Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

สถานการณ์นักเขียนไทย ในท่ามกลางกระแสสังคม

 

 
 
เมื่อยุคสมัยของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงตามความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ เหล่าค่านิยมจากอารยธรรมนานาประเทศหลั่งไหลเข้ามาอย่างเสรีโดยปราศจากการคัดกรอง จิตใจของผู้คนในสังคมก็เริ่มได้สัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่หลากหลาย
 
บางครั้งก็ชวนให้หลงใหลไปกับสิ่งสวยงามอันฉาบฉวย ก่อเป็นปมปัญหาซ้อนทับเกินกว่าจะแก้ไขให้หมดสิ้น ไม่เว้นแม้ในวงการนักเขียนและหนังสือในบ้านเรา ต่างก็ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน โดยจะเห็นว่าตามร้านหนังสือแทบทุกแห่ง มีหนังสือแปลหรือผลงานของนักเขียนจากต่างประเทศทั้งตะวันตก ตะวันออก เบียดบังผลงานของนักเขียนไทยจนซุกอยู่มุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น
 
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวนั่นเอง ประเด็น สถานการณ์ของนักเขียนไทย-ในท่ามกลางกระแสสังคมเป็นเช่นไร จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อในการอภิปรายกันอีกครั้งในงาน 'สัมมนานักเขียนสี่ภูมิภาค ครั้งที่ 1' โดยความร่วมมือระหว่างสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) เมื่อวันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2550 ที่ผ่านมา
 
งานนี้ได้ตัวแทนนักเขียนคุณภาพอย่าง อัศศิริ ธรรมโชติ, วัฒน์ วรรลยางกูร, โชคชัย บัณฑิตศิละศักดิ์ (โชคชัย บัณฑิต') และ ปาลิฉัตร ศาลิคุปต์ (กิ่งฉัตร) มาร่วมพูดคุย โดยมี ชมัยภร แสงกระจ่าง นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ นอกจากนี้ยังมีนักเขียนน้อยใหญ่มาร่วมแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากหน้าด้วย
 
เริ่มต้นที่การแสดงทรรศนะต่อสถานการณ์นักเขียนของ อัศศิริ ธรรมโชติ ว่า "ผมว่าทุกวันนี้มันสับสน เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วก็มีการจัดสัมมนาแบบนี้ เรื่องนักเขียนไทยจะไปทางไหน ตอนนั้นกระแสสังคมก็สับสนคล้ายกับทุกวันนี้ แล้วนักวิชาการท่านหนึ่งก็ลุกขึ้นมาบอกว่า นักเขียนไทยจะไปทางไหน อย่าไปรู้เลย เพราะอนาคตของประเทศจะไปทางไหนได้ ก็ยังไม่มีใครทราบ …
 
ในฐานะที่ผมเป็นนักเขียน แล้วก็เคยเป็นนักหนังสือพิมพ์ เหตุการณ์ในวันนี้มันทำให้ผมคิดถึงเมื่อ 30 ปีที่แล้ว สมัยที่ผมเรียนนิเทศศาสตร์ ตอนนั้นยังไม่มีใครเข้าใจเลยว่านิเทศศาสตร์คืออะไร เป็นข่าวสารอย่างไร บางคนก็สงสัยว่าเรื่องของข่าวสาร วิทยุ โทรทัศน์ มันจำเป็นต้องเรียนกันด้วยหรือ สมัยนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะมาเป็นช่วงยุคของข่าวสารเหมือนอย่างในทุกวันนี้
 
ผมมองว่าสังคมเมื่อก่อนนี้มันดูง่าย ไม่สลับซับซ้อนเหมือนปัจจุบัน สีขาวกับสีดำ มันแบ่งกันชัดเจน มองเห็นได้ง่าย หากดูจากที่ผ่านมา สมัยนั้นมันมีแค่ปากกากับกระดาษ โทรศัพท์แบบโบราณ พิมพ์ดีดสมัยเก่า แต่มันก็สามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธทางปัญญาได้ โดยใช้แค่มือของเราต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมต่างๆ หากจำกันได้ บทกวีสั้นๆ อย่าง 'เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน' บทนี้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับยุคนั้นได้ ก็เพราะมันเป็นการต่อสู้แบบตรงไปตรงมา ดังนั้นบทบาทจึงขึ้นอยู่กับนักเขียนเป็นส่วนมาก
 
