สัมภาษณ์สั้นๆ อาณัติ มาตรคำจันทร์ เจ้าของสำนักพิมพ์หวีกล้วย !?!

ถ้า…….
1.คุณเป็นนักเขียนรุ่นใหม่
2.มีทัศนคติกว้างและไม่เชย
3.และกำลังหาสำนักพิมพ์ที่บรรณาธิการมีเวลาทำงานร่วมกับนักเขียน
นั่นคือเหตุผลที่คุณควรรู้จักสำนักพิมพ์หวีกล้วยครับ
ดูหนังสือของสำนักพิมพ์หวีกล้วยของคุณ แม้ว่าจะมีไม่กี่ปก แต่ก็เห็นถึงความพยายามที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ เช่น ส่งงานของนักเขียนใหม่ๆ เข้ามาในพิ้นที่การอ่าน ตรงนี้ การทำงานของคุณในฐานะบรรณาธิการคืออะไร ความตั้งใจเป็นแบบไหน
เนื่องจากสำนักพิมพ์หวีกล้วยเป็นสำนักพิมพ์ที่ผมเป็นผู้ก่อตั้งและดำเนินการ ดังนั้นการตัดสินใจเลือกงานชิ้นไหนมาพิมพ์ก็ไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนมากมายนัก หลักๆ เลยก็ เป็นเรื่องที่ผมและบรรณาธิการเล่มชอบและสนใจ ถ้าผมไม่ชอบก็ไม่เอามาพิมพ์ ไม่จำเป็นต้องเป็นงานวรรณกรรม เป็นนักเขียนรุ่นใหม่ ทัศนคติกว้างและไม่เชย ระหว่างการทำงานก็ต้องมีการพูดคุยกัน เมื่อทำงานร่วมกันได้สักพัก นักเขียนก็จะรับรู้ถึงแนวทางของสำนักพิมพ์ และสำนักพิมพ์ก็จะรู้ถึงแนวคิดของนักเขียน และข้อสำคัญ นักเขียนต้องยอมรับคำชี้แนะของบรรณาธิการและสำนักพิมพ์ ถ้ายึดติดอัตตาเกินไปนัก เราก็ไม่เอา ยังมีสำนักพิมพ์อื่นอีกเยอะหรือไม่ก็เอางานไปพิมพ์เอง เพราะเดี๋ยวนี้นักเขียนใหม่ก็ทำแบบนี้กันเยอะ สำนักพิมพ์ต้องเป็นฝ่ายแบกรับภาระการลงทุนทางธุรกิจมิใช่นักเขียน
การทำหนังสือ ผมก็ทำในฐานะของคนอ่านนั่นล่ะ เราอยากอ่านแบบไหนก็พิมพ์แบบนั้นออกมา ซึ่งตอนนี้สำนักพิมพ์หวีกล้วยตีพิมพ์หนังสือมา 6 เล่ม ในช่วงสี่ปีถือว่าน้อยมาก แต่ละเล่มก็จะมีบรรณาธิการเล่ม อย่างงานของคุณอุทิศ เหมะมูล (ปริมาตรรำพึงและกระจกเงา | เงากระจก) ก็มีคุณกว่าชื่น บางคมบางเป็นบรรณาธิการเล่ม ผมก็จะคอยดูภาพรวมให้ ตรวจเช็คความถูกต้องของข้อมูล ถือเป็นงานที่น่าพอใจเพราะนักวิจารณ์พูดถึงในแง่บวกมากกว่า
ตอนนี้คุณเป็นบรรณาธิการให้กับนักเขียนคนไหนอยู่
ตอนนี้ผมทำบรรณาธิการนิตยสารลัชอย่างเดียว และกำลังคัดงานเขียนเพื่อที่จะตีพิมพ์ออกใหม่ แต่ก็ยังไม่มีงานของใครที่เข้าตา ไม่ใช่ว่าผมมาตรฐานสูง แต่ละสำนักพิมพ์ก็จะมีวิธีของตัวเอง
อยากให้ลองเล่าลักษณะการทำงานของ บรรณาธิการร่วมกับนักเขียนของคุณครับ
ย้อนกลับไปอ่านข้อแรก ผมว่าบรรณาธิการที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ด้วย อย่างคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา (โอเพ่น) คุณขจรฤทธิ์ รักษา (บ้านหนังสือ) คุณนิวัติ พุทธประสาท (เม่นวรรณกรรม) คุณพรชัย แสนยะมูล (ไม้ยมก) ก็คงมีการทำงานไม่ค่อยแตกต่างไปจากนี้
คุณคิดว่าแวดวงหนังสือทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
แวดวงหนังสือมันก็คือแวดวงธุรกิจอย่างหนึ่ง มันขับเคลื่อนค้วยพลังทุน เราอยู่ในระบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก ถ้าเศรษฐกิจประเทศเป็นแบบนี้ มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่มันไปโตที่ใคร ก็ต้องยอมรับชะตากรรม ลำพังสำนักพิมพ์เล็กๆ คงไม่มีแรงไปเปลี่ยนกระแสตลาดได้ ต่อให้รวมกันเป็นกลุ่มก้อนก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงใดๆ ดังนั้นผมก็คิดว่า จงทำในสิ่งที่ตนเองชอบและรักมันแล้วเราจะอยู่ได้เรื่อยๆ คนเก็บเศษกระดาษขายยังไม่อดตายเลย
ผมไม่อยากไปแยกแยะว่าหนังสือกลุ่มนี้คือวรรณกรรม กลุ่มโน้นคือขยะ (ความจริงผมเคยคิดแบบนี้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว) หนังสือทุกเล่มมันมีความดีของมันเอง วรรณกรรมก็อาจเหมาะกับพวกที่คิดว่าตนเองเป็นพวกคอแข็ง แม่ค้าก็อาจจะอ่านอีกแบบ นิยายตลาดก็มีกลุ่มของเขา วัยรุ่นก็อ่านแบบของเขาไป ที่สำคัญเราไม่ควรเอาหนังสือไปยื่นให้คนอ่าน ให้คนอ่านเขาเดินทางมาหาหนังสือเอง เมื่อนั้นเขาจะเกิดความอยากรู้อยากเห็นอยากค้นคว้ามากขึ้น
อย่าไปประณามเด็กๆ ที่เขาอ่านการ์ตูน นิยายเกาหลี ญี่ปุ่น ประเทศมันจะฉิบหายเพราะวัยรุ่นอ่านนิยายเกาหลีก็ให้รู้ไป เพราะเดี๋ยวนี้มันก็ฉิบหายเพราะเรื่องอื่นๆ เยอะอยู่แล้ว
อ้นที่จริงเป็นเพราะวัฒนธรรมการอ่านของประเทศยังไม่เข้มแข็ง จะเรียกร้องให้เด็กอ่านหนังสือได้อย่างไรในเมื่อผู้ใหญ่ไม่อ่าน พ่อแม่ที่ในบ้านไม่มีหนังสือเลยลูกๆ คงจะเป็นนักอ่านตัวยงล่ะนะ
สั้นกระชับแต่ได้ใจความ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.thaiwriternetwork.com