Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง คนเขียนสารคดียุคใหม่

 

 
‘วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง’ ถือว่าเป็นนักเขียนสารคดีหนุ่มไฟแรงอีกคนหนึ่งในยุคนี้ และเมื่อค้นบางแง่มุมชีวิตของเขานั้นก็ดูเหมือนสารคดีชุดหนึ่งเลยทีเดียว ปัจจุบัน เขาเป็นนักเขียนสารคดีประจำกองบรรณาธิการนิตยสารสารคดี
 
แน่นอน เขายังคงเชื่อมั่นและยืนยันว่า บางครั้งความงามหรือว่ารสทางวรรณศิลป์ของงานสารคดีบางชิ้นนั้นเหนือกว่างานวรรณกรรมกระแสหลักด้วยซ้ำไป
 
อยากให้เล่าแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณก้าวมาเป็นนักเขียนสารคดีได้อย่างไร?  
จุดเริ่มต้น มันมาจากความคาดไม่ถึงมาก่อน เพราะผมอยู่ในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ของจังหวัดกระบี่ ในวัยเด็กผมไม่รู้จักนักเขียนอะไรหรอก แต่จุดเริ่มต้นของการเขียนของผม นั้นมาจากการอ่านนั่นแหละ และก็เป็นการอ่านอย่างบังเอิญเหมือนกัน คือตอนนั้น มีน้าคนหนึ่งเป็นครูประชาบาล ทุกเทอมแกจะต้องเตรียมการเรียนการสอนใหม่ แกก็ให้ผมช่วยไปซื้อที่ตรัง ที่กระบี่ เพราะตอนนั้นยังไม่ค่อยเจริญ เป็นจังหวัดเล็กๆ การท่องเที่ยวยังไม่มี ร้านหนังสือในจังหวัดกระบี่ก็ยังไม่มี พอผมไปซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนให้น้าที่ตรัง แล้วก็ไปเจอหนังสือในร้านนั้น คือ ‘มหาวิทยาลัยชีวิต’ ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล หนังสือเล่มนั้น มันมีปกที่โดดเด่น มันดึงดูดสายตา มันเป็นจุดเด่น พอไปอ่านชื่อเรื่อง แล้วก็รู้สึกว่ามันใช่ มันตรงกับชีวิตเราในช่วงนั้นพอดี
 
ทำไมถึงคิดว่าหนังสือเล่มนั้นตรงกับชีวิตของคุณ ?
คือช่วงเวลานั้น ผมออกจากโรงเรียนไปใช้ชีวิตเป็นชาวสวน อยู่กับสวน เป็นคนกรีดยาง ทำไร่ ถึงฤดูทำนาก็ทำนา ผมก็เอาหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน มันสะเทือนความคิดความรู้สึกอย่างรุนแรงเลย ก็คือตัวเนื้อเรื่องในเรื่องมันมีความเข้มข้นโลดโผน มันเป็นชีวิตที่น่าสนใจ ชีวิตที่น่าใฝ่หามาก แล้วยังเป็นการเล่าเรื่องชีวิตของผู้เขียนด้วย เนื้อเรื่องมันก็ยิ่งเข้มข้น น่าสนใจมาก ก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้รับแรงบันดาลใจ
 
หมายความว่าหนังสือเล่มนี้ส่งผลสะเทือนต่อชีวิตคุณอย่างแรง ?
ใช่ มันส่งผลสะเทือนกับผมสองอย่าง คือ หนึ่ง ทำให้อยากกลับมาเรียนหนังสืออีกครั้งหนึ่ง เพราะรู้ว่าชีวิตที่อยู่ในเรื่องนั้น มันเป็นอย่างนั้นได้ เพราะเขาได้เรียนหนังสือ ถ้าเราอยู่บ้านนอกคงเป็นอย่างนั้นยาก สอง มันทำให้ผมอยากอ่านหนังสือแนวนั้นมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้น ผมก็จะไปหามาอ่านอยู่เรื่อยๆ เลย ผมอาจจะเป็นคนเดียวในหมู่บ้านนะ น่าจะเป็นคนหนุ่มคนเดียวในหมู่บ้านที่อ่านหนังสือแบบนี้ ก็ไปซื้อมาอ่านต่อเนื่องจนรู้จักวรรณกรรมไทยร่วมสมัยในช่วงเวลานั้นหมดเลย
 
นอกจากงานของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล คุณชอบอ่านงานเขียนของใครอีกบ้าง ?
ก็มีนักเขียนหลายคนที่ผมอ่านผลงานของเขาทุกเล่ม อย่างเช่น วัฒน์ วรรลยางกูร, พิบูลศักดิ์ ละครพล, จำลอง ฝั่งชลจิตร ผมคิดว่าผมอ่านงานพวกเขาทุกเล่มนะ รวมทั้งหนังสือของ ชาติ กอบจิตติ ด้วย และยังมีอีกหลายคนเลย เพราะว่ามันสืบย้อนไปแล้วมันถึงวรรณกรรมเพื่อชีวิตช่วง 14 ตุลาอะไรก็อ่านแนวความคิดเรื่องการเมืองและการทำกิจกรรมก็เข้ามาในช่วงนั้นเข้ามาในจิตใจในช่วงนั้น
 
งานเขียนแนววรรณกรรมเพื่อชีวิต ส่งผลสะเทือนต่อตัวคุณอย่างไรบ้าง ?
ผลสะเทือนที่สำคัญที่สุด คือ มันทำให้เราอยากเขียน เหมือนที่เราได้อ่านของเขาด้วย แล้วก็รู้สึกว่าในหมู่บ้านของเรามันก็มีวัตถุดิบที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องราวเหล่านั้นเลย อย่างเช่น การตามฆ่าล้างแค้นของคนระหว่างตระกูล การที่คนในหมู่บ้านเป็นโรคสมัยใหม่ แต่ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เขาจะรักษาด้วยไสยศาสตร์ คือเป็นมะเร็งแต่ว่ายังรักษาด้วยผี ซ้อนระหว่างความเชื่อเก่าๆ กับโรคสมัยใหม่
 
เรื่องพวกนี้เราก็เอามาเป็นวัตถุดิบเล่าของเรา เราก็เขียนเป็นเรื่องเล่า เขียนโดยไม่ได้รู้ ไม่ได้ศึกษาอะไรหรอก เขียนจากตัวอย่างที่ได้นั่นแหละ รู้สึกว่าอ่านแบบนั้นแล้วก็เขียนออกมาอย่างนั้นบ้าง ก็เรียกมันว่าเรื่องสั้น เพราะงานที่เราได้อ่านมาก่อนหน้านั้นมันเป็นงานวรรณกรรม เป็นเรื่องสั้น นวนิยาย กวี เป็นเรื่องแต่งทั้งหมด ตอนแรกๆ นั้น เราก็รู้สึกว่างานมันคงมี 3 ประเภทนี้แหละ งานผมก็เขียนอะไรสั้นๆ ก็เรียกเรื่องสั้น ก็เขียนไปประมาณสัก 10 เรื่อง ใช้วัตถุในหมู่บ้านในการเขียน นั่นเป็นยุคเริ่มต้น แล้วก็มีผลทำให้เราได้เขียนบทกวีด้วย แต่ในช่วงนั้นมันยังไม่เกี่ยวกับสารคดีโดยตรงนะ ยังไม่ได้ลงรายละเอียด
 
แล้วคุณเริ่มมารู้จักงานเขียนสารคดี ในช่วงไหน ?
หลังจากผมเข้ากรุงเทพฯ มาเรียนที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เอางานเขียนเก่าๆ ถือมาด้วย เอาไปที่ชมรมวรรณศิลป์ เป็นกลุ่มคนที่เขียนหนังสือด้วยกัน เราก็เอามาแลกเปลี่ยนกันอ่านเรื่อยๆ คือช่วงนั้น ผมเขียนงานสะเปะสะปะ ทั้งบันทึก ทั้งความเรียง บทรำพึงรำพัน บทกวี เขียนหลากหลาย แล้วเพื่อนก็ได้บอกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง เขาบอกผมว่า ถ้าคุณเอาเรื่องจริงมาเขียน คุณไม่ต้องเรียกมันว่าเรื่องแต่งหรือว่าเรื่องสั้น อย่างนี้เขาเรียกว่า สารคดี ผมก็ได้มารู้จักสารคดีครั้งแรก ก็ใน ม.รามคำแหงนี่เอง
 
