สยามเบ๊ ‘ Best Seller แห่งเสือเหลือง

วัตถุมงคลจากเมืองไทย ไปไกลและไปได้ดีในต่างแดน โดยเฉพาะในมาเลเซียที่หนังสือพระเครื่องถึงกับขึ้นแท่นหนังสือขายดี ที่สำคัญไม่มีโฆษณาแม้สักหน้า
บนแผงหนังสือหนึ่ง ในห้างสรรพสินค้ากลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย มีแท่นเล็กๆ เขียนเอาไว้ด้วยภาษาอังกฤษว่า "หนังสือขายดี"
หนังสือเล่มนี้จะไม่น่าสนใจเลย ถ้าไม่สืบเท้าเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วพบว่านี่คือ "หนังสือพระเครื่อง"
เพราะทั้งหน้าปกและหน้าในเต็มไปด้วยภาพของพระเครื่อง พระภิกษุ เกจิอาจารย์ และวัดที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในประเทศไทย ซึ่งภาษาทั้งหมดที่ใช้สื่อสารได้รับการตีพิมพ์ด้วยภาษาจีนทั้งหมด
พนักงานขายประจำแผงบอกว่า เล่มนี้คือ "เสี่ยมเบ๊" หรือ "สยามเบ๊" นิตยสารพระเครื่องเล่มแรกที่วางจำหน่ายในประเทศมาเลเซีย
มาเลย์หัวใจพุทธ
หนังสือพระเครื่องที่หลากหลาย หรือ มุมพระเครื่องที่กระจัดกระจายอยู่ทุกมุมเมืองในเมืองไทย คือปรากฎการณ์ระดับธรรมดา
แต่ที่มาเลเซีย นิตยสาร "เสี่ยมเบ๊" คือ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความนิยมและความสนใจเกี่ยวกับพระเครื่อง ไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในกรอบของสังคมไทยอีกแล้ว เพราะปัจจุบันมีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่ศรัทธา และหันมาศึกษาและแสวงหาวัตถุมงคลอย่างกว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะผู้นับถือศาสนาพุทธเชื้อสายจีนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลซีย สิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งจีน และฮ่องกง
เรื่องราวของพระเครื่องจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ชาวต่างชาติใคร่รู้ แต่อุปสรรคหรือปัญหาคือนอกจากเอกสาร คู่มือ หรือแม้กระทั่งตำราที่เป็นภาษาไทยแล้ว นอกนั้นแทบจะไม่พบเห็นภาษาอื่นๆ ให้ค้นคว้ามากพอ แม้ที่ผ่านมาจะมีความพยายามจัดทำในรูปแบบภาษาอังกฤษให้เห็นบ้างแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก
ด้วยความสนใจในเรื่องราวของพระเครื่องเมืองไทย ประกอบกับได้นับถือศาสนาพุทธและบวชเรียนอยู่ในพระพุทธศาสนาหลายปี จนมีโอกาสธุดงค์ไปเกือบทุกหัวระแหงของประเทศไทย ทำให้ เบ๊ ยองจู (Beh Yeong Jau) หรือ นายบุญมา อดีตนักธุรกิจ วัย48ปี จากกัวลาลัมเปอร์ ผู้สนใจ และศรัทธาในพระเครื่องและวัตถุมงคล รวมถึงพระเกจิของไทยอย่างมาก จึงตัดสินใจทำนิตยสารพระเครื่องภาษาจีนสัญชาติมาเลย์เล่มแรก ภายใต้ชื่อว่า “เสี่ยมเบ๊” หรือ “สยามเบ๊” ขึ้นมา
สำหรับ “เบ๊ ยองจู” หรือที่แฟนหนังสือพระเครื่องในมาเลเซียเรียกขานชายคนนี้จนติดปากว่า “เสี่ยมเบ๊” เปิดใจให้ฟังว่า ด้วยความที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่ต้องสู้ชีวิตชนิดปากกัดตีนถีบ และมีที่ซุกหัวนอนอยู่ติดกับ “วัดบุญญาราม”ในรัฐเคดาห์ จึงได้อาศัยข้าวก้นบาตร และเรียนรู้ภาษาไทยจากพระในวัดมาโดยตลอด และที่สำคัญมักจะได้รับพระเครื่องอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นความผูกพันและสนใจในสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัว
