ศิลปวิถีของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี

บทบาทแรกของ ‘สุชาติ สวัสดิ์ศรี’ ที่ผู้เขียนมีโอกาสได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ก็คือ ตำแหน่ง บรรณาธิการ ‘เครางาม’ แห่งนิตยสารเรื่องสั้นสุดอัศจรรย์ของประเทศไทย ‘ช่อการะเกด’ นิตยสารที่มีส่วนในการผลักดันนักเขียนระดับแถวหน้าของชาติหลากหลายราย ซึ่งภายหลังก็ได้กลายเป็นนักเขียน S.E.A. Write กันไปหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น วินทร์ เลียววาริณ / วิมล ไทรนิ่มนวล / เดือนวาด พิมวนา / กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ / เรวัติ พันธุ์พิพัฒน์ หรือแม้แต่ ประชาคม ลุนาชัย ก็ล้วนแล้วแต่มีผลงาน ’ผ่านเกิด’ ในนิตยสาร ‘ช่อการะเกด’ กันมาแล้วทั้งสิ้น
หลังจากที่ผู้เขียนติดตามอ่านนิตยสารฉบับนี้อยู่ได้พักใหญ่ จึงได้ข้อมูลจากแหล่งใดก็จำไม่ได้ว่า บรรณาธิการผู้ช่ำชาญท่านนี้ เคยมีผลงาน รวมบทร้อยกรอง เรื่องสั้น บทละคร และบทความ ชื่อ ‘ความเงียบ’ ตีพิมพ์ออกเผยแพร่ให้คอหนังสือได้สัมผัส ‘รสนิยม’ และ ‘ลีลา’ การประพันธ์ในแบบของสุชาติฯ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 แล้ว ด้วยความกระหายใคร่รู้ใคร่เสพลวดลายในการสร้างสรรค์ผลงานของสุดยอดผู้เชี่ยวชาญแห่งวงการวรรณกรรมของสยามประเทศท่านนี้อย่างแรงกล้า ผู้เขียนจึงต้องตามหาหนังสือชื่อลึกลับเล่มนี้ตามแหล่งต่าง ๆ อยู่นานพัก จนมาสมรักเมื่อได้เห็นชื่อของหนังสือเล่มนี้อยู่ในทะเบียนบัตร ณ หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงตอนนั้นภาระอื่นใดที่ตั้งใจไว้ว่าจะเอาให้ลุล่วงก็จำต้องกลายไปเป็นเรื่องรอง เพราะพื้นที่โต๊ะที่ได้จับจองเอาไว้นั้น ถูก ‘ความเงียบ’ เข้าปกคลุมอยู่ตลอดทั้งค่อนวัน . . .
จบจากการไล่อ่านผลงานทั้ง 52 ชิ้นในหนังสือเล่มนั้น อันประกอบด้วย บทร้อยกรอง 40 บท เรื่องสั้น 9 เรื่อง และบทละครกับความเรียงอีกอย่างละชิ้นกันแบบตลอดรวดแล้ว ความรู้สึกแรกที่ยังพอจำได้ คือความฉงนสนเท่ห์ที่ผสมปนเปกันจนยากที่จะสรุปบรรยายออกมาได้ แม้ว่าเนื้อหางานโดยส่วนใหญ่จะสามารถจัดอยู่ในแนวแสวงหาที่ออกจะล้าสมัยไปแล้วบ้างสำหรับ ณ ขณะนั้น แต่ด้วยเทคนิควิธีการประพันธ์ในรูปแบบเฉพาะของคุณสุชาติฯ เอง ก็ยังสามารถสร้างเอกลักษณ์ที่แปลกต่างให้กับผลงานเล่มนั้นได้อย่างน่าสนใจ งานเขียนของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นอิสระจากกรอบเกณฑ์การประพันธ์ทั้งหลายโดยเสรี บทกวีของเขาไม่มีการยึดอิงกับฉันทลักษณ์ แต่กลับปล่อยถ้อยคำให้ถ่ายทอดห้วงความคิดภายในโดยใช้ลีลาของกลอนเปล่า ส่วนเรื่องสั้นทั้งเก้าก็ดูจะแหวกขนบที่นิยมใช้กันได้อย่างท้าทาย โดยเฉพาะเรื่องสั้นสุดอัศจรรย์อย่าง ‘มาจากไหน มาอย่างไร จะไปไหน’ และ ‘รถไฟเด็กเล่น’ ที่ดูจะไปได้ไกลเกินกว่าการมุ่งนำเสนอสารธรรมดา ๆ ด้วยลีลาในเชิงทดลอง ที่คงต้องลองอ่านกันเอาเองจึงจะเข้าใจในรสชาติ นอกเหนือจากความอิสระเสรีทางด้านรูปแบบแล้ว งานเขียนของสุชาติฯ ยังอุดมไปด้วยการเล่นคำล้อความด้วยโวหารแปร่งประหลาดเกินจะสาธยาย ที่ใช้อยู่มากมายก็เห็นจะเป็นการยียวนกวนใจกับวลีหรือคำความหมายขัด อย่าง ปฏิภาคพจน์ (paradox) หรือ ปฏิวาทะ (oxymoron) ประเภท ‘เสียงจากความเงียบ’, ‘เงาของผู้ชนะซึ่งได้รางวัลเยาะเย้ย’, ‘เมื่อวาน เธอรู้ไหม พ่อจะมาหรือไม่มา’, ‘จะลองทำบาปดู แล้วลงมือสวดมนต์’ หรือแม้แต่ ‘การแสวงหา อธิบายกับตัวเอง ให้ตัวเองไม่เข้าใจ’ (เอาเข้าไปสินั่น!!)