ทราบมาว่าคุณเริ่มมีงานสารคดีตีพิมพ์ในนิตยสารตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา ?
ใช่ครับ หลังจากเพื่อนบอกว่า นี่เรียกงานสารคดี ประจวบกับในช่วงนั้น ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมชมรมค่ายอาสาด้วย เพื่อนในค่ายพาไปออกค่ายตามพื้นที่ชนบทห่างไกล ไปตามบ้านป่าบ้านดอยหลายๆ แห่ง มันก็เลยทำให้เรามีข้อมูลแปลกๆ ใหม่ๆ ที่เราเองรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะว่าบ้านผมอยู่ภาคใต้ ฤดูหนาวไม่เคยรู้จักเลย พอมาทางเหนือแล้วได้รู้สึกกับความหนาวเย็น แล้วก็ได้เห็นภูเขาใหญ่ อย่างที่ไม่เคยเห็นในภาคใต้ มันก็ตื่นเต้นสำหรับเรามาก
 
คุณจึงเริ่มต้นเขียนงานสารคดีท่องเที่ยวตั้งแต่ช่วงนั้น ?
ใช่ ก็เกิดความคิดว่า เราอยากเล่าเรื่องนี้ ก็ใช้ข้อมูลจากการออกค่ายอาสาที่ผ่านพบในระหว่างทางมาเล่าในรูปของงานสารคดีและเริ่มส่งไปตีพิมพ์ งานชิ้นแรกก็ได้ตีพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน 2539
 
พูดถึงงานเขียนสารคดีในช่วงแรกๆ ของคุณได้รับอิทธิพลจากนักเขียนสารคดีคนไหนบ้าง?
มันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการอ่าน คิดว่ามีงานสำคัญก็คือ กลุ่มงานของ ‘พิบูลศักดิ์ ละครพล’ กับ ถนนไปสู่ก้อนเมฆของ ‘ธัญญา ผลอนันต์’ ซึ่งได้พูดถึงเรื่องการเดินทาง โดยการโบกรถ แบกเป้เร่ร่อน ไม่ต้องไปตามเส้นทาง หรือไปกับรถโดยสารอะไรทั้งนั้น แต่จะแบกเป้เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ก็เกิดแรงบันดาลใจจากผลงานพวกนั้น แล้วก็มาสู่วิถีของนักเขียนเลย ก็ได้เดินทางไกลตั้งแต่นั้น เพื่อจะทำงานเขียนนี่แหละ
 
ทำไมคุณถึงเลือกตัดสินใจที่จะเป็นคนเขียนสารคดี ?
ผมรู้สึกว่าเรามีความสามารถในการถ่ายทอดสิ่งที่มันเป็นเรื่องจริงให้คนได้เห็น ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมมาจากพื้นฐานของการอ่านเรื่องแต่งนะ และผมรู้ว่างานเขียนของหลายคนอย่างของ ‘กนกพงศ์ สงสมพันธุ์’ นั้นก็มีพื้นมาจากเรื่องจริงมาก แต่ว่าเขาบิดนิดเดียว มันเลยกลายเป็นเรื่องแต่งที่ดีและยิ่งใหญ่เลย แต่ว่าเรายังบิดตรงนั้นไม่เป็น  รู้สึกว่ามันเหมาะและถนัดกับการเล่าความจริงอย่างตรงไปตรงมา
 