ในยุคนั้นบริเวณหน้าวัดบุญญารามยังมีคนไทยเปิดร้านทำกรอบพระ จึงทำให้มีโอกาสคลุกคลีตีโมงจนได้รับความรู้และหัดดูพระตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ หลวงพ่อครน วัดบางแซะ รวมไปถึงพระคณาจารย์ท่านอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในภาคใต้ ณ ยุคสมัยนั้น
“ในอดีตชาวมาเลซียมีพระดีจากภาคใต้ติดตัวจำนวนไม่น้อย อีกทั้งพระอาจารย์ทิม อดีตเจ้าอาวาสวัดช้างให้ ก็นำพระหลวงพ่อทวดมาแจกคนไทยในมาเลย์อยู่บ่อยๆ ทำให้ได้มีโอกาสได้เห็นของจริงและรับรู้ข้อมูลในแง่มุมต่างๆมากมาย”เบ๊ ยองจู ย้อนอดีต
กระทั่งเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม และจบการศึกษาก็ได้มีโอกาสได้ไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ และบรูไน ก่อนชีวิตจะมาประสบปัญหาจากพิษเศรษฐกิจ จึงเดินทางกลับบ้านที่รัฐเคดาห์ และตัดสินใจบวชพระ ในขณะที่อายุได้ 24 ปี โดยใช้ชีวิตอยู่ในผ้าเหลืองถึง 5 พรรษา
ตลอด 5 ปี “เสี่ยมเบ๊” ได้มีโอกาสติดตามพระไทยเข้าสู่เมืองไทยเป็นครั้งแรกด้วยการธุดงค์ผ่านทางด่านสะเดา จ.สงขลา ก่อนจะเดินทางไปทั่วประเทศมีโอกาสไปปักกลดนั่งวิปัสสนามาทั่วทุกภาค ไม่เว้นแม้กระทั่งที่ประเทศพม่า และเขมร
“5 ปีผมรู้สึกศรัทธาคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะทุกวันจะฟังคำสวดมนต์ผ่านซาวอะเบาว์จนจำขึ้นใจและท่องได้ จากนั้นก็จะจดคำสอน หรือคำเทศน์ของพระอาจารย์ชื่อดังในเมืองไทยยุคนั้นลงสมุดโน้ต และพยายามทำความเข้าใจหลักคำสอนของพระพุทธองค์” นายบุญมา เล่า
จุดนี้เอง ทำให้เมื่อสละผ้าเหลือง เขาจึงหันมาสนใจเรื่องของวัตถุมงคลและพระเครื่องอย่างจริงจัง โดยเดินทางไปฝังตัวและเรียนรู้วิชาดูพระจากเซียนพระในสำนักท่าพระจันทร์ ก่อนจะเดินทางกลับมาเลเซีย และเริ่มบุกเบิกตลาดพระในถิ่นเสือเหลืองเป็นคนแรก
“ผมเปิดตู้พระอย่างเป็นกิจจะลักษณะที่มาเลย์ในปี1995 โดยมีการแลกเปลี่ยน และเช่าบูชาตามหลักของเมืองไทยเต็มรูปแบบ แต่การเล่นยังสะเปะสะปะเพราะข้อมูลและองค์ความรู้ของลูกค้ายังมีน้อย จึงนำไปสู่การเริ่มคิดทำหนังสือพระภาษาจีนมาเลย์”เขา กล่าว
"ไอ๊เจ๊ก" ของหลวงพ่อคูณ
เสี่ยมเบ๊ บอกว่า หนังสือพระภาษาจีนในมาเลซียเล่มแรกเปิดตัวในต้นปี2008 โดยใช้เงินทุนของตัวเองทั้งหมด โดย “เสี่ยม”แปลว่าม้า หากเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็จะออกเสียงเป็นภาษไทยว่า “สยาม” ส่วน “เบ๊” นั่นเป็นนามสกุล จึงเอามาร่วมกันเป็น “เสี่ยมเบ๊”อันเป็นชื่อหนังสือ
สำหรับหนังสือเล่มแรกหน้าปกเป็นเรื่อง “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม”หรือ “วัดพระแก้ว” ซึ่งเป็นศาสนสถานที่มีความหมายและสำคัญยิ่งของคนไทย และที่สำคัญชาวมาเลเซียจำนวนมากยังเดินทางมากราบนมัสการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้าน คู่เมืองของสังคมไทยไม่ขาดสาย
ไม่เพียงเท่านั้นหนังสือฉบับแรกยังมีเรื่องราวของ “สมเด็จพุทธาจารย์โต” แห่ง “วัดระฆัง”อันได้ชื่อว่าเป็นพระเถระรูปสำคัญ และเป็นผู้สร้างพระเครื่องตระกูลสมเด็จ ซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็น “จักรพรรดิ์พระเครื่องของไทย”
นอกจากนี้ “เสี่ยมเบ๊”ยังถ่ายทอดเรื่องราวของ “หลวงพ่อคูณ” วัดบ้านไร่ ลงในหนังสือเล่มแรกชนิดละเอียดยิบ เพราะพระผู้ได้สมญาว่า “เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด”เป็นพระที่คนมาเลเซียรู้จักดี
