Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

สมโภชน์ วีระกุล…ประวัติศาสตร์ในคลีนิกสัตว์

 

    
              
  "เสียงเห่าดังหน่อยนะครับ"
                ชายสวมแว่นท่าทางสุภาพในชุดเสื้อกาวน์สีขาว หันมาบอกยิ้มๆเมื่อเดินเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์
คงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคำพูดที่ว่าจะดังขึ้นขณะกำลังพาน้องหมาไปหาหมอ
 
แต่นี่…เรากำลังจะคุยกับนักเขียน ที่ผลงานจากปลายปากกาของเขาคือ "นวนิยายอิงประวัติศาสตร์"
 
เจ้าของผลงาน “โจรสลัดแห่งสยาม” ที่ชื่อ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ สมโภชน์ วีระกุล หรือนามปากกา “สมโพธิ”
 
ชื่อจริงของคุณหมอคงคุ้นตาคอข่าวอยู่ไม่น้อย เพราะในฐานะผู้เชี่ยวด้านโรคสัตว์เฉพาะทางและเฉพาะชนิดสัตว์ ตั้งแต่พื้นๆอย่างสุนัข แมว  กระต่าย ไปจนถึงสัตว์เลื้อยคลานชื่อประหลาดอย่างชูการ์ไกลเดอร์ว ทั้งโรคทางระบบ และโรคติดเชื้อและไม่ติดเชื้อต่างๆ เพราะงั้นเวลาที่ใครต้องการคำตอบเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ คุณหมอจึงมาปรากฏอยู่ตามสารพัดสื่อพร้อมคำอธิบายถึงข้อสงสัยอย่างถี่ถ้วน
 
                แต่ในมุมที่ใครหลายคนอาจนึกไม่ถึง คุณหมอวางมีด เข็มฉีดยา ถอดถุงมือ มาเคาะแป้นคีย์บอร์ดเล่าเรื่องราวในโลกของศิลปศาสตร์และจินตนาการ
 
“ผมเริ่มจากการเขียนนิยายเลย ไม่ได้ลองเรื่องสั้นเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับการเขียนนิยายมากกว่า ช่วงไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นก็หัดเขียนเล่นๆเหมือนเขียนบันทึกประจำวัน แล้วค่อยๆพัฒนาเป็นนิยาย” อาจารย์คณะสัตวแพทย์ ม. ขอนแก่น, เจ้าของโรงพยาบาลสัตว์ขวัญคำอธิบาย
 
ช่วงเวลาของการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ณ เมืองปลาดิบ นอกจากจะมีเวลาช่วงกลางคืนมาสร้างสรรค์นิยายเล่มแรกของเขา “โคซังโคโร บุรุษแห่งเอกภพ” จนเข้ารอบยี่สิบเล่มสุดท้ายในโครงการทมยันตีอะวอร์ด ในนามปากกา “กอวีระกุล” แล้ว รูปเก่าๆใน “มติชนสุดสัปดาห์” ซึ่งเป็นภาพเรือพาณิชย์ที่จอดเรียงรายในแม่น้ำเจ้าพระยาก็กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ สู่หนทางแห่งนวนิยายอิงประวัติศาสตร์
 
ที่แม้แต่นักเขียนมากประสบการณ์ยังมองว่าเป็นแนวปราบเซียน
 
“เห็นภาพเก่าๆแล้วก็สะดุดใจให้จินตนาการต่อว่าบ้านเมืองในยุคนั้นเป็นยังไง บรรยากาศคงสวยงามน่าชม ที่สำคัญคือการค้าขายระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติน่าจะคึกคักไม่น้อย ความสนใจเลยทำให้ไปค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ จนทำให้อยากเขียนนิยายขึ้นมา”
 
การค้นข้อมูลเพื่อนำมาประกอบการเขียนนิยาย เป็นงานที่หนักใช่ย่อย เพื่อสร้างฉากและตัวละครให้ดูสมบูรณ์และสมจริงที่สุด
 
“หลักๆจะเป็นเรื่องประเพณีวัฒนธรรม บรรยากาศบ้านเมืองในอดีต ลักษณะการค้าขายทางน้ำด้วยเรือซึ่งเป็นพาหนะหลักในการเดินทางและการค้าขายสมัยนั้น แม่น้ำลำคลองสายต่างๆที่เชื่อมโยงกันซึ่งในปัจจุบันก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะถูกถมกลายเป็นถนนหมด จริงๆตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักกับประวัติศาสตร์ เพราะเรื่องราวในอดีตมีเสน่ห์ทั้งในส่วนงดงามและด้านมืด ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเปิดโลกทัศน์ผมให้กว้างขึ้น”
 
แต่นิยายอิงประวัติศาสตร์ก็ไม่ใช่ตำราประวัติศาสตร์ จินตนาการจึงยังเป็นสิ่งที่สำคัญเสมอ
 
“จินตนาการกับข้อเท็จจริงในการเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องที่ต้องพยายามผสานมันให้ลงตัวที่สุด ซึ่งยากมากสำหรับผม เพราะผมไม่เคยเขียนมาก่อน ก็เลยนำประเด็นคอรัปชั่นกับการค้าทาสก็เป็นพล็อตหลักของเรื่อง เพราะผมมั่นใจว่าเบื้องหลังความเจริญทางเศรษฐกิจในยุคสมัยนั้น มีปัญหาเรื่องนี้และการเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าขุนมูลนายต่อชาวบ้าน ไม่ต่างกับยุคนี้ เพราะยังไงซะคนก็คือคน ไม่ว่าจะเกิดในห้วงไหนก็ตาม
 
แต่ใจลึกๆแล้วผมหวังให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับกลิ่นอายธรรมชาติ ความงดงามแห่งวิถีชุมชนและวัฒนธรรมที่สาบสูญไปจากสังคมปัจจุบัน ซึ่งภาษาจะมีส่วนช่วยมาก และการใช้ถ้อยคำนี้ก็เป็นจุดอ่อนที่สำคัญของผม เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนคลังคำน้อย เลยพยายามหัดเขียนพรรณนาทุกสิ่งที่เห็นรอบข้าง”
 
                แต่ความสมจริงและมีชีวิตชีวาในนิยายของเขา “โจรสลัดแห่งสยาม” คงพิสูจน์ได้ว่าคุณหมอภาคนักเขียนกำลังถ่อมตัวน่าดู
 
                ว่าไปก็ชักสงสัย ทั้งต้องสอน ทั้งต้องรักษาสัตว์ในโรงพยาบาลของตัวเอง แล้วจะเอาเวลาไหนมาเขียนหนังสืออีก
 
                "พยายามใช้ช่วงกลางคืน ฝึกให้เป็นวินัย แต่เอาเข้าจริงๆบางทีก็เหนื่อยเหมือนกัน" ว่าแล้วก็หัวเราะเสียงดัง ก่อนส่ายหัวแล้วเปรยว่า งานประจำหนักขนาดนี้ ยังไม่ยอมวางมือจากงานเขียน ท่าทางจะอาการหนัก
 
                คนเขียนชักติดการเขียนงอมแงม แต่ด้วยเวลาหายาก คนอ่านคงต้องรอนานหน่อยกว่าจะได้อ่านเล่มใหม่
 
                ตอนนี้ก็สนุกไปกับเล่มเดิม ที่เขาอุตส่าห์บรรจงสร้างสุดฝีมือก่อนแล้วกัน
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.praphansarn.com/