แล้วคุณมาค้นเจอแนวทางงานเขียนของตัวเองได้อย่างไร ?
เมื่อก่อน ผมทำงานแบบเขียนเอง ศึกษาเอง ลองผิดลองถูกอยู่แบบนี้ ก็คือเดินทาง เก็บมาเขียน แล้วก็ส่งไปให้บรรณาธิการ ตีพิมพ์ คือตอนนั้น ผมไม่ได้สร้างสรรค์วิธีการนำเสนอ วิธีการเล่าเรื่อง เพราะเราคิดว่า สารคดีคือการเล่าเรื่องจริง แต่เล่าอย่างไร เราไม่รู้ ก็ทำอยู่อย่างนี้แหละ จนมีคราวหนึ่งที่ผมบังเอิญไปเจอการอบรมของพี่ธีรภาพ โลหิตกุล โดยบังเอิญ คือผมมีเพื่อนจัดงานแล้วชวนไปฟัง พี่ธีรภาพก็อบรมแบบเบาที่สุด ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ แต่จุดสำคัญที่ผมจับได้ในตอนนั้น คือ พี่ธีรภาพ บอกว่าสารคดีนั้นมีสององค์ประกอบ คือข้อมูลกับวิธีการนำเสนอ สารคดี ต้องมีสองอย่างนี้ ผมก็บรรลุในตอนนั้นเอง ว่าที่ผ่านมา ข้อมูลเรามีเต็มเลย แต่วิธีการนำเสนอเราไม่เคยคิดถึงเลย หลังจากนั้น  ผมมีความคิดว่าเราจะเป็นนักเขียน เราจะดำรงชีพด้วยการเขียนแล้วนะ เพราะว่าเรียนจบแล้ว ก็ออกเดินทาง กลับมาก็ปั่นต้นฉบับ ส่งต้นฉบับ แล้วก็รอพิมพ์ รอรับค่าเรื่อง ระหว่างนั้นก็ออกเดินทางใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนฝูงตามต่างจังหวัด ตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็น้อย แต่มันก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี ผมทำแบบนี้ได้อยู่ปีเดียวก็ไม่พอ
 
คุณตัดสินใจอย่างไรต่อไป ?
ก็เลยไปเป็นเอ็นจีโอด้านสิทธิมนุษยชน ผมขออยู่ฝ่ายสิ่งพิมพ์และเผยแพร่ ก็ทำงานเขียนนี่แหละ แต่ว่าเขียนประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ  ก็ลงพื้นที่ แล้วก็เขียนผลิตสื่อ แต่ว่ามันถูกจำกัดโดยประเด็นความสนใจที่อยากจะเขียน คิดว่ามันมีหลากหลายแล้ว ระหว่างที่เราส่งงานไปที่อื่นเรื่อยๆ จนช่วงหนึ่ง ผมส่งงานไปที่นิตยสารคดี แต่ก็ได้พิมพ์น้อยมาก ส่งงานไปเป็นสิบๆ เรื่องในช่วง 2-3 ปีนั้น แต่ว่าได้พิมพ์จริงๆ รู้สึกว่าประมาณแค่ 2 เรื่องแค่นั้นนะ
 
จนกระทั่ง ผมเริ่มทำงานสารคดีชิ้นใหญ่ ก็คือเรื่องการปีนเขาที่ไร่เล ทำเรื่องที่ใกล้ตัว ทำเรื่องที่รู้ดี ทำเรื่องที่เราสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่าย ซึ่งมีเพื่อนผมเป็นไกด์ปีนเขาอยู่ที่ไร่เล จังหวัดกระบี่ ผมก็ลงไปที่นั่น เก็บข้อมูลแล้วเขียนทีละประเด็น ยกสิ่งที่น่าสนใจมาเปิดเรื่อง แล้วก็เขียนถึงเรื่ององค์ความรู้ว่าด้วยการปีนเขาเรื่องประวัติการปีนเขาที่ไร่เล เรื่องภาพปัจจุบันแล้วเชื่อมโยงไปสู่กีฬาปีนเขาในระดับโลกแล้วกลับมาสู่ภาพหลักที่มันเป็นแอ็คชั่นจริงๆ คือเพื่อนพาผมปีนเขา องค์ประกอบสำคัญ 6 อย่างนี้ เป็นสารคดียาว 10 กว่าหน้า ซึ่งผมถือว่ามันเป็นสารคดีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของผม ส่งไปที่นิตยสารสารคดีแล้วก็ได้พิมพ์ อันนั้นก็เหมือนเป็นโบนัสของคนเขียน เพราะผมรู้สึกว่าสารคดีถ้าได้พิมพ์ลงที่นิตยสารสารคดี ก็เหมือนกับได้แจ้งเกิดเลย และพอผมได้ลงเรื่องปีนเขาที่ไร่เล ทางกอง บก.นิตยสารสารคดี เขาก็เลยชวนว่าอยากมาเขียนประจำด้วยกันหรือไม่ แล้วผมก็ได้ไปทำประจำที่นั่น
 
