Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ว่าด้วยการแนะนำแหล่งสารสนเทศพื้นฐาน (subject guides)(2)

 

 
การวิจัย
ผลการวิจัยหลายชิ้นที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศ (ตัวอย่าง เช่น Borgman, 1985; Marchionini, 1992; Zhang, 2008a; 2008b) ชี้ให้เห็นว่า แบบจำลองทางความคิด (mental model) ของผู้ใช้มักเริ่มต้นด้วยการกำหนด "หัวข้อ" ของคำถามที่สนใจ หลังจากนั้นจึงพิจารณาคุณสมบัติของข้อมูล/สารสนเทศ (เช่น ประเภทของแหล่งข้อมูล ความทันสมัย ความสมบูรณ์ เป็นต้น) กอปรกับ subject guides โดยนิยาม คือ เครื่องมือที่ช่วยแนะนำว่า ผู้ใช้จะเริ่มต้นหาข้อมูลอย่างไร การจัดแบ่งหัวข้อจึงควรจัดแบ่งตามหัวข้อ (topical area) เป็นหลัก (อาจตามด้วยประเภทของสื่อ) การใช้ประเภทของสื่อเป็นตัวแบ่งหลัก ดูเหมือนไม่สามารถตอบสนองผู้ใช้มือใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากขัดกับกระบวนการทางความคิดในการทำวิจัยของผู้ใช้
 
แต่กระนั้น การจำแนกตามประเภทของสื่อก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มนักวิจัยที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้น ๆ อยู่แล้ว กลุ่มผู้ใช้เหล่านี้อาจไม่ต้องการได้รับคำแนะนำจากห้องสมุด จนกระทั่งตระหนักได้เองแล้วว่า สื่อประเภทใดน่าจะช่วยตอบคำถามงานวิจัยของตนได้ดีที่สุด แต่กระนั้นการจัดแบ่งตามหัวข้อก็ยังมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย
 
ในช่วงหลังมานี้ แบบจำลองทางความคิดและพฤติกรรมทางสารสนเทศของมนุษย์ในกระบวนการศ้นคว้าวิจัย มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากอิทธิพลของ search engine และห้องสมุดดิจิตอล (digital libraries) ทำให้เห็นว่า ควรมีการปรับกระบวนทัศน์ในการออกแบบ subject guides ให้เข้ากับแบบจำลองทางความคิดของผู้ใช้ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น 1) ผู้ใช้จำนวนมากให้ความสนใจกับการค้นหา (search) มากกว่าการค้นดู (browse) หรือการท่อง (navigate) เนื่องจากประหยัดเวลาและแรงงาน (least effort effect); 2) ภาพของ information overload ที่ถูกกลบด้วยกล่องคำค้นเพียงกล่องเดียว (single search box) ทำให้ผู้ใช้ไม่สนใจ คุณสมบัติของข้อมูล/สารสนเทศที่ต้องการ แต่ให้ความสนใจกับเครื่องมือค้นที่ดีกว่า (ในกรณีนี้ ผู้ใช้สารสนเทศอาจไม่สนใจ "ประเภทสื่อ" เลยก็เป็นได้ ขอให้ได้มาซึ่ง "คำตอบ" ที่ต้องการเป็นพอ) เป็นต้น
 
ดังนั้นหากบรรณารักษ์ต้องการให้ subject guides เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการนำไปใช้ในการวิจัย โจทย์ข้อใหญ่ของการออกแบบ subject guides (และผลิตภัณฑ์ทางสารสนเทศอื่น ๆ ของห้องสมุด) คือ จะเอา subject guides ไปวางไว้ในตำแหน่งใดในกระบวนการค้นคว้าวิจัยของผู้ใช้ และเป็นผู้ใช้กลุ่มใด การออกแบบเช่นนี้เชื่อว่าจะทำให้ subject guides มีอรรถประโยชน์โดยตรงมากกว่า เนื่องจากผู้ใช้สามารถเอา subject guides เข้าไปประกอบในการทำวิจัยได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างที่น่าสนใจได้แก่ งานวิจัยของ Hemmig (2005) ที่ดัดแปลงแบบจำลอง Information Retrieval (IR) interaction model ของ Saracevic ร่วมกับแบบจำลองพฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศอื่น ๆ เพื่อพิจารณาว่า subject guides ควรอยู่ในตำแหน่งใดของแบบจำลองพฤติกรรมสารสนเทศ ในแบบจำลองของ Hemmig บอกว่า subject guides ควรเข้ามามีบทบาทในการเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมของมนุษย์และระบบ
 
