ่านโบ๊เบ๊สวยมาก  สมัยนั้นตลาดน้ำหมดไปแล้ว แต่ด้วยความที่ชอบคลองชอบน้ำมาแต่เด็ก ผมจึงชอบไปดูเพราะรู้สึกสบายใจ
 
ก่อนมาเป็นนักเขียนอิสระ พี่เอนกผ่านการทำงานมาหลายแห่ง อยากให้เล่าถึงเส้นทางการทำงานที่ผ่านมา
พอเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็กลับไปบวชที่บ้านเกิดเพราะยายทำบุญไว้ก่อนตาย บวชสั้นๆ ๑๐ วัน ไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ก็พอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง เช่นไปช่วยเขาเขียนพนักเก้าอี้ว่าใครเป็นคนบริจาค  ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็สัมภาษณ์หลวงตาหลวงพี่ซึ่งมีไม่กี่รูป หลวงตาเล็กนั้นเคยเลี้ยงแมวน่ารักหนึ่งตัว ฟังแล้วประทับใจมาก ต้องจดลงสมุดไว้ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้นำมาเขียนถึง  บางทีก็ฟังเพลงแหล่ของ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ กับ ขวัญจิต ศรีประจันต์  พอฟังแล้วก็ถอดเทปไว้ช่วยจำ
 
ซึ่งเป็นพ็อกเกตบุ๊กกลับไปที่สมัยเรียนสักเล็กน้อย ตอนเรียนรัฐศาสตร์ปี ๔ อาจารย์ประณต นันทิยะกุล ที่ดูแลหอพักจุฬาฯ เห็นผมชอบเขียนหนังสือ จึงมอบหมายหน้าที่ให้ทำหนังสือสำหรับแจกในงานดนตรีไทยของมหาวิทยาลัยวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงเกิดหนังสือ เพลงยังไม่สิ้นเสียงเล่มแรกของผม
 
เพลงยังไม่สิ้นเสียง รวมบทสัมภาษณ์ศิลปินพื้นบ้าน เช่นพ่อเพลงแม่เพลง คนเชิดหุ่นกระบอก เชิดหนังใหญ่ หนังตะลุง  พอเรียนจบแล้ว อาจารย์ประณตก็แนะนำว่าชอบเขียนหนังสือน่าจะไปทำงานหนังสือพิมพ์  ตอนนั้นมีหนังสือพิมพ์เปิดใหม่คือ เจ้าพระยา เป็นของรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร  ผมเลยไปทำงานอยู่ในทำเนียบ โก้มาก  งานหลักคือเขียนคอลัมน์ศิลปวัฒนธรรม ๑ หน้าเต็ม สำนวนภาษาไม่ได้ดีมาก  ต่อมาพอเกิดปฏิวัติ หนังสือพิมพ์ก็เลิก