จนกระทั่งมาถึงยุคปัจจุบัน ผมเข้าใจว่าตอนนี้เราอยู่ในยุคของสังคมบริโภคกันอย่างแท้จริง เมื่อพฤษภาทมิฬ เราเกิดเศรษฐกิจปี 2540 ตกต่ำ มันเป็นเศรษฐกิจแบบฟองสบู่ เมื่อฟองสบู่แตก มันก็ลอยลมไปสู่หน้าตาของคนไทยทุกชนชั้น จากวันนั้นมาจนวันนี้ เราก็ยังอยู่ในสภาพของฟองสบู่ที่จมไม่ลง สังคมทุกวันนี้ถึงได้ผันผวนมาก เนื่องจากกลายเป็นสังคมแบบต้องหาเงิน ไม่มีประหยัด ทุกคนต้องทำงานเพื่อให้ได้เงิน มันก็เลยทำให้เงินเป็นปัจจัยความอยู่รอดของคน สังคมทุกวันนี้กลายเป็นว่าคนไม่มีเงินเป็นคนไร้ศักดิ์ศรีอย่างสิ้นเชิง"
 
นักเขียนรางวัลซีไรต์ปี 2524 ยังกล่าวอีกว่า "ตามความเห็นของผม นักเขียนอย่างพวกผมทุกวันนี้ มันไม่ใช่เป็นเครื่องมือหรือเป็นหัวหอกทางวัฒนธรรมอีกต่อไป การทำหนังสือทุกวันนี้ ผมถามนักการตลาด มันทำให้นักเขียนต้องเป็นนักการตลาดไปด้วย ต้องไปนั่งขายหนังสือเอง ไปนั่งเซ็นหนังสือ ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็แข่งขันกับสังคมปัจจุบันไม่ได้
 
แต่ถึงอย่างไร นักเขียนอย่างเราก็ยังต้องติดตามกระแสข่าวเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ต่อไปอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งต้องหามุมมองความคิดที่แตกต่าง ควรเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนที่อยู่ภายนอกกรอบของสังคม อย่างคนยากจน คนด้อยโอกาสที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ด้วยทุกวันนี้ยังมีเด็กอีกเป็นล้านคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือภายใต้ความเจริญของเทคโนโลยีของสังคม และยังคงมีหมู่บ้านที่ยากจนที่สุดอยู่อีกเป็นร้อยหมู่บ้าน ซึ่งจุดนี้ยังคงเป็นบทบาทของนักเขียนที่จะเอามุมมองชีวิตเหล่านี้ ออกมาเผยแพร่ท่ามกลางสังคมที่มันสับสนวุ่นวาย ว่าในที่สุดแล้ว ใครกันที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
 
ท่ามกลางความขัดแย้งของสังคม มันเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมประชาธิปไตยที่จะมีความคิดแตกต่างกัน แต่เราจะต้องป้องกันความแตกแยก จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา จาก 3-4 เหตุการณ์ใหญ่ๆ ผมคิดว่านักเขียนมีหน้าที่ส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงานที่จะต้องสะท้อนสังคมให้เกิดสันติภาพ พยายามหลีกเลี่ยงความรุนแรง เพราะทุกชีวิตต่างก็มีคุณค่าด้วยกันทั้งสิ้น"
 