การเรียน การสอน
ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า การแบ่งหัวข้อ subject guides เพื่อให้เหมาะสมต่อการเรียน การสอนในสถาบันการศึกษา นั้นควรพิจารณา 2 ประเด็นสำคัญ 1) ความลึก-กว้างของหัวข้อของ subject guides และ 2) การจัดการห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา (ระบบรวมศูนย์หรือกระจาย)
 
สองประเด็นข้างต้นดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่อง ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่แท้จริงแล้วมีปัจจัยที่เชื่อมโยงกันอยู่นั่นก็คือ ข้อจำกัดในเชิงทรัพยากร สมมติฐานง่าย ๆ ก็คือ เมื่อห้องสมุดใหญ่ มีทรัพยากรทางการบริหารมาก ก็น่าจะมี subject guides ที่ครอบคลุม และเฉพาะเจาะลึกได้มากกว่า ในขณะที่ห้องสมุดที่อยู่ในระบบเครือข่าย ที่มีทั้งห้องสมุดกลาง (central/main library) และห้องสมุดสาขา (branch library) น่าจะพัฒนา subject guides ในเชิงลึกได้มากกว่า 
 
แต่จากการสังเกต สมมติฐานนี้ดูเหมือนจะไม่ตรงกับความเป็นจริงเสียเท่าไหร่ สถาบันการศึกษาที่มีห้องสมุดหลักเพียงแห่งเดียว ห้องสมุดโดยส่วนใหญ่ก็จะจัดทำ subject guides แบ่งตามคณะและสาขาวิชาที่เปิดสอนในสถาบัน (1 คณะ/สาขา 1 subject guide) แต่เมื่อพิจารณาในบริบทระบบห้องสมุด ที่มีเฉพาะสาขาวิชา ดูเหมือนความลึกของสาขานั้นจะไม่ลึกลงไปด้วย เช่น 1) ห้องสมุดกลางบางแห่งไม่ทำ subject guides ก็มีแต่ลิงค์ไปที่ห้องสมุดสาขา ในขณะที่ห้องสมุดสาขาก็ทำ subject guides มาเพียง 1 ชุดเฉพาะสาขาวิชาของตนเอง 2) ห้องสมุดกลางทำ subject guides แบบคร่าว ๆ ครอบคลุมตามคณะ สาขาวิชา ห้องสมุดสาขาไม่ทำ subject guides แต่ใช้ subject guides ของห้องสมุดกลางแทน หรือ 3) ห้องสมุดกลางทำ subject guides แบบคร่าว ๆ ครอบคลุมตามคณะ สาขาวิชา ห้องสมุดสาขาทำ subject guides เฉพาะสาขาวิชาของตนเอง 1 เรื่อง 
 
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เมื่อพิจารณาความเป็นไปได้แล้ว ห้องสมุดกลางควรมีหน้าที่ให้บริการ subject guides ในเชิงกว้าง (ตามคณะ สาขาวิชา) ในขณะที่ห้องสมุดสาขา ก็ควรจะจัดทำ subject guides ที่เฉพาะเจาะลึกลงไป ตามหลักสูตรของคณะ หรือสาขาวิชานั้น ๆ คำถามต่อมาคือ เท่าไหร่จึงจะเฉพาะเจาะจงได้อย่างเพียงพอ
 
Reeb และ Gibbons (2004) ชี้ว่า นักเรียน นักศึกษาส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจเรื่อง ขอบเขต (domain) ของสาขาวิชา โดยเฉพาะในสาขาวิชาที่มีลักษณะเป็นสหสาขาวิชา ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าจะเอา subject guides ที่แบ่งตามสาขาวิชาไปใช้อย่างไร และหากจะต้องนำสองสาขาวิชามารวมกัน ควรจะใช้แหล่งใดเป็นหลัก เหล่านี้เป็นต้น Reeb และ Gibbons จึงแนะนำว่าควรจะเปลี่ยนจุดเน้นไปที่หลักสูตรและวิชาที่เรียนมากกว่า นั่นก็คือการวิ่งเข้าหาบริการเฉพาะส่วนบุคคลมากขึ้น
 
