Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ว่าด้วยความเป็นเลิศทางศิลปะ สนทนากับกลุ่มวรรณกรรมภูเก็จ

 

         

       บรรยากาศยามเย็นโปร่งสบาย รถที่วิ่งผ่านไปมาเริ่มเบาบางลงแล้ว ผมได้มีโอกาสแวะมาที่ร้านหนัง (สือ) ๒๕๒๑ ของมารุต เหล็กเพชร นายแพทย์หนุ่มประจำเกาะยาว หรือนฆ ปักษนาวิน นักเขียนหนุ่มแห่งเมืองภูเก็ต ซึ่งเขาได้นัดหมายนักเขียนรุ่นพี่กลุ่มวรรณกรรมภูเก็จมาพบเจอกันที่ร้าน นำมาด้วยอาจารย์เสน่ห์ วงษ์คำแหง, อาจารย์วันเสาร์ เชิงศรีสมชาย บำรุงวงศ์ชิด ชยากร, และขวัญยืน ลูกจันทร์ มานั่งพูดคุยกันที่ร้าน ส่วนที่นั่งถัดไปอีกคนคือ ธิติ มีแต้ม สาราณียากรประจำกองปาจารยสาร ผู้ที่เดินทางมาถึงก่อนหน้าข้าพเจ้าไม่นาน

          ความเป็นมาของกลุ่มวรรณกรรมภูเก็จ เริ่มจากการพบเจอและพูดคุยของบรรดานักอ่านนักเขียนในจังหวัดภูเก็ต นับจากอาจารย์เสน่ห์ อาจารย์วันเสาร์ พี่สมชาย พี่ขวัญยืน และพี่ชิด ชยากร ตามลำดับ จนกระทั่งนฆ ปักษนาวินมาเปิดร้านหนังสือ ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งชุมนุมแห่งใหม่ของกลุ่มวรรณกรรมภูเก็จไปโดยปริยาย นอกจากการได้พบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันอ่านต้นฉบับแล้ว พวกเขายังเคยออกหนังสือมือทำชื่อ ลายพาดกลอน 3 เล่ม หนังสือฝัง ใจ ไฟ ฝัน 3 เล่ม โดยเล่มสุดท้ายเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นเกี่ยวเนื่องกับเหตุสึนามิชื่อ ธรรมชาติของการตาย

 

มองวรรณกรรมในยุคปัจจุบันอย่างไร

วันเสาร์ เชิงศรี – จากการที่ผมสังเกตและเฝ้ามองวงการวรรณกรรมมาหลายสิบปี ผมคิดว่าไม่มีวรรณกรรมประเภทไหนยืนยงอยู่ในระยะเวลาติดต่อกันได้นาน ตัวอย่างเช่น วรรณกรรมยุคสุภาพบุรุษ จะเน้นเรื่องการเมืองเพราะสภาพสังคมเป็นอย่างนั้น และเราอยากเห็นสภาพสังคมที่ดีกว่า จากนั้นพอบ้านเมืองอยู่ในยุคเผด็จการ งานที่ออกมาก็จะมีแต่เรื่องบันเทิง เช่นเรื่องบู๊หรือเรื่องรักหวานแว๋ว หรือนักศึกษาปัญญาชนก็จะอ่านพวกวรรณกรรมแปล ในเวลาเดียวกัน เรื่องตลกขบขันหรือนิยายรักนักศึกษามันก็ฮิตมากในช่วงไม่กี่ปี แล้วก็มีแนวเพื่อชีวิตขึ้นมาหลังจากเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองยุคตุลา แต่พอมาปัจจุบันและต่อไปข้างหน้า ซึ่งเราอาจได้รับอิทธิพลวรรณกรรมต่างประเทศมากขึ้น เราก็อยากทำงานอย่างนั้นออกมา ซึ่งอาจมีคนคิดที่คล้ายๆ กัน สร้างงานออกมาคล้ายๆ กัน ผมว่าตอนนี้เรายังอยู่ในช่วงเวลาที่ยังไม่ชัด ผมมั่นใจว่าในอนาคตมันต้องเปลี่ยนไปอีก ไม่มีอะไรอยู่แบบเดิมตลอด