แม้จะไม่ได้เข้าอกเข้าใจในทุก ๆ อย่างที่สุชาติ สวัสดิ์ศรีเอง อาจต้องการนำเสนอในผลงานเล่มนั้น ผู้เขียนก็ยังคงรู้สึกติดค้างอยู่ในใจ ว่าทำไมบรรณาธิการผู้แตกฉานในวงการวรรณกรรมท่านนี้ จึงไม่ยอมสร้างสรรค์ผลงานที่จะทำให้คนอ่านขานรับได้พร้อมกันว่าเป็นวรรณกรรม ‘ชั้นดี’ แต่กลับหันไปผสมสีแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ที่ไม่ว่าจะเพียรอ่านกันขนาดไหนก็คงไม่สามารถบรรลุแจ้งในแสงแห่งความมืดจากผลงานเล่มนี้ได้
หลายปีต่อมา ผู้เขียนจึงมีโอกาสได้ครอบครองผลงานที่เคยเฝ้าตามหามานานเล่มนี้จากร้านหนังสือเก่าเจ้าหนึ่งในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ไม่เพียงจะได้ซื้อหา ‘ความเงียบ’ มาประดับหิ้งหนังสือส่วนตัวเท่านั้น แต่ผู้เขียนก็ยังได้คว้าผลงานเล่มที่สองของผู้แต่งคนเดียวกัน คือ ‘จินตนาการสามบรรทัด’ ติดไม้ติดมือกลับมา ด้วยสนนราคาสองเล่มรวมกันยังไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท ผลงานเล่มที่สองนี้เป็นการรวบรวมวรรณกรรมรูปแบบใหม่ที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ได้ประดิษฐ์ขึ้น นั่นคือ จินตนาการสามบรรทัด ซึ่งประกอบไปด้วย ถ้อยคำสั้น ๆ เรียงหลั่นส่งความหมายอยู่ภายในสามบรรทัด แม้จะมีการประกาศหรากันตั้งแต่ปกหน้าว่า ผลงานในเล่มนี้ ‘ไม่ใช่บทกวี’ แต่ถ้าลองดักจับสัมผัสกันดี ๆ ก็จะยังแลเห็นเค้ารอยของฉันทลักษณ์ในรูปแบบใหม่อย่างที่ไม่อาจอิดเอื้อน อย่างไรก็ตามที บทประพันธ์ชุดนี้ก็แสดงถึงความจัดเจนในด้านการใช้ภาษาของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ได้อย่างเด่นชัด ด้วยวลีเพียงสั้น ๆ ผู้ประพันธ์ก็ยังสามารถสื่อความ สร้างมโนภาพ ส่งทอดพลังอารมณ์ได้อย่างจัดเจนยิ่งนัก เห็นได้จากบางบทที่นับแล้วมีไม่ถึงสิบคำ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกใจหายใจคว่ำได้อย่างอยู่หมัด
‘นับพัน
เด็กเด็ก, นับพัน
สมสู่’
จากตอน ‘สถานีแปลกหน้ารออยู่เบื้องหน้าชะตากรรม’
ในส่วนของเนื้อหานั้นก็เรียกว่ามีมากมายหลากหลาย ไล่เรียงกันตั้งแต่การคารวะบุคคลสำคัญในตอน ‘ความงามช่างน่าเกรงขาม’ การแสดงจินตนาการสะท้อนยุคสมัยใน ‘นั่งนับจินตนาการรวมหมู่’ บทสังวาสระหว่างชายกับหญิงใน ‘สายลมพเยิดพยักสมสู่’ มุมมองเชิงศิลปะใน ‘ศิลปะในการเก็บละเอียด’ และบทวิพากษ์วิจารณ์สังคม การเมือง รวมทั้งสะท้อนการค้นหาความหมายเชิงปรัชญาชีวิตที่แทรกอยู่ในตอนอื่น ๆ อีกด้วย
นอกเหนือจากการถ่ายทอดจินตนาการด้วยถ้อยคำแล้ว สุชาติ สวัสดิ์ศรี ยังแสดงความสนใจในงานด้านทัศนศิลป์ด้วยภาพประกอบจินตนาการบางบทซึ่งเขาได้วาดขึ้นเองมาใช้เป็นส่วนนำคั่นก่อนจะขึ้นตอนใหม่ ภาพวาดในยุคแรกนี้จะเป็นภาพลายเส้นดำบนกระดาษขาวซึ่งก็ดูจะสะท้อนจินตนาการพิลึกพิลั่นหลุดโลกอันงดงามทว่าน่าเกรงขามของศิลปินท่านนี้ได้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างที่ได้เลือก scan มาให้ได้สัมผัสกันในสองภาพนี้
