สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ
เคล็ดลับอยู่ตรงวิธีการ ในนิยายสืบสวนสอบสวนอาวุธของนักสืบไม่ใช่กำปั้นหรือปืนไม่ใช่กระทั่งสติปัญญาอันเฉียบแหลมอาวุธของนักสืบคือวิธีการ เชอลอคโฮมล์ถึงย้ำบ่อยๆว่า“ถ้าตัดอะไรที่เป็นไปไม่ได้ออกแล้วสิ่งซึ่งหลงเหลืออยู่แม้จะน่าอัศจรรย์ใจเพียงใดย่อมเป็นคำตอบที่ถูกต้อง” นี่คือวิธีการของยอดนักสืบแห่งเบเกอร์สตรีทส่วนวิธีการของปัวโรต์ยอดนักสืบของอกาธาคริสตีคือ“จะหาตัวฆาตกรให้เจอก่อนอื่นต้องเข้าใจเหยื่อ”
อะไรคือวิธีการของวิลเลียมแห่งบาสเคอวิลว์ภายหลังเกิดเหตุฆาตกรรมในอารามสงฆ์วิลเลียมถูกอาโบเจ้าอาวาสเรียกตัวให้ไปพบอาโบไม่ยอมให้พระนักสืบดำเนินการตามหาตัวฆาตกรต่อมิหนำซ้ำยังขับไล่เขาออกจากอารามอีกด้วยเมื่อวิลเลียมเดินออกจากห้องของเจ้าอาวาสเขาลองให้อัดโซศิษย์เอกสร้างสมมติฐานอธิบายการกระทำของอาโบดูอัดโซตอบว่า“เท่าที่กระผมร่ำเรียนมาจากท่านอาจารย์ก่อนอื่นเราต้องสร้างสองสมมติฐานซึ่งขัดแย้งกันเองและต่างน่าเชื่อถือด้วยกันทั้งคู่…”
ประโยคนี้เองคือวิธีการคือหัวใจของ สมัญญาแห่งดอกกุหลาบนิยายนักสืบสัญศาสตร์ผลงานชิ้นเอกของอุมเบอร์โตเอโค
อะไรคือสัญศาสตร์ประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยมากในการวิเคราะห์นิยายเล่มนี้คงเพราะเอโคเป็นศาสตราจารย์วิชาสัญศาสตร์(อาชีพคล้ายๆโรเบิร์ตแลงดอนตัวเอกเรื่อง รหัสลับดาวินชี) จนหลายคนเข้าใจว่าเอโคได้สร้างนิยายนักสืบแผนใหม่โดยผนวกสัญศาสตร์เข้าไปในขนบนิยายนักสืบดั้งเดิมความจริงแล้วในนิยายนักสืบยุคทอง(golden age mystery) แต่ไหนแต่ไรมาก็มีองค์ประกอบทางสัญศาสตร์แทรกอยู่เสมอเอโคเพียงแค่หยิบยืมเครื่องมือของอกาธาคริสตีดิกสันคาร์หรือโดโรธีเซเยอร์มาเป็นรากฐานให้กับนิยายประวัติศาสตร์ของตัวเองเท่านั้น(เอโคเป็นแฟนตัวยงของคริสตีตอนที่เขาไปบรรยายที่ฮาร์วาร์ดก็พูดถึงนิยายฆาตกรรมชวนฉงน)
สัญศาสตร์คือการศึกษาสัญลักษณ์อันเป็นองค์ประกอบหลักของภาษาและการสื่อสารปรัชญาสัญศาสตร์ยุคดั้งเดิมถือกำเนิดมาจากข้อความในพระคัมภีร์Genesis หลังจากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คนแรกพระองค์ทรงให้อดัมเป็นคนตั้งชื่อสรรพสิ่ง“…และไม่ว่าคำใดที่มนุษย์ใช้เรียกสิ่งนั้นนั่นคือชื่อของมัน” ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของ(signified) และชื่อ(signifier หรือสัญลักษณ์) จึงเป็นความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
สัญศาสตร์ยุคหลังค่อยขยับขยายไปอีกว่าชื่อเดียวอาจหมายถึงของได้หลายชิ้นหรือของชิ้นเดียวกันอาจมีชื่อได้หลากหลายตัวอย่างเช่น“pharmacon” ในภาษากรีกเป็นได้ทั้ง“ยา” และ“พิษ” หรือ“ทรัฟเฟิล” ซึ่งเป็นเห็ดชนิดหนึ่งในภาษาอิตาลีอ่านออกเสียงคล้าย“ปีศาจ” ในภาษาเยอรมันในภาษาไทยคือคำพ้องนานาพรรณที่เราร่ำเรียนกันมาตั้งแต่ประถมนี่เอง