“พระแก้วเป็นของคู่บ้านคู่เมืองสยาม สมเด็จโตก็เป็นที่สุดของพระไทย ส่วนหลวงพ่อคูณเป็นพระที่พูดถึงนาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก และที่สำคัญเมื่อครั้งบวชเรียนได้ไปอาศัยวัดบ้านไร่เป็นที่ศึกษาธรรมมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผมเคารพศรัทธาหลวงพ่อคูณมากชนิดท่านเรียกผมว่าไอ้เจ๊กตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”เบ๊ ยองจู เล่า
เขาบอกว่าสาระในหนังสือจะประกอบด้วยอัตชีวประวัติพระเกจิของเมืองไทย วัดที่สำคัญทั่วประเทศ สถานปฏิบัติธรรม รวมไปถึงประวัติการสร้างวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ ที่มาพร้อมกับข้อมูลหรือตำหนิที่ช้วยชี้เก๊-แท้ของพระแต่ละองค์อย่างละเอียดยิบ และที่สำคัญในหนังสือจะมีบทสวดมนต์อีกด้วย
และสิ่งที่หนังสือเล่มนี้จะขาดไม่ได้ คือเรื่องราวของ “หลวงพ่อครน”แห่ง “วัดบางแซะ รัฐกลันตัน” ที่คนมาเลเซียยกสมญานามให้เป็นดั่ง “โต๊ะรายา”หรือ “ราชาพระเครื่อง” เพราะพระรูปนี้เป็นพระจากประเทศไทย โดยได้ชื่อว่าเป็นพระผู้ให้ และมีเมตตาสูง จึงเป็นที่เคารพสักการะของผู้นับถือศาสนาพุทธในดินแดนเสือเหลืองอย่างมาก
"เสี่ยมเบ๊" เป็นนิตยสารรายไตรมาส โดยแต่ละเล่มจะเดินทางเข้ามาเก็บข้อมูลในเมืองไทยราว 30 วัน จากนั้นจึงกลับไปดำเนินการผลิตเนื้อหาและรูปเล่มที่มาเลเซีย โดยเบ๊ ยองจู จะทำหน้าที่เขียน และเรียบเรียงข้อมูล รวมทั้งถ่ายภาพด้วยตัวเองทั้งหมด ส่วนผู้ช่วยอีกคนจะเป็นคนจัดหน้าก่อนจะส่งโรงพิมพ์เพื่อนำออกจำหน่าย
“ผมใช้เวลา 1 เดือนทั้งวางแผนและเดินทางเข้ามาในเมืองไทยเพื่อรวบรวมข้อมูล สัมภาษณ์ และถ่ายภาพ ก่อนจะกลับไปเรียบเรียงเนื้อหา จากนั้นจะส่งให้ลูกน้องจัดหน้าโดยขั้นตอนการพิมพ์ทั้งหมดผมจะดูแลอย่างใกล้ชิด”หนุ่มผู้กุมบังเหียนหนังสือพระเล่มแรกในมาเลย์ เล่า
ทั้งนี้ “เสี่ยมเบ๊”สนนราคาจำหน่ายเล่มละ15 ริงกิต ส่วนในเมืองไทยจะวางจำหน่ายเล่มละ 200 บาท โดยยอดพิมพ์ปัจจุบันอยู่ที่15,000เล่ม/ครั้ง โดยหนังสือพระเครื่องสัญชาติมาเลเซีย นอกจากจะวางแผงในมาเลย์แล้ว ยังวางแผงในเมืองไทยเดือนละ 500 เล่ม โดยกระจายอยู่ที่ อ.หาดใหญ่ และศูนย์พระเครื่องชั้นนำในกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ยังส่งไปขายที่ประเทศจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์อีกจำนวนหนึ่ง โดยปัจจุบันหนังสือพระเล่มนี้พิมพ์มาถึงฉบับที่ 16 แล้ว โดยหนุ่มเลือดมังกรรายนี้ ตั้งใจว่าจะทำหนังสือไปจนถึงเล่มที่ 50 เท่านั้น เนื่องจากต้องการให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่วงการพระเครื่อง และที่สำคัญเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ความศรัทธา ไม่ใช่สิ่งของที่ทำมาพร่ำเพรื่อหรือแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น
“หนังสือผมไม่มีโฆษณา เพราะการมีเรื่องสินค้า เอเจนซี่ หรือสปอนเซอร์เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เราสูญเสียจุดยืน รวมทั้งกระทบอุดมการณ์ในการทำหนังสือเรา จนในที่สุดต้องแปรเปลี่ยนแนวทางการทำงานเพื่อเอาใจนายทุน ดังนั้นผมจึงขอสร้างสิ่งดีงามให้แก่วงการพระเครื่องให้มากที่สุดด้วยการควักกระเป๋าทำด้วยตัวเองทั้งหมด”เสี่ยมเบ๊ กล่าว