‘จินตนาการสามบรรทัด’ จึงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการผสานงานจิตรกรรมเข้ากับงานศิลปะแขนงวรรณกรรม ซึ่งจะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในผลงานเรื่องสั้นสองชิ้นที่ได้รับการตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2546 ในหนังสือ ‘เพราะ เช่น ซึ่ง จึง กับ แต่ ต่อ’ และ ‘สนามหญ้า 4.1: เธอเต้นรำอย่างเดียวดาย’ ภายใต้ชื่อ ‘เรื่องสั้นสิบบรรทัด’ และ ‘เรื่องสั้นยี่สิบบรรทัด’ ตามลำดับ โดยเรื่องสั้นทั้งสองนี้ เป็นเรื่องสั้นทัศนศิลป์ที่ประกอบไปด้วยภาพเขียนลายเส้นประกอบวลีที่อาจจะมีหรือไม่มีความหมายเรียงรายกันไปทีละหน้าจนครบจำนวนบรรทัดตามชื่อของเรื่องสั้น โดยภาพเขียนที่นำมาประกอบเรื่องสั้นทั้งสองนั้นแม้จะยังมีรูปร่างพอจะจับต้องแล้วป้องปากบอกได้ว่าเป็นรูปอะไร แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยนัยยะแอบแฝงที่จะต้องออกแรงสมองไตร่ตรองคิดหากันอย่างชวนฉงน ภาพในแต่ละเรื่องดูจะมี concept ร่วมกันแม้จะไม่อาจมั่นใจได้มากนัก แต่สิ่งที่ดูจะปรากฏชัดอยู่บ่อยครั้งก็คือ ‘รู’ มหัศจรรย์ ที่ชวนให้นึกอย่างรู้ว่าในรูนั้นจะมีอะไรอยู่ไหมหนอ? ความคลุมเครือในเรื่องสั้นทั้งสองชิ้นนี้สะท้อนทิศทางในการทำงานที่มีความเป็นนามธรรมมากยิ่งขึ้นกว่าใน ‘จินตนาการสามบรรทัด’ ได้อย่างต่างแตก
พร้อม ๆ กับผลงานเรื่องสั้นทั้งสองชิ้นนี้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ก็ได้เปิดแสดงผลงานจิตรกรรมที่เขาได้สร้างสรรค์เอาไว้เป็นครั้งแรก ในงานนิทรรศการเดี่ยว สุชาติโทเปีย ณ พิพิธภัณฑ์สวนผักกาด เมื่อปี พ.ศ. 2546 ซึ่งถือเป็นปฐมบทของการแสดงผลงานด้านทัศนศิลป์ของเขาที่มีขึ้นทุก ๆ รอบปี โดยครั้งล่าสุดก็เพิ่งจะเปิดตัวกันไปเมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ด้วยชื่อนิทรรศการ ‘ประวัติศาสตร์ส่วนตัว’ ณ หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ การแสดงในครั้งนี้เองที่ผู้เขียนได้มีโอกาสชมผลงานจิตรกรรมของคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี อย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก เมื่อได้ชมแล้วก็นึกเสียดายที่ตนเองไม่ได้ร่วมชมนิทรรศการที่จัดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งสามครั้ง เนื่องด้วยความสนใจส่วนตัวที่มีต่องานทัศนศิลป์นั้นยังไม่ถึงขั้นแรงกล้าจนต้องเสาะหาขวนขวาย จะพบเห็นได้ก็ต่อเมื่อมีโอกาสสะดวกใกล้เท่านั้น อีกทั้งความชำนิชำนาญในด้านทฤษฎีทัศนศิลป์ก็จัดว่าอยู่ในขั้นอ่อนด้อยง่อยหงอ จึงขออนุญาตบรรยายเพียงความรู้สึกส่วนตัวที่สัมผัสได้จากงานที่นำมาแสดงในครั้งนี้ให้พอได้เห็นภาพ
ในบรรดาผลงานกว่า 20 ชิ้นที่นำมาแสดงในครั้งนี้ดูจะมีสังกัปที่หยิบจับได้อยู่สี่กลุ่มใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ ภาพของสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ดูจะเน้นที่ประทุมถันกันมากกว่าส่วนอื่น ๆ อาทิ ‘สี่ดรุณี’ และ ‘กายสีน้ำเงิน’ ภาพแนวนามธรรมสะท้อนห้วงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ‘ทะเลเลือด’ ‘ขุนเขาพิโรธ’ และ ‘ในค่ำคืนมีแจ๊ส’ ภาพธรรมชาติซึ่งก็มีทั้งที่ยังบริสุทธ์และที่ถูกทำลายด้วยมลภาวะ อย่าง ‘ป่าเสรี’ ‘ขุนเขายะเยือก’ และ ‘อลหม่าน’ และภาพที่ให้สารทางการเมืองอย่างชัดเจน อันประกอบไปด้วย ‘รอยเลือดแห่งกรัง 6 ตุลาคม 2519’ ‘นักเขียนเก่าไม่มีวันตาย’ และ ‘14 ตุลาคม 2516’ ในผลงานทั้งสี่กลุ่มนี้ กลุ่มที่ดูจะมีเอกลักษณ์มากที่สุดก็เห็นจะเป็นกลุ่มที่แสดงภาพของสตรีรวมทั้งที่กำลังร่ำสวาทอยู่กับบุรุษ ซึ่งดูจะเป็นการสะท้อนความหลงใหลอันบริสุทธิ์ต่อสรีระร่างกายของหญิงสาว นมสองเต้า ส่วนโค้งเว้า รวมทั้งผมยาวสลวยมักได้รับการขับเน้นโดยไม่ใคร่จะเห็นการให้ความสำคัญกับส่วนอื่น ๆ มากนัก