สมชาย บำรงวงศ์ – วงการวรรณกรรมบางทีมันเหมือนแห่ไปตามแฟชั่น สมมุติเราตัดตอนมายังวรรณกรรมเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อชีวิตกับศิลปะเพื่อศิลปะมันก็ตีกัน พอแนวโน้มสังคมมาทางเพื่อชีวิต เวลาจะพิจารณาให้คุณค่าหรือให้รางวัลทางวรรณกรรม มันก็จะพิจารณาไปตามแฟชั่นในยุคนั้น อย่างช่วงเพื่อชีวิต งานอย่างอื่นที่ไม่ใช่เพื่อชีวิตก็จะถูกกวาดให้ตกไป ทั้งที่มันยังมีงานที่มีคุณค่าอยู่ เพียงแต่ว่าไม่เข้ากรอบของเขา  พอผ่านช่วงเพื่อชีวิตมาได้ แล้วกระโดดมาถึงช่วงที่อะไรก็โพสต์โมเดิร์น ถ้าใครเขียนออกมาแล้วเข้ากรอบโพสต์โมเดิร์นก็จะถูกเอามาพิจารณา ไฟจะส่องไปตรงนั้น วรรณกรรมอื่นๆ ที่ดีอีกหลายแนวก็จะตกไป ผมคิดว่าสังคมวรรณกรรมบ้านเรามันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้อีก ไม่ควรตกอยู่ใต้กรอบที่มันเป็นแฟชั่นชั่วครั้งชั่วคราว เพราะมันก็จะตกรอยเดิมอีก ซึ่งมันได้ฆ่างานวรรณกรรมดีๆ นอกกรอบออกไปในแต่ละช่วง เราน่าจะไปให้พ้นจากตรงนี้ได้แล้ว… และสิ่งที่เราต้องคิดคือว่า เราจะให้ค่าหรือประเมินคุณค่าวรรณกรรมอย่างไร เพื่อให้หลุดออกจากกรอบของแต่ละยุคสมัย ที่มันจะยุติธรรมกับวรรณกรรมทุกๆ แนวที่เกิดขึ้นในสังคม ทำได้แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ไม่ว่าจะประเมินออกมาในแบบที่เราชอบหรือไม่ก็ตาม เพียงแต่ไม่ให้มันถูกขังอยู่ในกรอบใดกรอบหนึ่ง

นฆ ปักษนาวิน – ผมว่าเราอยู่ในยุคสัญญศาสตร์ ไม่มีอะไรผิดถูก การประเมินคุณค่าของสิ่งต่างๆ มันไม่มีมาตรฐาน แล้วแต่ว่าเราจะหยิบอะไรมามอง เช่นวันหนึ่งนักวิจารณ์อาจหยิบนิยายสิบสตางค์มาวิเคราะห์หาความหมายของสังคมการเมืองที่อยู่ในช่วงเวลานั้น ก็กลายเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่าขึ้นมา เมื่อก่อนการประเมินค่ามันเป็นแค่วิจารณ์ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ซึ่งปัจจุบันผมคิดว่าเราไม่อาจเข้าไปเปลี่ยนอะไรได้มากหรอก เพราะถ้าเราเติบโตมาด้วยความคิดอุดมการณ์จากสังคมแบบไหน เราก็จะเป็นแบบนั้น พอมาถึงยุคนี้มันเลยกลายเป็นไม่มีกรอบ ใครเขียนอะไรก็เขียนไป เพราะคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน แต่ว่าในเมื่อเราทำงานศิลปะเราก็ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างงานศิลปะ ดังนั้น มาตรฐานไม่ได้อยู่ที่คนอื่น แต่อยู่ที่ตัวเองว่าเราจะเรียกร้องอะไรจากตัวเราเองได้แค่ไหน ในยุคของเราก็เขียนของเราไป อนาคตการพิจารณาวรรณกรรมมันจะหลากหลายกว่านี้ คุณค่ามันอาจจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้

เสน่ห์ วงษ์คำแหง – ต่อวรรณกรรมปัจจุบัน ผมสนใจเรื่องของตัวละคร ความรู้สึกหรือฉากที่บรรยายด้วยความสดใหม่ และมีความน่าสนใจ โดยอาจผสมผสานกับเทคนิคใหม่ๆ ที่นำมาเสนอมากกว่าอย่างอื่น แต่จะเป็นงานเขียนแนวไหนก็ได้ อย่างงานชิ้นใหม่ของรัตนชัย มานะบุตรที่ลงในช่อการะเกด 48เขียนงานแนวขนบแต่ฉากใหม่ก็มีความน่าสนใจ