นิยายนักสืบยุคทองคือนิยายสัญศาสตร์เหตุการณ์หรือเงื่อนงำที่ตัวเอก(และผู้อ่าน) เผชิญสามารถนำมาตีความได้หลากหลายการตีความเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นอยู่ด้วยว่าผู้อ่านตีความเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไปทางไหนนิยายนักสืบจึงเป็นนิยายประเภทเดียวที่ไม่ต้องการสื่อสารกับผู้อ่านหากต้องการให้ผู้อ่านจดจำและผนวกข้อมูล(สัญลักษณ์หรือsignifier) รวมถึงการตีความที่เป็นไปได้ทั้งหมด(signified) ไปกระทั่งถึงตอนไขปริศนาและนั่นคือเวลาที่ความเป็นไปได้ต่างๆนานาพังทลายจนเหลือคำเฉลยเพียงหนึ่งเดียวแต่ละเงื่อนงำในสมัญญาแห่งดอกกุหลาบตั้งแต่รอยเปื้อนบนนิ้วมือศพการฆ่าเลียนแบบพระคัมภีร์ล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ซึ่งชี้ช่องทางได้มากมายจนคนอ่านไม่รู้หรือเลือกไม่ถูกว่าคนเขียนตั้งใจให้หมายถึงอะไรกันแน่มีครั้งหนึ่งเอโคถึงขั้นเฉลยฆาตกรให้คนอ่านรู้โต้งๆเพียงแต่ซ่อนตัวตนนั้นภายใต้วลีและคำพ้องความหมาย
สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ ดำเนินเรื่องในชนบทประเทศอิตาลีช่วงศตวรรษที่14วิลเลียมและอัดโซไม่ได้มาที่อารามนองเลือดแห่งนี้เพราะเหตุบังเอิญ(ไม่เหมือนกับปัวโรต์หรือนักสืบในนิยายคนอื่นๆที่มักโผล่ไปยังสถานที่เกิดเหตุได้อย่างพอดิบพอดีทุกครั้งคราว) ภารกิจของทั้งคู่คือไกล่เกลี่ยการเจรจาระหว่างตัวแทนของพระสังฆราชและนักบวชผู้ศรัทธาลัทธิความยากจนพระสังฆราชไม่เห็นด้วยในลัทธินี้เพราะถ้าเหล่านักบวชปฏิเสธทรัพย์สินทางโลกก็เท่ากับปฏิเสธศูนย์กลางอำนาจแห่งคริสตจักรหรือตัวพระองค์เองด้วยนักบวชลัทธิความยากจนมีจักพรรดิแห่งบาวาเรียคอยหนุนหลังพระสังฆราชจึงยอมตั้งโต๊ะเจรจาโดยส่งตัวแทนมาพบเหล่านักบวชที่อารามอันเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม
หลายคนบอกว่านิยายเล่มนี้“อ่านยาก” เพราะไปติดตรงรายละเอียดเหตุไฉนผู้เขียนต้องร่ายยาวถึงเบื้องลึกเบื้องหลังความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนาด้วยเล่าเฉพาะประเด็นสืบสวนสอบสวนล้วนๆถ้วนๆไม่ได้หรือผมกลับคิดว่าสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ สมจริงสมจังกว่านิยายย้อนยุคทั่วไปความขัดแย้งพาคนอ่านเข้าสู่ยุโรปในยุคนั้นได้ดียิ่งกว่าการวาดภาพบรรยายฉากอย่างงดงามเอโคไม่ได้ต้องการเพียงให้ผู้อ่านเห็นภาพวัตถุสิ่งก่อสร้างหรือทิวทัศน์ในศตวรรษที่14แต่ยังหวังให้เราเข้าใจพื้นฐานความคิดอ่านของผู้คนสมัยนั้นอีกด้วย
ข้อถกเถียงหลักในสมัญญาแห่งดอกกุหลาบว่าด้วยเสียงหัวเราะมาจากคำถามว่าพระเยซูมีอารมณ์ขันหรือไม่เสียงหัวเราะเป็นอาวุธของเทวดาหรือปีศาจวิลเลียมเชื่อว่าเสียงหัวเราะช่วยให้มนุษย์เป็นมนุษย์ขณะที่นักบวชฝ่ายตรงข้ามบอกว่าอารมณ์ขันทำให้มนุษย์ไม่เกรงกลัวพระเจ้าและจะตกหลุมพรางของปีศาจได้ง่ายผมชอบข้อโต้แย้งทางศาสนาจำพวกนี้แก่นของศาสนาคริสต์จริงๆตรงไปตรงมาให้รักให้เชื่อให้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าแต่นักปรัชญาชาวตะวันตกก็ยังหยิบยกประเด็นต่างๆมาถกเถียงกันได้ไม่รู้จบ