สำหรับงานในกลุ่มที่สองนั้นก็ยังแสดงลีลาอารมณ์ในรูปแบบเฉพาะได้ชัดเจนไม่แพ้กัน ภาพส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้มักจะมีอารมณ์ที่เข้มข้นรุนแรงจากการตัดกันของเฉดสีแก่เข้มและลายเส้นอันหนักแน่น ส่งทอดความรู้สึกภายในออกมาให้ได้แลเห็นกันบนผืนภาพได้อย่างมีพลัง ส่วนงานในกลุ่มที่สามนี้ผู้เขียนยังคงมีความรู้สึกที่ผสมปนเป เพราะแม้บางภาพจะยังให้ความรู้สึกของการเป็นผู้ริเริ่ม แต่อีกหลาย ๆ ชิ้นอย่าง ‘ขุนเขายะเยือก’ และ ‘ภูผาทั้งน้ำเงินและเหลือง’ ก็ดูจะไม่น่าแปลกใหม่นักเพราะเคยผ่านเคยเห็นงานในลักษณะกันมาก่อนแล้ว ผลงานเหล่านี้จึงดูจะมีความเป็น สุชาติ สวัสดิ์ศรี น้อยที่สุดในบรรดาที่ข้าพเจ้าได้รับชมมา ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่ใช้งานทัศนศิลป์ถ่ายทอดมุมมองทางสังคมและการเมืองนั้น ก็จะดูจะเป็นการสานต่อแนวความคิดที่ศิลปินเคยได้นำเสนอเอาไว้ในผลงานวรรณกรรมและเรื่องสั้นทัศนศิลป์ กันไปแล้ว โดยยังมีจุดสนใจอยู่ที่ เหตุการณ์สำคัญของการเรียกร้องประชาธิปไตยในเดือนตุลาคมของทั้งสองปี พ.ศ. นั่นเอง
แม้งานจิตรกรรมของสุชาติ สวัสดิ์ศรีจะมีลีลาเฉพาะตัวในรูปแบบและทิศทางที่หลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นจุดร่วมที่น่าสนใจคือ ความสัมพันธ์โยงใยระหว่างชื่อภาพกับเส้นสีที่ปรากฏ เพราะจิตรกรโดยส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับการสื่อสารผ่านทางการเขียนวาดบนกรอบกระดาษหรือผืนผ้ากันมากกว่าที่จะให้ความสำคัญของชื่อเสียงเรียงนาม แต่ในกรณีของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี แล้ว ชื่อภาพและตัวภาพดูจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดชนิดที่ไม่น่าจะแยกออกจากกันได้ ความโยงใยอันนี้จึงเป็นเสมือนการสานต่อเทคนิควิธีการที่เขาเคยใช้ในเรื่องสั้นทัศนศิลป์ด้วยการส่งผ่านความหมายระหว่างคำและภาพที่จะต้องซึมซาบไปพร้อม ๆ กันจึงจะได้อรรถรสที่ครบถ้วน
นอกเหนือไปจากการแสดงผลงานจิตรกรรมแล้ว นิทรรศการในครั้งนี้ยังจะเป็นเวทีเผยแพร่ผลงานในรูปแบบใหม่ล่าสุดของศิลปินหลากหลายวงการท่านนี้ นั่นก็คือภาพเคลื่อนไหวในรูปแบบของนิยายทัศนศิลป์และภาพยนตร์สั้นเชิงทดลองอีกด้วย โดย programme ทั้งหมดจะจัดอยู่ในส่วนของกิจกรรมการจัดฉายภาพยนตร์ ‘เนตรวิถี’ ซึ่งนอกเหนือจะมีผลงานของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ฉายให้ได้ชมกันในวันแรกแล้ว ยังจะมีงานภาพยนตร์นานาชาติที่เกี่ยวข้องกับศิลปินทัศนศิลป์มาร่วมฉายอีกหลายเรื่องด้วย
