สถาบันหนังสือแห่งชาติ ปณิธานของ มกุฏ อรดี
อาจกล่าวได้ว่าในช่วงระยะ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา แนวคิดเกี่ยวกับ “หนังสือ” และ “การอ่าน” ที่สร้างผลสะเทือนต่อวงการหนังสือชาติไทยรุนแรงที่สุด และน่าจะยิ่งยงต่อไปภายหน้าก็คือ การก่อตั้ง “สถาบันหนังสือแห่งชาติ” ของ มกุฎ อรดี
ผลงานของชายสูงวัยท่านนี้ –หนังสือ ผีเสื้อและดอกไม้ ปีกความฝัน และวรรณกรรมเยาวชนอีกหลากหลายในร่างเงาของ นิพพานฯ และวาวแพร รวมถึงหนังสือคุณภาพที่ผลิตในนามสำนักพิมพ์ผีเสื้อ บ่งบอกว่าเขาเข้ม พิถิพิถัน และต้องการสร้างมาตรฐานให้แก่วงการหนังสือเล่มของประเทศเพียงใด
กว่า 30 ปีที่ศึกษาวิจัยส่วนตัว มกุฏพบว่าระบบหนังสือของไทยมีปัญหาเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ ส่งผลสำคัญให้คนไทยอ่านหนังสือน้อย หรือนัยหนึ่ง เข้าไม่ถึงหนังสือดีมีคุณภาพ โดยไม่อาจแก้ไขเฉพาะห่วงโซ่ใดห่วงโซ่หนึ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นห่วงโซ่ของ– สำนักพิมพ์ บรรณาธิการต้นฉบับ นักเขียนนักแปล ระบบการพิมพ์ การจัดจำหน่าย ร้านหนังสือ ห้องสมุด บรรณารักษ์ จนถึงผู้อ่าน เป็นต้น
“ผมเห็นว่าหนังสือในประเทศไทยไม่มีระบบ ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ ทำให้การพัฒนาหนังสือและการอ่านของคนไทยไม่มีพลัง ไม่ก้าวหน้า และล้าหลังเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่นสิงคโปร์ และมาเลเซีย” มกุฏแสดงความคิด
เขาจึงริเริ่มเสนอรัฐบาลให้มีการจัดตั้งสถาบันหนังสือแห่งชาติ เพื่อเป็นสถาบันหลักของประเทศ ที่จะดูแล บริหารและพัฒนาระบบหนังสือโดยรวมให้เป็นเอกภาพและมั่นคง, จัดการหอหนังสือแห่งชาติเพื่อบริการประชาชนอย่างทั่วถึง, พัฒนาระบบห้องสมุดทั่วประเทศ, ระบบการอ่าน ตลอดจนเป็นศูนย์กลางของบุคคล องค์กรที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ และระบบการอ่านของชาติ โดยมีพระราชบัญญัติรองรับ และเมื่อมีกฎหมายออกมาจะทำให้เกิดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับหนังสือทั้งหมด
แนวคิดนี้เริ่มปรากฏความเคลื่อนไหวจริงจังเมื่อ พ.ศ.2545 เกิดการระดมสมองจากทุกภาคส่วนตอนต้นปี 2546 แต่จนถึงบัดนี้ ปณิธานที่มกุฏ อรดี ตั้งหวังยังเป็นเพียงแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญๆ ที่สถาบันหนังสือแห่งชาติจะต้องจัดการดูแลระบบที่ทำให้มีหนังสือดี มีคุณภาพ ราคาถูกและกระจายถึงมือประชาชนอย่างทั่วถึง ขอหยิบยกมากล่าวถึงดังนี้
-โรงเรียนวิชาหนังสือ ทำหน้าที่ปลูกฝังความคิดและสำนึกความรับผิดชอบ รวมทั้งการผลิตหนังสือดีมีคุณภาพให้คนในแวดวงหนังสือทุกรายละเอียดทุกขั้นตอน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสถาบันใดรับผิดชอบโดยตรง
-ระบบหมุนเวียนหนังสือ, หนังสือสาธารณะ สามารถใช้เทคโนโลยีและงบฯ บางส่วนช่วยให้เกิดระบบที่สามารถยืม-คืนหนังสือ”สำคัญ” จากหอสมุดมหาวิทยาลัยหรือห้องสมุดใหญ่ๆ ได้ทุกที่ คือยืมที่หนึ่งไปคืนอีกที่หนึ่งได้ หากมีค่าปรับ สามารถปรับผ่านบัตรเอทีเอ็ม, บัตรประชาชนด้วยระบบออนไลน์
-ระบบการสั่งหนังสือ (กระจายหนังสือไปยังห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดสาธารณะ) เมื่อมีศูนย์กลางรับผิดชอบจะทำให้สารมารถรู้ยอดพิมพ์ หนังสือเล่มที่ห้องสมุดต้องการ การสั่งพิมพ์พร้อมกันทำให้หนังสือราคาถูกลง 40- 50 เปอร์เซ็นต์ และได้หนังสือที่ออกแบบไม่เหมือนในท้องตลาด ช่วยลดปัญหาหนังสือหายไปในตัว
-ระบบการแปลหนังสือชั้นนำของโลก วรรณกรรมคลาสสิค ปัจจุบันไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าภาพ เอกชนไม่พิมพ์จำหน่ายเพราะเสี่ยง สถาบันฯ สามารถจัดพิมพ์อย่างมีคุณภาพ ราคาถูก (ไม่แสวงผลกำไร)
– ระบบสต็อกกระดาษ เพื่อช่วยเหลือสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก
– ระบบสนับสนุนและพัฒนานักเขียน ให้เกิดนักเขียนคุณภาพและสามารถดำรงอยู่ได้
-ผลิตบรรณารักษ์, ครูบรรณารักษ์แนวใหม่ ไม่ใช่คนนั่งเฝ้าหนังสือ หรือตำหนิคนใช้บริการไม่ให้ส่งเสียงดัง ทำหนังสือยับ ต้องมีบรรณารักษ์ที่เก่งเรื่องการระบายหนังสือสู่คนทั่วไป จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านให้คนเข้ามายืมหนังสือมากๆ เป็นที่พึ่งของคนที่คิดอะไรไม่ออกก็อยากเข้ามาหาความรู้ในห้องสมุด ใครอ่านหนังสือไม่ออกก็หาวิธีให้ข้อมูลความรู้ด้วยหนทางต่างๆ
ทั้งหลายเหล่านี้เป็นคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อผู้บริโภคหรือผู้อ่านโดยตรง ทำให้ประชาชนคนยากจนเข้าถึงหนังสือ และจะเพิ่มจำนวนคนอ่านหนังสือในประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาพจาก:http://bookandreading.com