ขวัญยืน ลูกจันทร์ – วรรณกรรมยุคปัจจุบันมันมีความหลากหลายมากขึ้น จริงๆ แล้วเราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าวรรณกรรมไม่ใช่ผลผลิตของสังคม พอสังคมมันหลากหลายมากขึ้น คนที่เขามีประสบการณ์แปลกๆ เขาก็เขียนเรื่องแปลกๆ นักเขียนในชนบทบางส่วนเขาก็ยังเขียนเรื่องเกี่ยวกับชนบท อย่างพวกผมอยู่กึ่งเมืองกึ่งชนบทเราก็เขียนเรื่องแบบนี้  เราเป็นนักเขียนเราไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้ ที่ปัจจุบันวรรรกรรมไทยมันมีความหลากหลายแบบนี้ เป็นเพราะสังคมเรามีการแบ่งย่อยเยอะมาก จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 9-10 ฉบับมันทำให้สังคมนี้มีตั้งแต่ยุคบรรพกาล กึ่งบรรพกาล จนถึงยุคโพสต์โมเดิร์น และต่อไปข้างหน้าอีก ซึ่งเมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้ ระยะห่างในแต่ละสังคมมันไม่มากนัก ยังอยู่ด้วยกันได้ แต่ตอนนี้มันแตกต่างกันเยอะ ชนบทบางแห่งกับในกรุงเทพฯ มันเหมือนอยู่กันคนละโลกเลย และมันมีส่วนในการทำให้วรรณกรรมมีความหลากหลายมากขึ้น

ธิติ มีแต้ม – อำนาจของวรรณกรรมในยุคนี้ยังสามารถนำพาสังคมไปได้ไหม

ขวัญยืน ลูกจันทร์ – อำนาจวรรณกรรมที่พี่สุชาติ สวัสดิ์ศรีพูดในภาพรวมของสังคมตอนนี้ การที่มันมีความหลากหลายมากทำให้มันไม่สามารถส่งอิทธิพลได้ชัดเจนเหมือนสมัยก่อน แต่อำนาจที่มีต่อผู้อ่านมีแน่นอน อย่างคุณอ่านเรื่องสั้นหนึ่งแล้วมีความประทับใจ สะเทือนใจเกิดจากอำนาจทางวรรณกรรมแน่นอน แต่ถ้าพูดในเชิงของส่วนที่จะไปชี้นำสังคม ผมว่ามันคงจะเลยยุคนั้นมาแล้ว เราไม่ได้อยู่ในยุคที่วรรณกรรมเป็นตัวนำสังคม ยุคนี้มันไม่มีใครนำใคร มันเป็นปัจเจกที่ทุกส่วนมีส่วนเป็นผู้นำสังคมได้

 

เรื่องสั้นที่ดีควรจะมีลักษณะอย่างไร

ชิด ชยากร – เรื่องสั้นที่ดี อ่านปุ๊บแล้วต้องโดนหรือใช่ ซึ่งอาจมีบางแง่บางมุมมากระทบใจได้ทันที นั่นคือเรื่องดีสำหรับเรา แต่เรื่องของตัวเองดีหรือไม่ ผมตอบไม่ได้ บางครั้งเราอาจเขียนดีที่สุดแล้ว แต่คนอื่นเขาอาจจะบอกว่าไม่ได้เรื่องก็ได้ ขณะเดียวกันเรื่องที่เราคิดว่าไม่ดีอาจจะถูกใจคนอ่าน มันเป็นเรื่องของเวลาและสิ่งที่กระทบใจขณะนั้น