เอโคเข้าใจคิดที่หยิบข้อขัดแย้งเรื่องเสียงหัวเราะมาเป็นศูนย์กลางของนิยายเพราะกลไกหลักของเรื่องตลกคือ“ชื่อ” (signifier) ที่มี“ความหมาย” (signified) มากกว่าหนึ่งตามหลักสัญศาสตร์ยุคใหม่นั่นเองพื้นฐานของเรื่องตลกไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดหรือวัฒนธรรมไหนมาจากคำพ้องทั้งนั้นเรื่องตลกประเภทแรกที่เด็กไทยรู้จักและคุ้ยเคยกันดีก็มาจากคำพ้องเสียงหรือคำที่มีเสียงใกล้เคียงกัน(เช่น“สอบได้” กับ“ได้สอบ”) เรื่องตลกที่ซับซ้อนขึ้นไปอีกเกิดจากว่าผู้เล่าจะซ่อนความพ้องนั่นให้ลึกซึ้งแค่ไหนในJokes and Their Relation to the Unconscious ฟรอยด์วิเคราะห์ว่าความตลกมาจากการ“ลัดเลาะทางความคิด” เมื่อความคิดสองอย่างซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงถูกเชื่อมต่อด้วยคำพ้องเสียงหัวเราะคืออาการปลดปล่อยพลังงานส่วนเกินอันเนื่องมาจาก“ทางลัด” ที่ว่า
จึงน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมศาสนาคริสต์หรือผู้มีอำนาจถึงได้ตั้งแง่กับเสียงหัวเราะนักโครงสร้างทางอำนาจสอดคล้องกับสัญศาสตร์ยุคดั้งเดิมหรือความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง“ชื่อ” คือสิ่งที่ใช้กำหนด“ความหมาย” ฉันใดผู้มีอำนาจก็สามารถกำหนดชะตาชีวิตของผู้อยู่ใต้อำนาจได้ฉันนั้นโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลมารับรองด้วยเพราะก็ไม่มีเหตุผลในความสัมพันธ์ระหว่าง“ชื่อ” และ“ความหมาย” (ยกตัวอย่างไม่มีเหตุผลใดเลยที่“สุนัข” หรือ“ผู้มีเล็บงาม” จะหมายถึงสัตว์ที่จริงๆแล้วมีดีที่จมูก) วาทกรรมอำนาจอื่นๆเช่น“กษัตริย์” เท่ากับ“ตัวแทนของเทพ” หรือ“คนที่ไม่เห็นด้วยกับเรา” เท่ากับ“ศัตรูของเรา” ก็เป็นความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งทั้งนั้นเสียงหัวเราะและการยอมรับโครงสร้างที่ไหลลื่นระหว่าง“ชื่อ” และ“ความหมาย” จึงเป็นภัยต่ออำนาจ
จุดยืนของวิลเลียมในความขัดแย้งต่างๆคือจุดยืนของเอโคในฐานะนักสัญศาสตร์ยุคใหม่ทั้งคู่เชื่อว่าไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าความจริงทุกอย่างสามารถมองต่างมุมหาข้อคัดง้างและสนับสนุนได้เสมออย่างจักพรรดิแห่งบาวาเรียเองที่จริงก็ไม่ได้ศรัทธาในลัทธิความยากจนแต่สนับสนุนนักบวชนิกายนี้เพราะต้องการเอาศัตรูของพระสังฆราชซึ่งเป็นหอกข้างแคร่ทางการเมืองมาเป็นพวกเดียวกันผู้อ่านนิยายอาจเข้าข้างฝ่ายนักบวชลัทธิความยากจนในทีแรกโดยเฉพาะคนไทยซึ่งถูกปลูกฝังทางวัฒนธรรมให้เข้าข้างคนจนแต่ในช่วงท้ายของนิยายเอโคเปิดเผยว่ามีผู้ศรัทธาความยากจนบางกลุ่มเข้าปล้นสะดมภ์โจมตีฆ่าฟันชาวบ้านเพื่อเผาทำลายทรัพย์สินเมื่อรู้เช่นนี้ก็พอเข้าใจได้เหตุใดพระสังฆราชต้องการกดคนเหล่านี้ให้อยู่ใต้อำนาจ
เวลาเกิดความขัดแย้งในสังคมทีไรถ้ายึดติดดีเลวเทพมารสุดท้ายเราก็จะเหมือนอัดโซเมื่อเริ่มต้นนิยายเขาหงุดหงิดทุกคราวที่ได้ยินอาจารย์พูดจาหลบเลี่ยงความจริงแต่เมื่อเหตุการณ์นองเลือดผ่านพ้นไปนักบวชหนุ่มถึงตระหนักว่าการยึดติดกับความจริงความเท็จก็นำมาได้ซึ่งโศกนาฏกรรม
ถ้าโลกนี้ไม่มีความจริงเลยแล้วเราจะเชื่อใครดีละระหว่างไม่เชื่อใครเลยกับเสี่ยงต่อการเชื่อคนผิดอย่างไม่ยั้งใจเราควรเลือกเดินทางไหนดี
นั่นคือคำถามซึ่งเอโคฝากทิ้งไว้ให้คนอ่านพวกเราทุกคน
โดย ภาณุ ตรัยเวช http://www.onopen.com/loveyouallmass/09-03-08/4665