ด้าน วัฒน์ วรรลยางกูร กล่าวถึงสภาพการเมืองกับนักเขียนว่า "ในท่ามกลางความสับสน ถึงอย่างไรนักเขียนก็ยังต้องทำงานกันต่อไป ย้อนกลับไปดูเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมา นับจากปี 2475 เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ การปรับปรุงสภาพบ้านเมืองในลักษณะต่างๆ มันเป็นลักษณะที่เป็นไปเองมากกว่าที่จะเป็นไปตามการผลักดันตามนโยบาย ซึ่งเนื้อหาหลักของสังคมที่เป็นประชาธิปไตยอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคนั้น ได้รับการผลักดันน้อยมาก
 
ทั้งที่นักเขียนถูกหักภาษีโดยตรง ณ ที่จ่าย แล้วก็ทำหน้าที่เสียภาษีโดยอ้อม ด้วยการซื้อข้าวของเครื่องใช้อุปโภคบริโภค แต่เรากลับไม่ค่อยจะได้รับสิทธิอะไรสักเท่าไรนัก ไม่ค่อยจะได้ประโยชน์อะไร หากจะมีอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นเรื่องของ '30 บาท รักษาทุกโรค' ซึ่งที่เขาให้มาก็ไม่ได้ให้เพราะว่าเป็นสิทธิของประชาชนควรได้ แต่ให้เพราะมันเป็นประชานิยม
 
ทุกวันนี้สิทธิเสรีภาพของคนในสังคมก็ยังคงมีน้อย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความคุ้นเคยกับระบบที่เคยเป็นเจ้าขุนมูลนาย จนทำให้เราไม่กล้าพูดกันตรงๆ อย่างเป็นประชาธิปไตย ไม่กล้าใช้เสรีภาพเพราะกลัวว่าจะเป็นภัยกับตัวเอง แต่หากลองหันไปดูประเทศอื่นที่เป็นประชาธิปไตยกันจริงๆ สังคมเขาจะไม่วุ่นวาย ไม่มีการซื้อเสียงด้วยเงินเพียงสองสามร้อย เพราะรัฐเขามีสวัสดิการให้ ประชาชนเลยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้"
 
ขณะเดียวกันเขายังได้แนะแนวทางในการแก้ปัญหาว่า "ในท่ามกลางของความแตกต่าง แตกแยก เราต้องคิดถึงความรัก ความอยู่ร่วมกันได้ แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่ให้ความสำคัญกับรัฐสภา แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีรัฐประหาร เราจะต้องใจเย็นและอดทน แล้วใช้วิธีการอย่างประเทศที่มีอารยะ และอย่าไปพยายามดูข่าวมาก
 
ผมเตือนคนที่อยู่ข้างเคียงผมว่าอย่าไปดูข่าวมากนัก เพราะถ้าดูมากบางครั้งเราก็กลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์ได้ บางสถานการณ์ถ้าเราไปอยู่ใกล้ๆ มันเหมือนมีพลังดูดเราเข้าไป ถอยออกมาดูห่างๆ บ้าง พยายามใจเย็นๆ เพราะถึงอย่างไรโลกมันคงไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ ส่วนในเรื่องของหนังสือและทางวรรณกรรม นักเขียนอย่างเราก็มีหน้าที่เพียงรักษาความมุ่งมั่น ความสดชื่น บำเพ็ญบารมีในงานเขียนของเราให้ดี คือเขียนหนังสือให้ดีทุกวัน แล้วผลที่ได้ก็จะตามมาเอง" วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียนรางวัลศรีบูรพาปี 2550 กล่าว
 
ขณะที่ โชคชัย บัณฑิตศิละศักดิ์ กวีซีไรต์ปี 2544 ได้ให้ความเห็นต่อสถานการณ์ของกวีในปัจจุบันว่า "ผมมองว่าในส่วนของกวี โดยเฉพาะกวีสร้างสรรค์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากเอ็นจีโอ มีวิถีชีวิตไปในทางเดียวกัน คือ ยืนข้างความเป็นธรรม ยืนข้างกลุ่มของผู้เสียเปรียบ ซึ่งเท่าที่ผมได้ติดตามอ่านผลงานของกวีกลุ่มสร้างสรรค์นี้ พบว่าพยายามสะท้อนแง่มุมชีวิตของกลุ่มคนที่เสียเปรียบ พยายามที่จะเป็นปากเป็นเสียงแทน หากเปรียบทางเอ็นจีโอว่าเขาปฏิบัติงานทางกายภาพ กวีก็ปฏิบัติงานทางจิตวิญญาณ สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของยุคสมัยออกมา แล้วให้คนอ่านได้ตระหนักและรับรู้
 