สมชาย บำรุงวงศ์ – ถ้าเราอ่านแบบปัจเจก เอาตัวเองเป็นที่ตั้งเราก็จะตอบว่าชอบหรือไม่ชอบ เราจะไม่พูดว่าดีหรือไม่ดี เพราะพอเราพูดเช่นนั้น มันก็หมายความว่าเราต้องมีการประเมินทันที พอประเมินเราต้องอธิบายได้ว่าดีหรือไม่อย่างไร บางทีเราก็ตัดปัญหาในการวิจารณ์ อาจบอกว่าชอบ ถูกจริตหรือไม่ กันตัวเองออกจากการประเมิน แต่คนเราควรจะต้องหัดประเมินกันบ้าง เพราะชีวิตจริงๆ เราหนีการประเมินไม่พ้น ถ้าเรื่องสั้นชิ้นนี้ดีมันดียังไง

วันเสาร์ เชิงศรี – ผมกับขวัญยืนคุยกันบ่อยๆ ว่าชื่อนักเขียนมันก็เหมือนโลโก้ของคนนั้น ไม่ว่าเขาจะเขียนหนังสือออกมากี่เล่มแล้วก็ตาม ลองนึกถึงเรื่องสั้นของคนนี้มาสักเรื่องสิ ถ้าขวัญยืนบอกว่าชอบเรื่องนี้ ไหนลองเล่ามาสิว่าเกี่ยวกับอะไร ถ้าคุณจำได้แสดงว่าคุณปิ๊งมันมาก่อน ไม่งั้นคุณคงลืมไปแล้ว หรือยกตัวอย่างกนกพงศ์ สงสมพันธ์ก็ได้ เรื่องสั้นของกนกพงศ์ ถ้าทุกคนอ่านเรื่อง “แมวแห่งบูเก๊ะกรือซอ” แล้ว ทุกคนจะเห็นภาพแวบๆ ขึ้นมาในหัว มันดียังไงก็ว่าไป เหมือนที่พี่สมชายพูดว่า พอเราชมว่าเรื่องนี้เขียนดีหรือไม่ มันต้องเอาทฤษฎีวรรณกรรมมาวิจารณ์ แต่พอบอกว่าชอบหรือไม่ชอบ เหมือนฟังเพลงแล้วชอบอยากไปหาซื้อมาเป็นเจ้าของแสดงว่าชอบมาก วรรณกรรมก็เหมือนกัน ถ้าอ่านแล้วชอบไปซื้อมาเพราะอยากอ่านซ้ำ แสดงว่ามันมีอะไรพิเศษอยู่ในตัวเอง

สมชาย บำรุงวงศ์ – ผมคิดว่าการยกย่องงานศิลปะ เราก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าทำไมเขายกย่องงานชิ้นนี้ มันก็คือการประเมิน บางทีเราก็อยากรู้ว่างานที่เขาบอกว่าดีอย่างงานที่สร้างมาเมื่อร้อยปีที่แล้ว แต่วันนี้ยังมีคนมาพูดถึง แสดงว่ามันยังมีชีวิตอยู่ได้ในปัจจุบัน ไม่ได้ตายไปกับคนเขียนหรือตายไปกับศตวรรษที่เขาสร้างขึ้นมา ตรงนี้ทำให้เราอยากรู้เหมือนกันว่าความเป็นเลิศในทางศิลปะที่อยู่ในงานชิ้นนี้มันคืออะไร ผมคิดว่ามันไม่ใช่งานที่ฮือฮาขึ้นมาเป็นแฟชั่นแน่นอน หรืออย่างงานที่ฮือฮาในยุคหนึ่ง แล้วพอเวลาผ่านไปมันก็จะตาย งานที่ผ่านกาลเวลามามันสามารถผ่านบททดสอบมาได้ ในวันนี้เราจึงได้ยินชื่อมันอีก

ขวัญยืน ลูกจันทร์ – การเสพศิลปะที่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องสั้น ผมว่ามันมีพื้นฐานส่วนตัวเยอะว่าจะทำให้เราชอบเรื่องแบบไหนหรือเรื่องสไตล์ไหน แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีเรื่องที่เป็นสากล คนส่วนมากชอบ อย่างเรื่องของมนัส จรรยงค์ หรือ “จำปูน” ซึ่งมันสร้างอารมณ์สะเทือนใจกับคนที่รับรู้ได้หมด อย่างบางเรื่องที่อ่านแล้วไม่ชอบ มันอาจเป็นแง่มุมของพื้นฐานส่วนตัวด้วย แต่ว่าเรื่องสั้นที่ดีจะต้องเขย่าอะไรบางอย่างในตัวเรา อาจจะเขย่าความเชื่อ เขย่าความคิด หรือเขย่าความรู้สึกว่ามันใหม่มาก ถ้าทำได้ระดับนี้ก็ถือว่าน่าพอใจ แต่ว่ามันก็ต้องพิสูจน์ตัวมันเองเมื่อผ่านกาลเวลาไป อาจจะสิบปี ยี่สิบปี ดีมากอาจจะห้าสิบปีหรือร้อยปี