สำหรับ programme ส่วนของคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรีซึ่งได้จัดฉายไปเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่ผ่านมา ก็จะประกอบไปด้วย นิยายทัศนศิลป์ ตอน ‘อาณาจักรแห่งเงา’ ซึ่งเป็นตอนต่อจากตอนแรกที่มีชื่อว่า ‘ครั้งหนึ่งครั้งนั้นในใจข้า’ ซึ่งเคยนำเสนอไปในงาน สุชาติมาเนีย เมื่อปี พ.ศ. 2547 และหนังสั้นเชิงทดลองอีก 13 เรื่อง หลังจากที่ได้ติดตามผลงานทั้งในส่วนของวรรณกรรมและจิตรกรรมของศิลปินท่านนี้มาเป็นเวลานาน ในที่สุดผู้เขียนก็ได้มีโอกาสสัมผัส ศิลปะของความเป็นสุชาติฯ ผ่านทางสื่อที่ผู้เขียนรู้สึกถนัดจัดเจนมากที่สุดกันเสียที โดยการบอกเล่ากล่าวถึงในครั้งนี้ คงจะต้องขออนุญาตละเว้นในส่วนของนิยายทัศนศิลป์ไป เนื่องจากเป็นงานที่ยังไม่จบสมบูรณ์และผู้เขียนเองก็ไม่มีโอกาสได้อ่านได้ชมในตอนแรกอีกด้วย จึงจะขอพูดถึงเฉพาะผลงานภาพยนตร์สั้นทั้ง 13 เรื่องที่ได้ออกฉายเป็นรอบปฐมทัศน์กันในวันนั้น
ผลงานหนังสั้นทั้ง 13 เรื่อง เหมือนจะถูกจัดแบ่งเอาไว้เป็น 4 กลุ่มลีลาด้วยกัน โดยกลุ่มแรกจะเป็นหนังสั้นเชิงนามธรรมอันประกอบไปด้วย ‘ห้องเสน่หา’ ‘สเริงระบำดำรู’ ‘ความลับในสวนศรี’ ‘ฝนโปรยคำ’ ‘กัลปาวสาน’ และ ‘ข้างในกับข้างนอก’ ส่วนกลุ่มที่สองก็จะเป็นการดัดแปลงบทกวีจากหนังสือ ‘ความเงียบ’ ออกมาเป็นหนัง โดยจะมีด้วยกันสองบทคือ ‘ผู้แคะเนื้อออกจากเหล็ก’ และ ‘ฝันร้ายในคืนฤดูร้อนของหนังสงครามไทย – อเมริกัน’ สำหรับกลุ่มที่สามนั้นก็จะเป็นกลุ่มหนังที่อิงกับเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญของชาติ ซึ่งก็มีเรื่อง ‘ไม่มีอะไรให้ดู’ กับ ‘มนัส เศียรสิงห์’ และกลุ่มสุดท้ายก็จะเป็นการสรุปด้วยลีลาแบบเบา ๆ ชวนให้รื่นรมย์ ได้แก่ ‘บทเพลงแห่งความรื่นรมย์’ ‘แม่ไม้’ และ ‘บนเส้นทางขนานคู่’ โดยผู้เขียนจะขอสรุปถึงหนังในแต่ละกลุ่มตามลำดับกันไปดังนี้
กลุ่มหนังสั้นนามธรรม
1. ‘ห้องเสน่หา’ เป็นหนังสั้นที่พาเราไปสำรวจดูห้องหับอันเป็นที่รัก ผ่านลำแสงวงน้อยที่คอยสอดส่องข้าวของที่ตั้งกองเป็นพะเนินเอาไว้ยามไฟดับ ในหนังเรื่องแรกนี้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้แก่คนดูกันตั้งแต่ชื่อเรื่องที่ชวนให้ไขบิดลูกกุญแจเข้าไปมองแลให้เห็นกันสักทีว่าไอ้ห้องนี้มันมีอะไร ซึ่งผู้กำกับก็ให้คำตอบแก่ผู้ชมได้อย่างหมดข้อกังขา ว่าห้องเสน่หาที่ว่านั้น แท้แล้วก็คือห้องเก็บงานวรรณกรรม งานจิตรกรรม และชั้นเก็บงานภาพยนตร์อันเป็นที่รักของผู้กำกับนั่นเอง หนังใช้ลำแสงน้อยคอยสอดส่องเพื่อสนองสันดานถ้ำมองต้องการรู้ต้องการเห็นของผู้ชมได้อย่างช่างคิด แถมยังปิดฉากด้วยการหักมุมเมื่อภาพสุดท้ายที่จะได้เห็นก็คือภาพถ่ายของคู่รักที่เหมือนจะทักให้ชวนคิดว่าความเสน่หาที่ได้จากวัตถุทางศิลปะทั้งหลาย ย่อมต้องมลายหายสูญหากไม่มีแสงสูรย์จากดวงไฟ แต่ความเสน่หาที่ได้จากคนข้างกาย ยังคงซาบซ่านอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยกระแสไฟจากแหล่งไหนกันเลย
2. ‘สเริงระบำดำรู’หนังสั้นสุดหรรษาที่คึกคักไปด้วยลีลาของดนตรี Jazz และเส้นแสงที่กำลังบิดตัวตามเสียงเริงระรัวของท่วงทำนอง นับเป็นงานนามธรรมบริสุทธิ์ที่สามารถถ่ายทอดห้วงอารมณ์ของความเป็น Jazz ด้วยองค์ประกอบหนังเพียงน้อยนิด แต่สามารถสะกิดต่อมโยกไหวให้คนดูได้ครื้นเครงไปกับเสียงดนตรีและลีลาพลิ้วไหวของลายเส้นได้อย่างสร้างสรรค์ยิ่งนัก ‘สเริงระบำดำรู’ เป็นงานที่พิสูจน์ถึงทักษะและความเข้าใจในจังหวะจะโคนของทั้งลีลาหนังและลีลาดนตรี Jazz ของผู้สร้างได้อย่างเด่นชัด จนสามารถตวัดลายเส้นธรรมดา ๆ ออกมาดิ้นพล่านได้อย่างมีชีวิต!