ถึงอย่างไร นักเขียนก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องของการเขียนผลงานออกมาแล้วสะท้อนสังคม แม้ว่าบางรายจะหมกมุ่นอยู่แต่ในปรัชญาหรือธรรมชาติ หากสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ต้องก้าวออกมาเขียนผลงานในเชิงสะท้อนสังคมอยู่ดี แต่จะเขียนออกมาในแง่มุมไหน ก็ขึ้นอยู่กับชั้นเชิงในการเขียนของแต่ละบุคคล
 
ถ้าหากว่าสะท้อนมากไป เขียนรุนแรงเกินไป ก็อาจดูเป็นอนุรักษนิยม อันนี้ก็ดูจะตามสังคมไม่ทันจนเกินไปอีก ถ้าถามในทรรศนะของผม ผมเลือกที่จะสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยใหม่ที่มันเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม มันก็ยังคงเป็นภาระของกวีที่ยังต้องสะท้อนออกมา แม้ว่าอาจจะไม่ได้ชี้ทางแก้ปัญหา แต่มันก็ทำให้คนอ่านได้ฉุกคิดว่าทำไมผู้เขียนถึงได้สะท้อนภาพออกมาในแง่มุมนี้"
 
ส่วนมุมมองต่อการเป็นนักเขียนในปัจจุบันนั้น กิ่งฉัตร หรือ ปาลิฉัตร ศาลิคุปต์ มองว่า "นักเขียนรุ่นใหม่เขาก้าวไปเร็วมาก ตามสื่อไปเร็ว เราเองยังจะตามสื่อไม่ค่อยทัน อย่างสื่ออินเทอร์เน็ต ด้วยความไวของมันไปเร็วมาก จนถ้าเราตามสื่อ ตามยุคของสังคมไม่ทัน เราเองก็จำต้องปรับปรุงตัว ต้องศึกษาข้อมูลให้ทันตามยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา
 
สมัยนี้ถ้าจะให้ขายดีต้องเป็นไปตามกระแส เป็นเรื่องของแฟชั่น เป็นการแฉถึงเรื่องต่างๆ หรือเป็นเรื่องที่ติดเรทกันนิดหน่อย ซึ่งถือเป็นการเล่นกับความอยากรู้ของเด็กวัยรุ่นกันจริงๆ แล้วจะแก้ปัญหากันอย่างไร ถามว่านักเขียนรุ่นก่อน ยึดมั่นในอุดมการณ์ แนวคิด ในเรื่องของการสะท้อนสังคม สะท้อนเรื่องปัญหาของการเมือง สะท้อนความเป็นตัวตน-ความเป็นมนุษย์ในตัว ขณะที่นักเขียนเด็กในปัจจุบันไม่ใช่แล้ว ด้วยความที่สังคมกลายเป็นสังคมที่ยึดถือวัตถุนิยม มันทำให้เขาเลือกอ่านตามความพอใจ
 
ฉะนั้นหากว่าอยากจะแก้ไขปัญหาสังคม ปัญหาการสะท้อนความเป็นตัวตนของนักเขียนจริงๆ เราจะต้องมาดูว่าควรทำอย่างไรที่ให้นักเขียนเด็กพวกนี้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นจากความคิดดั้งเดิม ให้ก้าวไปสู่ความคิดที่ว่า งานของฉัน ฉันอยากจะนำเสนออะไรที่มากไปกว่าเรื่องความรักหรือสไตล์เรื่องเกาหลี ตัวดิฉันเองไม่เคยคิดว่าหนังสือเรื่องประเภทนี้เป็นเรื่องที่ไม่ดี ด้วยคิดว่าการที่หนังสือเล่มหนึ่งจะออกมาได้ มันต้องมีความดีในตัวของมันเองอยู่แล้วในระดับหนึ่ง…แต่ปัญหาคือบางครั้งมันหายากเหลือเกินที่จะหาความดีหรือความเด่นของหนังสือเล่มนั้น"
 