นอกเหนือไปจากบริบทของห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาและห้องสมุดวิจัย ห้องสมุดโรงเรียนก็สามารถนำแนวคิดในเรื่องการเรียนการสอนไปประยุกต์ใช้ได้ แต่เมื่อพิจารณาในบริบทของห้องสมุดประชาชนก็จะพบว่า อาจมีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากวัตถุประสงค์ของห้องสมุดนั้นค่อนข้างกว้างกว่าห้องสมุดประเภทอื่น ๆ ห้องสมุดแต่ละแห่งต่างก็มีจุดเน้นและวิธีการนำเสนอที่แตกต่างกันไป 
 
ยกตัวอย่างเช่น ห้องสมุดประชาชนเมืองซีแอทเทิล (SPL) พัฒนา subject guides ตามกลุ่มผู้ใช้ของห้องสมุด เช่น เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ กลุ่มคนจีน คนพูดภาษาสเปน เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีการแบ่งหัวข้อที่น่าจะเข้าถึงผู้ใช้ได้มากที่สุด ในขณะที่ห้องสมุดประชาชนเมืองชิคาโก ไม่เน้นความครอบคลุมของการจัดแบ่งหัวข้อ แต่เน้นไปทีความสนใจของชุมชนเป็นหลัก อย่างไรก็ตามได้มีการจัดแยกส่วนสำหรับเด็กและวัยรุ่นไว้ต่างหาก สำหรับห้องสมุดประชาชนนิวยอร์ก (NYPL) นั้นค่อนข้างจะมีความเฉพาะตัว เนื่องจากก่อนอื่น แบ่งผู้ใช้ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก คือ กลุ่มนักวิจัย NYPL ก็ได้จัดการ subject guides ที่มีลักษณะคล้ายกับ subject guides ของห้องสมุดวิจัยและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่แบ่งตามสาขาวิชา ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง เน้นไปที่นักเรียน นักศึกษา โดยใช้ชื่อบริการว่า HomeworkNYC ซึ่งจะเรียกว่า subject guides ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว เนื่องจาก HomeworkNYC ไม่ใช่บริการแนะแหล่ง แต่เป็นบริการชี้คำตอบ โดยรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เข้ามาบูรณาการเข้าไว้ด้วยกัน ในขณะเดียวกันก็มีส่วนที่นำเอาข้อมูลเฉพาะพื้นที่เข้าไปไว้ได้ด้วย ซึ่ง HomeworkNYC เป็นอีกโครงการพัฒนา subject guides ในเชิงเครือข่ายที่น่าสนใจ เพราะบรรณารักษ์ช่วยกันทำงาน เป็นการลดภาระงานลงได้อย่างดี
 
สำหรับห้องสมุดที่ไม่มีกลุ่มผู้ใช้ที่ชัดเจน และไม่รู้จะเริ่มต้นการแบ่งหัวข้อของ subject guides อย่างไร อาจเริ่มต้นด้วยเทคนิคของการเรียงบัตรคำ (card sorting) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ในการออกแบบ interface และงานสถาปัตยกรรมสารสนเทศ​ (information architecture) ไปใช้ในการกำหนดหัวข้อสำหรับการแบ่ง subject guides ได้ (อ่านเพิ่มเติม http://www.useit.com/alertbox/20040719.html, http://www.useit.com/papers/sunweb/, http://www.infodesign.com.au/usabilityresources/cardsorting, http://www.stcsig.org/usability/topics/cardsorting.html) นอกจากนี้ หากห้องสมุดจัดเก็บ transaction log ของคำค้นที่ผู้ใช้ค้นหาในห้องสมุด ก็สามารถนำเอามาใช้วิเคราะห์​เพือจำแนกความสนใจของผู้ใช้ และไปสร้าง subject guides ตามหัวข้อเหล่านั้นได้อีกทางหนึ่ง
 
เนื้อหาและรูปแบบ
 
 
งานวิจัยจำนวนไม่น้อยมุ่งสนใจไปที่การพัฒนาแนวทาง (guideline) การสร้าง subject guides (ตัวอย่างเช่น Dahl, 2001; Jackson & Pellack, 2004) Vileno (2007) ทำการปริทัศน์วรรณกรรมที่เสนอแนะแนวทางในการจัดทำ subject guides ซึ่งดูเหมือนว่าค่อนข้างจะกระจัดกระจายเสียส่วนใหญ่ มีเพียงไม่กี่ประเด็นที่นักวิจัยเห็นพ้องต้องกัน ประเด็นเหล่านั้นได้แก่
 