3. ‘ความลับในสวนศรี’ กลายเป็นงานที่ชวนให้ค้นหามากที่สุดในบรรดาหนังทั้งสิบสามเรื่อง หนังใช้วิธีการส่องให้คนดูเห็นภาพจากรูวงกลมซึ่งค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ว่าเส้นผ่านศูนย์กลางจะถ่างออกไปเพียงใด ภาพเหลี่ยม ๆ เขียว ๆ ที่เรียงรายก็มิได้ให้ข้อมูลใด ๆ ว่าอะไรกันหนอที่เป็นความลับ เพราะความลับจะต้องเป็นความลับที่ต้องเก็บลับ ถ้าไม่ได้เก็บให้ลับก็คงจะไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป ‘ความลับในสวนศรี’ เคยใช้เป็นชื่อภาพเขียนที่ออกแสดงในงานสุชาติโทเปีย เมื่อปี พ.ศ. 2546 ด้วย
4. ‘ฝนโปรยคำ’ นับเป็นงานที่ย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคำและภาพที่ดูจะเป็นหัวใจสำคัญในผลงานหลาย ๆ ชิ้นของสุชาติ สวัสดิ์ศรี กันเลยทีเดียว ฝนโปรยคำดูจะเป็นการผนึกทั้งถ้อยความ ภาพของเม็ดฝนที่โปรยปราย และดนตรีประกอบดุ๋งดิ๋งที่ให้บรรยากาศการตกกระทบของเม็ดพิรุณเข้าไว้ด้วยกันได้จนกลายเป็นหนึ่งเดียว หนังเหมือนจะถ่ายทอดลีลาการจัดวางถ้อยคำที่สะเปะสะปะไร้ระเบียบดังที่ศิลปินเคยแสดงเอาไว้ในผลงานวรรณกรรม โดยเปรียบเม็ดฝนกับถ้อยความที่ยังคงความงามของมันได้แม้จะอยู่ในสภาพเป็นคำ ๆ ไม่จำเป็นต้องดักรองกรองใส่ให้ต้องเรียงไหลต่อกันเป็นสายจนกลายเป็นประโยคหรือวลีใด ๆ ให้ต้องรกความกันเลย
5. ‘กัลปาวสาน’ หนังสั้นสะท้อนปรัชญาที่คุณสุชาติฯ สร้างอุทิศให้กับ คุณกรุณา และ เรืองอุไร กุศลาสัย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภารตวิทยา หนังแสดงภาพใบหน้าที่ละม้ายคล้ายพระพุทธรูปกำลังหลับตาเอนนอนอยู่อย่างสงบนิ่ง ท่ามกลางความสงัดเงียบอันยาวนาน โดยไม่เคยรู้สึกรำคาญแม้จะมีมดแมงมาคลานไต่ หนังใช้ภาพ extreme close-up จับทีละส่วนของใบหน้ากันอย่างใกล้ชิดชวนให้พินิจนึกตรึกตรอง ราวกำลังจ้องมองความตายที่ดูจะไม่ได้ต่างอะไรไปจากอาการสงบนิ่ง . . . ชั่วกัลปาวสาน
6. ‘ข้างในกับข้างนอก’ เป็นการสลับกันระหว่างภาพ close-up ของแสงกระทบลายไม้ในความเงียบ กับภาพที่ถ่ายจากตัวรถไฟที่ให้เสียงกึกกักตึงตัง สะท้อนถึงความสงบนิ่งภายในและความวุ่นวายของโลกภายนอก อย่างที่ไม่บอกก็คงไม่รู้ว่ากำลังสื่อถึงอะไร
กลุ่มหนังสั้นจากบทกวี
7. ‘ผู้แคะเนื้อจากเหล็ก’ จากบทกวีที่ผู้เขียนชื่นชอบมากที่สุดใน ‘ความเงียบ’ กลายมาเป็นหนังสั้นที่สร้างรสชาติแปลกใหม่ให้พลังมากที่สุดในบรรดาผลงานที่ฉายกันในวันนั้นเลยทีเดียว ผู้กำกับหยิบจับเอาบรรยากาศอันน่าขนลุกขนพองของการขูดแคะเศษเนื้อของเพื่อนที่เคลื่อนเข้าไปขดขยี้ไถสีกับโครงเหล็กจนอัด copy ติดหนึบเข้าด้วยกันอย่างสุดสยองขวัญ มาถ่ายทอดด้วยภาพอันช้ำเลือดช้ำหนองที่ยืมมาจากหนังทดลองของ Stan Brakhage ผนวกกับเสียงบรรยายเหตุการณ์จากบทกวีที่ทับซ้อนย้อนซ้ำจนฟังไม่ได้ศัพท์ หยิบจับได้เพียงบางวลีที่เหมือนจะข้องแวะกับการข้ามถนนในเมืองใหญ่ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้ก้อนเนื้อของใคร ๆ เข้าไปติดอยู่ในโพรงเหล็กของตัวรถได้หากไม่ระมัดระวัง มโนทัศน์ของการหลอมรวมกันระหว่างเนื้อหนังของร่างกายมนุษย์ที่อุดติดเข้ากับเนื้อเหล็กอันบุบบี้ในอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น ยังมีให้เห็นบ่อยครั้งในเรื่องสั้นและภาพประกอบหนังสือชุด ‘ความเงียบ’ อีกด้วย หนังเรื่องนี้นับเป็นตัวอย่างการใช้พลังของคำมาสร้างความรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนให้คลื่นเหียนได้อย่างเข้มข้นรุนแรง
8. ‘ฝันร้ายในคืนฤดูร้อนของหนังสงครามไทย – อเมริกัน’