นฆ ปักษนาวิน – อะไรที่มันอยู่ได้ยาวนาน มันอาจจะสร้างอารมณ์ร่วมอะไรที่เป็นสากลมนุษย์ ได้ มันเป็นการสร้างวาทกรรมเหมือนกัน เพราะอย่างบางเล่มเราอ่านแล้วไม่เข้าใจ ความดีความชอบมันเป็นเรื่องวัฒนธรรม เรื่องประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องการสั่งสม การประกอบสร้าง จุดนั้นมันอาจเริ่มมาจากคนไม่กี่คนที่มองเห็นอะไรบางอย่างในงานชิ้นนั้น และก็ต่อยอด เป็นที่พูดถึง ซึ่งเราอาจเข้าไม่ถึงมัน หรือถ้ามันเป็นอารมณ์ร่วมจริงๆ ใครก็เข้าถึงได้

สมชาย บำรุงวงศ์ – มันอาจมีประเด็นเรื่องความเป็นเลิศของศิลปะ เพราะพอมันเป็นเลิศแล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องของคนกลุ่มเล็กๆ แล้ว เป็นคอวรรณกรรมจัดๆ ยกให้งานชิ้นนี้เป็นเลิศ โดยที่มหาชนอาจจะงุนงงว่างานชิ้นนี้มันเป็นเลิศยังไง ถ้าเขาทำอย่างซื่อสัตย์ก็จะอธิบายได้ว่ามันเป็นเลิศยังไง แต่มันก็ห่างไกลจากความรับรู้หรือความเข้าใจของมหาชนนะ ถ้าคนที่ประกาศมีสถานะในสังคม มหาชนก็จะแหงนมองและยอมรับทั้งที่ตัวเองก็ไม่สามารถซาบซึ้งได้ ซึ่งมันสะท้อนกลับมาอย่างหนึ่งว่า บางทีคนที่สร้างงานไม่ควรไปคาดหวังมติจากมหาชน การชื่นชมยอมรับจากมหาชน เพียงแต่ว่าคนที่ทำงานศิลปะ ผมเชื่อว่าถ้าเขามุ่งไปสู่ความเป็นเลิศในทางนั้น เขาจะไม่เป็นห่วงว่าจะไม่ได้รับรางวัล ไม่ได้รับการยอมรับ หรือถูกหัวเราะเยาะ ถ้าเขาจริงใจ มีเหตุผล มีความชัดเจนในสิ่งที่เขาทำ ไม่เป็นห่วงเรื่องผลประโยชน์ใดเลย บางทีแค่พูดว่าจะขายได้ไหมมันก็ต้องหลอกล่อเพื่อให้คนมาเสพ ให้คนติดใจ แต่เมื่อเขามีเจตนาบริสุทธิ์ในการทำงาน โดยไม่เอาเรื่องยอดขายหรือการยอมรับเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมว่าเขาจะสะอาดมากๆ และงานชิ้นนั้นผมว่ามันคงเป็นเลิศ แต่เขาต้องไม่เป็นคนที่หลงตัวเองด้วยนะ และก็ต้องเปิดกว้างด้วย

บทสนทนาเหล่านี้คือส่วนหนึ่งที่ตัดทอนมาจากการพูดคุยในเย็นวันนั้น มีหลากหลายเรื่องราวที่น่าเอามาขบคิดต่อสำหรับผู้ที่คิดอยากทำงานสร้างสรรค์ว่า เรามีความชัดเจนหรือตอบคำถามต่อตัวเองมากแค่ไหน กับหนทางที่เราเลือกที่จะก้าวเดินต่อไป…

 

รายงานวรรณกรรม – วุฐิศานติ์ จันทร์วิบูล
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=486757