นักเขียนนวนิยายขายดียังกล่าวถึงแนวทางในการพัฒนาการอ่านของเด็กรุ่นใหม่ว่า "เวลาเราจะแก้ไขปัญหา เราควรจะมองไปข้างหน้า ไม่ควรย้อนไปมองดูแล้วว่าเราทำอะไรเพื่อปัจจุบัน เพื่ออดีต แต่ต้องมองว่าเราจะทำอะไรเพื่ออนาคต ซึ่งก็เหมือนกับท่านผู้นำในทุกวาระสมัยที่บอกว่าเด็กไทยคืออนาคตของชาติ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้อยากให้มุ่งไปที่นักเขียนหรือนักอ่านที่ยังเป็นเด็กอยู่ จะได้ค่อยๆ พัฒนาต่อไปได้
 
สมัยก่อนนี้จะเชื่อว่าหากใครบอกว่าอ่านอะไรก็ได้ ขอให้เริ่มอ่านก่อน ขอให้หยิบขึ้นมาเถอะหนังสืออะไรก็ได้ แต่ปัจจุบันนี้ชักจะสงสัยในคำพูดนี้ และในความคิดของตัวเองคิดว่ามันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นแล้วก็ได้ เพราะถ้าบางครั้งเราเข้าร้านหนังสือ เราไม่มีหนังสือที่ดีให้เขาอ่าน แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะพัฒนาการอ่านที่ดีของเด็กคนนั้นให้ดีขึ้น มันไม่เหมือนกับยุคสมัยเมื่อสัก 10 ปีก่อน ที่หนังสือตามร้านขายหนังสือมีจำนวนน้อยกว่าในตอนนี้มาก อาจเป็นแค่หนึ่งในสี่ หนึ่งในห้า หรือหนึ่งในสิบของปัจจุบัน
 
แต่หนังสือที่มีอยู่บนชั้นสามารถหยิบมาอ่านได้อย่างสบายใจทุกเล่ม แต่ปัจจุบันมีหนังสืออยู่ในร้านเป็นจำนวนมาก เข้าร้านหนังสือไปแล้วก็เลือกไม่ถูก บางทีไม่รู้เลยว่าจะหยิบหนังสืออะไรหรือจะอ่านอะไร
 
จริงๆ ควรจะมีการสนับสนุนนักเขียนหรือว่าวรรณกรรมที่มีคุณค่าเป็นอมตะของเราบ้าง เป็นเรื่องที่รัฐบาลน่าจะจัดหาหนังสือดีมีคุณค่าเข้าห้องสมุด เพื่อที่เป็นการสนับสนุนให้เด็กรุ่นใหม่ได้อ่าน โรงเรียนหรือทางครูอาจารย์ก็น่าจะจัดให้มีการสัมมนาเพื่อหาโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น เพราะการสนทนาในวงของผู้ใหญ่ คงจะไม่ได้ผลอะไรมาก หากเราไม่ลงไปที่เด็กเพิ่มขึ้น"
 
เหล่านี้คือแง่มุมมองที่นักเขียนได้อภิปรายและแสดงทัศนะถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเพียงเสียงสะท้อนส่วนหนึ่ง และไม่ว่ากระแสของสังคมจะเป็นไปในลักษณะใดก็ตาม…นักเขียนก็ยังต้องเรียนรู้เพื่อก้าวตามโลกให้ทัน และจะต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดอยู่ดี
 
ส่วนจะเป็นอย่างไรและประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้น…ผลงานและผู้อ่านนั่นเองคือคำตัดสินสูงสุด!
 
ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ : รายงาน
จุดประกาย วรรณกรรม
ปีที่ 20 ฉบับที่ 6863
วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550