ย้อนกลับไปในอดีต ก่อนจะลงมือทำหนังสือหนุ่มใหญ่ชาวมาเลเซียรายนี้ได้หอบโปรเจคท์นี้ไปเสนอโรงพิมพ์ รวมถึงบริษัททำหนังสือหลายแห่งในถิ่นเสือเหลือง และคำตอบที่ได้คือการเบือนหน้าหนี เพราะไม่มีใครมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ
แต่วันนี้ ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี หนังสือ “เสี่ยมเบ๊” กลับผงาดและประกาศให้นายทุนหลายคนรู้ว่าคิดผิด จนต้องกลับมาขอร่วมทุนและสนับสนุนเม็ดเงินในการทำหนังสือ
“ผมไม่ได้หวังเรื่องยอดขาย เพราะผมมีเงินเพียงพอแล้ว แต่การทำหนังสือคือความต้องการที่อยากให้คนมาเลย์ รวมถึงชาวจีนที่นับถือศาสนาพุทธ ได้มีโอกาสศึกษา และมีองค์ความรู้เพื่อประกอบการพิจารณาและตัดสินใจก่อนจะเชื่อสิ่งใดๆ ที่สำคัญผมดีใจที่หนังสือที่ทำมีส่วนช่วยให้วงการพระเครื่องเมืองไทยเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น”เบ๊ ยองจู พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หนุ่มใหญ่จากมาเลเซียรายนี้ ทิ้งท้ายว่าที่ชีวิตมีวันนี้ได้เพราะยึดหลักทางพระพุทธศาสนานั่นคือ
"มีศีล มีธรรม มีสติ หากครองตนอยู่ใน 3 สิ่งนี้ได้ เชื่อว่าจะสามารถดำเนินชีวิตให้ประสบแต่ความสุข และพบเจอแต่สิ่งดีได้แน่นอน"
……………………………………….
ไกด์บุคชวนทำบุญ
"เสี่ยมเบ๊”ไม่ได้เป็นเพียงหนังสือพระที่มีเนื้อหาภาษาจีนเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยเนื้อหาสาระและเรื่องราวดีๆ ของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม อันดีงามของสังคมไทยทุกภูมิภาค ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่นอกจากหนังสือเล่มนี้จะเป็นไกด์บุคในการศึกษาพระเครื่อง และวัตถุมงคลแล้วยังเป็นคู่มือเที่ยวไทยให้นักท่องเที่ยวเชื้อสายจีนทั่วทุกมุมโลกเดินทางเข้ามายังเมืองไทยได้อีกด้วย โดยเฉพาะเมืองหาดใหญ่ที่เป็นประตูด่านแรกในการท่องเที่ยวและศึกษาพระเครื่อง
ประเสริฐ ลดาชาติ ชาวไทยเชื้อสายจีนในอำเภอหาดใหญ่ แฟนหนังสือเสี่ยมเบ๊ตัวยง บอกว่าหนังสือ เล่มนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อวงการพระเครื่องไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวอีกด้วยเพราะข้อมูลข่าวสารที่ชัดเจนและละเอียดรวมถึงภาพถ่ายสถานที่ โดยเฉพาะการบอกเส้นทาง และที่พักในการเดินทางไปทำบุญ ณ วัดต่างๆ ทั่วประเทศ
“ผมมีพรรคพวกทั้งสิงคโปร์ มาเลย์ จีน และฮ่องกง ที่เดินทางไปเที่ยววัดในภาคใต้ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคเหนือ จากการที่เขาได้อ่านหนังสือพระภาษาจีนเสี่ยมเบ๊เล่มนี้ ดังนั้นจึงบอกได้เลยว่าเป็นหนังสือที่ดีและมีประโยชน์ต่อบ้านเราไม่น้อยเลยทีเดียว”ประเสริฐ ในฐานะแฟนหนังสือตัวยงกล่าว
เขา กล่าวทิ้งท้ายว่า ยิ่งไปกว่านั้นหนังสือเล่มนี้ยังมีคำวัด และบทสวดมนต์ รวมถึงคำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม ที่เป็นภาษาจีน ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมและร่วมจรรโลงพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง
แทบไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวที่ร้อยเรียงผ่านตัวอักษรภาษาจีนของหนังสือเล่มหนึ่ง จะเป็นหน้าต่างบานสำคัญที่เปิดให้คนภายนอกได้ยลอีกมุมหนึ่งที่งดงามของสังคมไทย
โดย : ดาวเรือง รัตนะ
Life Style
วันที่ 11 พฤษภาคม 2554
By : bangkokbiznews.com