สร้างจากบทกวี ‘ฝันกลางวันในฤดูร้อนของหนังสงครามไทย – อเมริกัน’ ที่อยู่ในหนังสือ ‘ความเงียบ’ เช่นเดียวกัน โดยจะเป็นการอ่านบทกวีด้วยน้ำเสียงที่ยืดยานลงเรื่อย ๆ อย่างน่าสะพรึง ประกอบกับภาพและเสียงการรัวปืนกลกันแบบมันระเบิดเถิดเทิงจากภาพยนตร์เรื่อง Predator (1987) ของ John McTiernan ตอนที่ได้อ่านบทกวีชิ้นนี้ผู้เขียนรู้สึกถึงได้เพียงส่วนที่ให้บรรยากาศในแบบไทย ๆ เพราะยังไม่มีส่วนไหนที่จะอิงโยงไปถึงหนังอเมริกันมากนัก แต่พอได้มาชมองค์ความคิดนี้ในรูปแบบภาพยนตร์แล้ว ก็รู้สึกว่าสามารถสัมผัสบรรยากาศของทั้งหนังไทย และหนังอเมริกันได้อย่างสมดุลขึ้น ภาพ Arnold Schwarzenegger กำลังรัวกระสุนปืนกล ประกอบเสียงบรรยายชวนตื่นระทึกที่จบลงด้วยวลีกราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าถูกยิง” ช่างผสานความระทึกในแบบไทย ๆ เข้ากับความระห่ำในแบบฉบับของหนังอเมริกันได้อย่างเหมาะเจาะและลงตัว
กลุ่มหนังสั้นอิงการเมือง
9. ‘ไม่มีอะไรให้ดู’ มาอีกแล้วกับการยียวนกวนอารมณ์ด้วยการใช้ paradox หรือปฏิภาคพจน์มายั่วล้อตรรกสำนึกของผู้ชมว่า ‘แล้วจะได้ดูอะไรกันไหมละนี่?’ ซึ่งก็โชคดีที่แม้จะไม่มีอะไรให้ดู แต่กูก็ยังได้ดูอะไรอะไร ‘ไม่มีอะไรให้ดู’เป็น music video medley ที่เรียงร้อยภาพเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องประชาธิปไตยไทย ไล่กันตั้งแต่วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิยอ 2475 มาจนถึง รัฐประหารครั้งล่าเมื่อ 19 กอยอ 2549 ประกอบเพลงปลุกใจหลากยุคหลายสมัย ให้บรรยากาศของการย้อนรอยประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยได้อย่างสังเขป โดยจะคั่นแต่ละตอนด้วยจินตนาการสามบรรทัดที่ผู้กำกับได้เคยรวบรวมตีพิมพ์ไว้ ส่วนชื่อหนังนั้นก็ได้มาจาก บรรทัดแรกของบท
‘ไม่มีอะไร, ให้ดู
นอกจากมีรู
และความเปลี่ยนแปลง’
ที่ใช้ประกอบตอนสุดท้าย 19 กอยอ 2549 นั่นเอง หนังสั้นเรื่องนี้ผู้กำกับอุทิศแด่ ศ.ศิวรักษ์
10. ‘มนัส เศียรสิงห์’ สำหรับสารคดีสั้นเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การถ่ายทอดเหตุการณ์ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตของมนัส เศียรสิงห์ หรือ แดง หนึ่งในผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตไปกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 โดยการใช้เทคนิคผสมอย่าง collage มาเรียงต่อกันให้เป็นเรื่องเป็นราว
กลุ่มหนังสั้นชวนรื่นรมย์
11. ‘บทเพลงแห่งความรื่นรมย์’ ในช่วงท้ายนี้ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ก็หันมาเปลี่ยนบรรยากาศสู่ความสดชื่นรื่นรมย์กันบ้าง ด้วยภาพหยาดฝนที่เจ่อนองกองอยู่บนพื้น ต่อด้วยภาพสตรีที่กำลังเปลือยเปล่านอนแผ่โค้งเว้าชวนให้เข้าไปสำรวจ จากนั้นหนังก็เข้าสู่ช่วงที่สองซึ่งเป็นการตัดภาพจากหนังเรื่อง King Kong (2005) ฉบับของ Peter Jackson ซึ่งกำลังเริงลีลาศอยู่กับนางเอกผม blonde บนพื้นน้ำแข็งอย่างแสน romantic ราวเป็นหนังที่แสดงการสดุดีสรีระและความอ่อนหวานของเพศหญิงจากดวงเนตรของอสูรกายร้ายผู้มีจิตใจอ่อนโยน
12. ‘แม่ไม้’ หนังทดลองที่ใช้วิธีการถ่ายทอดเรื่องราวจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง The Giving Tree ของ Shel Silverstein โดยการให้หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งมานั่งอ่านอาขยานกันจากต้นฉบับ สลับกับการเสนอภาพต้นไม้ใหญ่ในสภาพต่าง ๆ เพื่อให้บรรยากาศที่สอดคล้องไปกับตัวเนื้อเรื่อง เหมือนเป็นการทดสอบพลังของเรื่องราวจากคำพรรณนาโดยมิต้องอาศัยหรือพึ่งพาการแสดงกันแต่อย่างใด
13. ‘บนเส้นทางขนานคู่’ สำหรับเรื่องสุดท้ายก็คล้าย ๆ จะเป็นบันทึกส่วนตัวแสดงถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายบนรางรถไฟที่ดูจะเป็นอะไรที่พันผูกกับศิลปินท่านนี้มากว่าสามทศวรรษ ภาพบรรยากาศของรถไฟชั้นสาม สลับกับความงามของท้องฟ้าและมวลหมู่มาลี คลอประกอบด้วยดนตรีและเสียงร้องของ Judy Collins ที่ถ่ายทอดความสุขีมีสุขได้อย่างชวนให้รู้สึกอิ่มเอม