ใช้รูปแบบและเนื้อหาให้มีความคงเส้นคงวา
มีการให้ความเห็นประกอบ (annotation)
ให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง subject guides ได้จากหน้าแรกของเว็บไซต์ห้องสมุด
ปรับปรุงเนื้อหาให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ
ควรเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับขอบเขตของเนื้อหาไว้ในช่วงบทนำ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นปลีกย่อยอีกมากมายที่ต่างคนต่างก็นำเสนอความคิด เป็นที่น่าสนใจก็คือ เมื่อพูดถึงความยาวของ subject guides ก็ดูเหมือนว่าจะเห็นพ้องไม่ตรงกัน บ้างก็ว่า 1 หน้า บ้างก็ว่า 2 หน้า บ้างก็ว่า 2-5 หน้า ที่น่าสนใจก็เพราะว่า เหตุผลส่วนใหญ่ที่เป็นข้อจำกัดนั้นยังอยู่ที่ความสะดวกเมื่อผู้ใช้ต้องพิมพ์ออกมาให้อยู่ในรูปกระดาษ
 
subject guides ออนไลน์
 
 
การพัฒนา subject guides ออนไลน์ในปัจจุบันดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยาก มีเครื่องมือในการช่วยพัฒนาอยู่หลายรูปแบบ Corrado และ Frederick (2008) ได้เขียนบทวิเคราะห์และเปรียบเทียบโปรแกรม open source พร้อมตัวอย่างในการสร้างและจัดการ subject guides ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมที่พัฒนาขึ้้นมาโดยเฉพาะ ได้แก่ MyLibrary, SubjectsPlus, LibData, ResearchGuide, และ Library Course Builderนอกเหนือจากที่ปรากฏในบทความของ Corrado และ Frederick ยังมีโปรแกรมชื่อ Library à la Carte อีกแห่งหนึ่งด้วย   หรือการนำเทคโนโลยี web 2.0 มาใช้อย่าง social tagging อย่าง Delicious เว็บบล๊อกและวิกิ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการนำ Course Management System เข้ามาใช้ด้วย อย่างไรก็ตามยังมีโปรแกรมที่นอกเหนือไปจากโปรแกรมข้างต้น โดยเฉพาะกลุ่ม Content Management System (CMS) ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นระบบที่นิยมในการสร้าง subject guides ในปัจจุบัน ส่วนทางเลือกของโปรแกรมในเชิงพาณิชย์นั้น ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคงจะเป็น LibGuides
 
การนำ subject guides ขึ้นไปอยู่ในรูปออนไลน์ ไม่ได้เป็นแต่เพียงการนำเนื้อหาที่เคยอยู่ในรูปกระดาษเข้าไปใส่บนเว็บเฉย ๆ แต่เรายังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ subject guides ให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
 
การเชื่อมโยง (connectivity)
ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อไปยังแหล่งข้อมูลได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อเข้าไปยังข้อมูลเต็มรูป (full-text) หน้าสืบค้นของฐานข้อมูลวิชาการ (database) หรือแม้แต่กระทั่งระบบสืบค้นทรัพยากร (OPAC) นอกจากนี้ตัว subject guides ควรที่จะสามารถแนะนำผู้ใช้ไปยัง subject guides อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่หัวข้อของ subject guides มีความคลุมเครือและคาบเกี่ยวกับหัวเรื่องอื่น ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อที่กว้างกว่า แคบกว่า ที่เกี่ยวข้องกัน เป็นต้น
 
ในกรณีของการเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลไปยังระบบสืบค้นทรัพยากร ความคิดนี้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมานานพอสมควร เมื่อปี 1985 Jarvis เขียนบทความเกี่ยวกับการเชื่อมโยง subject guides ไปยัง GEAC (ยี่ห้อหนึ่งของระบบห้องสมุดอัตโนมัติ) แต่ดูเหมือนว่าความคิดดังกล่าวจะไม่ได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลาย อาจเป็นเพราะด้วยข้อจำกัดเชิงพาณิชย์ และเชิงเทคนิค (ที่บรรณารักษ์ระบบส่วนใหญ่ไม่ต้องการเข้าไปแตะต้องกับระบบอื่น) ทั้งที่ความจริงแล้ว แนวความคิดการเชื่อมโยง subject guides และระบบสืบค้นทรัพยากร เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในสองทิศทางแบบเกื้อกูลกัน (reciprocity) กล่าวคือ โดยเบื้องต้น subject guides อ้างถึง/ลิงค์ข้อมูลของทรัพยากรเข้ากับระบบสืบค้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ ได้ค้นหาข้อมูลต่อผ่านระบบสืบค้น ในขณะเดียวกันเมื่อผู้ใช้พบหนังสือหรือรายการทรัพยากรสารสนเทศใด อันเป็นรายการสารสนเทศที่ปรากฏอยู่ใน subject guides ก็ควรมีการแจ้งให้ผู้ใช้ทราบเช่นกัน เพื่อ 1) ผู้ใช้ทราบว่า ทรัพยากรสารสนเทศรายการนั้น ๆ มีคุณค่า เนื่องจากได้รับการเลือกสรรให้เป็นรายการแนะนำของหัวข้อนั้น ๆ และ 2) เป็นการส่งเสริมและเตือนให้ผู้ใช้กลับไปใช้ subject guides
 