จากผลงานหนังสั้นทั้ง 13 เรื่องที่ได้กล่าวถึงไป จะเห็นได้ว่าศิลปินมีแนวคิดและ technique วิธีการที่หลากหลายในการบอกเล่าความรู้สึกภายในให้ผู้ชมได้สัมผัสผ่านภาพที่เคลื่อนไหวไปบนผืนจอ โดยแนวทางส่วนใหญ่ก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มหนังทดลองเชิงนามธรรมที่เน้นย้ำการจ้องมองบางสิ่งบางอย่างด้วยมุมมองเฉพาะตัว ความจัดเจนที่เห็นได้ชัดก็คือความสามารถในการใช้สื่อภาพยนตร์มาเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดประเด็นความคิดที่หนักแน่นและชัดเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งนัก จุดเด่นสำคัญที่ทำให้งานทั้งสิบสามชิ้นนี้มีพลังขึ้นมากก็คือความกระชับสั้นของการนำเสนออย่างรู้จังหวะ ผู้กำกับไม่เคยปล่อยปละให้ผู้ชมต้องจ้องมองภาพหนึ่งภาพใดยาวนานเกินความจำเป็น ทันทีที่สารหรือห้วงอารมณ์ใด ๆ ได้รับการถ่ายทอดจนครบถ้วนแล้ว หนังก็จะจบลงในทันที ความพอดิบพอดีอันนี้นับเป็นส่วนสำคัญกับงานหนังทดลองในทุก ๆ ประเภท เพราะการทิ้งค้างภาพหรืออารมณ์ใด ๆ ยาวนานเกินไป อาจส่งผลให้ผู้สร้างไม่สามารถแยกแยะปฏิกิริยาเชิงลบจากคนดูได้ว่า ความเบื่อหน่ายที่ปรากฏนั้นมาจากเนื้อ idea หรือความทรมานจากความยาวนานของตัวหนังกันแน่ ซึ่งก็เป็นกรณีที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในหนังของ ศะศิธร อริยะวิชา หรือแม้แต่งานยุคแรกของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
ลูกเล่นที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งซึ่งเหมือนจะเป็นการต่อยอดมาจากงานวรรณกรรมทัศนศิลป์ของผู้กำกับท่านนี้ ก็คือการส่งทอดกันระหว่าง คำ และ ภาพ ผ่านการเล่นล้อของชื่อเรื่องกับตัวหนังที่ดูจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย ส่วนนี้เองที่ทำให้งานทดลองของสุชาติ สวัสดิ์ศรี นั้นขาดความเป็นสากลเพราะมัวแต่ซุกซนอยู่กับถ้อยคำที่ต้องใช้สำนึกในเชิงภาษาไทยในการรับรู้อย่างที่จะขาดหายไปไม่ได้เลย แม้หนังทุกเรื่องจะมีชื่อภาษาอังกฤษคอยกำกับไว้ แต่เมื่อมานั่งไล่ดูใหม่ก็จะเห็นได้ว่า ความต่างทางภาษานั้นช่างเป็นอุปสรรคในการถ่ายทอดอะไรอะไรให้ตรงใจกันเสียจริง ๆ เพราะชื่อภาษาอังกฤษแต่ละชื่อนั้นช่างไร้พลังขาดความขลังแห่งเสน่ห์ ก ข ค ง ไปอย่างเห็นได้ชัด ใครคนไหนไม่เห็นด้วยบ้างว่าชื่ออย่าง ‘After the Rain Fall’, ‘Song of Joy’, ‘Secret Garden‘, ‘The Body Gatherer‘ หรือ ‘Dancing Moon‘ นั้นให้มโนทัศน์ที่ทรงพลังสู้คำไทย ๆ อย่าง ‘ฝนโปรยคำ’, ‘บทเพลงแห่งความรื่นรมย์’, ‘ความลับในสวนศรี’, ‘ผู้แคะเนื้อจากเหล็ก‘ หรือ ‘สเริงระบำดำรู’ กันอย่างเทียบไม่ได้เลย ยิ่งการใช้จินตนการสามบรรทัดมาประกอบใน ‘ไม่มีอะไรให้ดู’ และการสรุปความด้วยโวหารอติพจน์ใน ‘ฝนโปรยคำ’ ก็ยิ่งทำให้หนังทดลองของสุชาติฯ นั้น อิงติดกับความเป็นไทยชนิดที่ต่อให้ได้คนแปล subtitle ฝีมือฉกาจขนาดไหนก็คงจะไม่สามารถถ่ายทอดถ้อยคำเหล่านั้นผ่านตัว alphabet ได้มีพลังเท่าเทียม สิ่งนี้เองที่ทำให้งานหนังของทดลองของสุชาติ สวัสดิ์ศรีมีความแตกต่างไปด้วยเอกลักษณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยมีผู้กำกับรายไหนเคยคิดเคยทำกันมาก่อนเลย
สิ่งที่สังเกตได้อีกประการหนึ่งก็คือ มุมมองหนังที่ปรากฎในผลงานแทบทุกเรื่องนั้นมักจะเป็นการจับจ้องด้วยวิธีการส่องที่เหมือนจะเป็นการปิดป้องการมองเห็นของผู้ชมให้ focus ไปตรงส่วนที่ผู้กำกับต้องการ หนังของสุชาติฯ มักจะเริ่มต้นด้วยมุมมองที่แคบเล็กจนไม่รู้ว่ากำลังดูอะไร จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยายใหญ่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกันทีละนิด แล้วค่อยปิดท้ายด้วยการแถลงไขว่า ที่ได้เห็นไปนั้นมันคือสิ่งนั้นสิ่งนี้ การจ้องมองของสุชาติฯ จึงเสมือนเป็นการมองผ่าน ‘รู’ ซึ่งอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของความอยากรู้จนต้องออกแรงเดินเข้าไปดูให้เห็น อีกทั้งยังเป็นการสะท้อนทิศทางในการมองโลกด้วยการมุ่งความสนใจไปที่หน่วยย่อย แล้วค่อย ๆ ศึกษาความสัมพันธ์โยงใยของสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้น ซึ่งก็จะมากอปรกันจนได้ภาพใหญ่
ส่วนในด้านของ technique วิธีในการนำเสนอนั้น หลัก ๆ แล้วก็จะเป็นเพียงการฉายความคิดด้วยภาพและเสียงต่อเนื่องกันไปเป็นลำดับปราศจากความสลับซับซ