การทำให้เป็นส่วนตัวมากขึ้น (Toward personalization)
หากเรายอมรับสมมติฐานเบื้องต้นว่า มนุษย์ทุกคนต่างมีความต้องการเป็นของตัวเอง ไม่มีใครเหมือนกัน ดังนั้นเป้าหมายข้อหนึ่งของการให้บริการก็คือการมุ่งเป้าหมายไปที่การตอบ สนองความต้องการที่แตกต่างของแต่ละคนได้อย่างทั่วถึง จริงอยู่ที่แนวความคิดเรื่อง personalization เป็นเรื่องที่เก่ามากแล้ว หากมองข้ามข้อจำกัดในด้านความปลอดภัยในการรักษาข้อมูลส่วนตัว ในทางปฏิบัติเรายังไม่เห็นเอามาปรับใช้กับการพัฒนา subject guides อย่างเป็นรูปเป็นร่าง
 
การจัดการ subject guides ที่แต่ก่อนผู้จัดทำสามารถควบคุมได้เพียงในระดับเอกสาร (document) หรือหน้า (page) แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้เราสามารถควบคุม subject guides ในระดับหน่วยย่อยของแหล่งได้ กล่าวคือ สามารถเพิ่มเติม แก้ไข ลบรายการแหล่งข้อมูลได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไขทั้งเอกสารหรือหน้านั้น ๆ นั้นหมายความว่า เราสามารถควบคุมข้อมูลที่อยู่ใน subject guides ได้ละเอียดกว่าในรูปแบบของกระดาษมาก ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยน (customize) ข้อมูลให้เหมาะสมกับผู้ใช้มากขึ้น
 
นอกจากนี้  เทคโนโลยีอาจทำให้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้มากขึ้นผ่านพฤติกรรมของผู้ใช้เอง ไม่ว่าจะเป็นการสืบค้น การยืม tag การ recommend พฤติกรรมเหล่านี้หากราสามารถเอามาประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ เราก็สามารถที่จับข้อมูลด้านแหล่งและข้อมูลผู้ใช้มาเปรียบเทียบกันได้
 
ลดภาระงานด้วยเครือข่าย
เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ผู้เขียนคาดหวังจากกลุ่มงานบรรณารักษ์ฝ่ายบริการ ดูเหมือนว่า กลุ่มงานบรรณารักษ์งานบริการมุ่งเน้นไปที่การยืมคืนระหว่างห้องสมุดเป็นหลัก จนลืมไปว่าภาระงานอีกด้านหนึ่งคือ การสอนและแนะนำผู้ใช้ ปัญหาก็คือ จะช่วยกันสอนและแนะนำผู้ใช้อย่างไร การพัฒนา subject guides ร่วมกัน น่าจะเป็นอีกงานหนึ่งที่น่าจะได้ประโยชน์จากการทำงานแบบเครือข่ายโดยตรง
 
จริงอยู่ที่ subject guides ของห้องสมุดแต่ละแห่งไม่ควรจะเหมือนกันแบบถ่ายเอกสารกันมา แต่หากมองไปที่การสร้างและพัฒนามาตรฐานทางการศึกษา ห้องสมุดควรมีมาตรฐานในด้านเนื้อหาของทรัพยากรไม่ขั้นใดก็ขั้นหนึ่ง ดังนั้นโดยพื้นฐานก็ต้องมีทรัพยากรสารสนเทศหลัก ๆ สำคัญ ๆ ที่ไม่น่าจะแตกต่างกันมาก หลักสูตรที่มีหลักการและเป้าหมายคล้ายคลึงกัน ก็ควรจะมีความต้องการของทรัพยกรสารสนเทศที่ไม่แตกต่างกัน หากต่างคนต่างทำก็กลายเป็นการทำงานซ้ำซ้อน ในทางตรงกันข้าม เมื่อห้องสมุดทุกแห่งช่วยกันคิดและจัดทำ subject guides นอกจากจะได้ wisdom of librarians แล้ว ห้องสมุดยังสามารถนำไปใช้เป็นตัวชี้นำนโยบายการพัฒนาทรัพยากรได้อีกด้วย เทคโนโลยีอย่าง delicious หรือการเขียนคำแนะนำ (comment) การจัดอันดับ ให้คะแนน ก็น่าจะสามารถนำมาใช้สนับสนุนกระบวนการจัดทำ subject guides ร่วมกันได้เป็นอย่างดี
 
ใครควรเป็นคนทำ subject guides
 
 
ประเด็นฮอตฮิตที่สุดในวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับ subject guides คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของภาระงาน เนื่องจากการทำ subject guides จะต้องอาศัยทรัพยากรค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเวลาและบุคลากร โดยแนวคิดแบบดั้งเดิม บรรณารักษ์หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (subject specialist) จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำเพียงคนเดียว หรือ one-man show  
 
การทำ subject guides ไม่ใช่แค่เพียงเอารายการบรรณานุกรมมาใส่ในกระดาษหรืเว็บเท่านั้น แต่ผู้จัดทำยังต้องมีการให้ความเห็นประกอบ การปรับปรุงให้มีความทันสมัย ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ให้เกิดการใช้งาน ดังนั้นจึงเกิดภาระงานที่วุ่นวายยุ่งยาก 
 
การสร้าง subject guides แท้จริง ๆ แล้ว ก็ประหนึ่งเป็นงานภัณฑารักษ์ (curatorial work) บรรณารักษ์จะต้องไปหาแหล่งข้อมูลที่ควรแนะนำมานำเสนอให้ผู้ใช้ ไม่ว่าจะอยู่ในแหล่งข้อมูลใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องอย่าลืมว่าแหล่งข้อมูลไม่ใช่อยู่ในนรูปของเอกสารเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ในรูปของมนุษย์ตัวเป็น ๆ ด้วย การทำ subject guides จึงควรคำนึงถึงผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อ/สาขาวิชานั้น ๆ บรรณารักษ์อาจต้องอาศัยเทคนิคทางด้านการจัดการความรู้เข้ามาใช้ นั้นหมายความว่าการบริหารจัดการ subject guides ควรเป็นไปในเชิงบูรณาการมากขึ้น ยิ่งผู้เชี่ยวชาญเป็นคณาจารย์ในคณะ/สาขาวิชามีส่วนร่วมในการทำ subject guides มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะเป็นการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ทางสารสนเทศของห้องสมุดได้มากขึ้นเท่านั้น
 
นอกจากนี้การบริหารจัดการ subject guides แบบใหม่ ควรจะเป็นระบบเปิดมากขึ้น กล่าวคือ นอกเหนือจากการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อ/สาขาวิชานั้น ๆ ในการแนะนำทรัพยากร เราก็ควรเปิดโอกาสให้ผู้ใช้มีบทบาทในการปรับปรุงและพัฒนา subject guides มากขึ้นด้วยเช่นกัน ผ่านช่องทางต่าง ๆ  เช่น การใช้ delicious หรือระบบ social recommendation อื่น ๆ เป็นช่องทางในการพิจารณาทรัพยากรที่จะบรรจุใน subject guides
 
การจัดทำ subject guides ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นเรื่องที่ท้าทาย หากพิจารณาในรูปแบบสองขั้น (dichotomy) จะเห็นได้ว่า ผู้จัดทำ subject guides จำเป็นจะต้องพิจารณาประเด็นปัญหาในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น คนกับเครื่อง (man vs. machine) ความกว้างกับความลึกของหัวข้อ (broad vs. narrow) การทำให้เป็นมาตรฐานกับความเป็นส่วนตัว (standardization vs. personalization) การจัดการและการสืบค้น (organization vs. retrieval) ระบบปิดกับระบบปิด (closed vs. opened หรือ top-down vs. bottom-up) เป็นต้น นอกจากนี้ผู้จัดทำจะต้องรับแรงผลักดันมาจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา หรือแม้แต่กระทั่งผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสำคัญก็คือ จะทำอย่างไรที่ subject guides จะเกิดประโยชน์มากที่สุด ด้วยการตอบสนองความต้องการของคนทุกกลุ่ม รวมทั้งตัวบรรณารักษ์เองด้วย
 
ทรงพันธ์ เจิมประยงค์