เคยฝันไหมว่าวันหนึ่งจะได้เข้าไปเป็นนักเขียนประจำกองบก.นิตยสารสารคดี ?
จริงๆ ไม่ได้ฝัน เพราะไม่กล้าฝันว่ามันจะไปถึงได้ขนาดนั้น เพราะผมมองว่านิตยสารสารคดีนั้นเป็นเบอร์หนึ่ง ในเวลานั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่พอได้ไปแล้วก็รู้สึกปลาบปลื้ม ปลาบปลื้มมากกว่าตอนเอนทรานซ์ติดเสียอีกนะ อาจจะปลาบปลื้มมากกว่าสอบข้าราชการได้ด้วย เพราะไม่อยากเป็น ถ้าสอบข้าราชการได้ อาจจะไม่ดีใจเท่านี้ แล้วก็การที่เราได้เข้าไปอยู่ในนิตยสารคดี นั่นคือเราไปอยู่ท่ามกลางมืออาชีพเลย ทั้ง บก.ทั้งนักเขียน แล้วก็ทั้งฝ่ายภาพ ช่างภาพ เหมือนกับว่าเราได้ไปเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำด้วยแหละ
 
หลังจากนั้น ก็ได้เกิดการพัฒนาตัวเองมาก โดยเบ้าหลอมเหล่านี้และโดยส่วนใหญ่ก็สอนทางอ้อม ไม่ได้สอนทางตรง แต่ว่าได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศนั้น ก็ทำให้เราเข้าใจงานสารคดีในเชิงลึกมากขึ้น อย่างเช่นการมองประเด็น การมองจุดขายว่าเรื่องนี้ที่จะทำ ควรจะชูประเด็นไหนมาเป็นจุดขาย เนื้อหายังเหมือนเดิม สิ่งที่อยากเสนอยังเหมือนเดิม แต่รู้จักตกแต่ง แล้วก็รู้ว่าโลกสารคดีมันกว้างมาก มันมีการออกแบบสร้างสรรค์วิธีการนำเสนอได้ไม่รู้จบ ได้เยอะแยะมากมาย
 
คุณมองพัฒนาการของคนเขียนสารคดียุคใหม่นี้อย่างไรบ้าง ?
คือถ้าจะให้ผมมองภาพรวมจริงๆ ว่างานเขียนสารคดียุคใหม่ มันสืบเนื่องมาตั้งแต่ว่า จริงๆ แล้ว สารคดีมันเป็นวรรณกรรมหรือไม่ คือเหมือนมีภาพว่า ถ้าคุณเขียนเรื่องแต่ง บอกว่าเรื่องสั้น แล้วส่งไป มันก็เป็นวรรณกรรมตั้งแต่ต้นละ ว่านี่คือนักเขียนวรรณกรรม เขียนบทกวีไป ก็เป็นงานวรรณกรรมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พอเขียนงานสารคดีคนยังคงกังขา ผมคิดว่า อาจเป็นเพราะคนติดสารคดียุคก่อน สารคดีที่ใส่ใจในเรื่องการนำเสนอน้อย คือเน้นเอาข้อมูลมาแบ มาวาง คิดว่าคนติดภาพตรงนี้นะ  พอมาถึงตอนนี้ คนเขียนสารคดียุคใหม่พัฒนาขึ้นมาก ในรูปแบบของวิธีการนำเสนอไม่ใช่แค่เรื่องข้อมูล เรื่องวิธีการนำเสนอ  มันพัฒนาขึ้นมาไปไกลมาก ผมกล้าพูดได้เลยว่า บางทีความงามหรือว่ารสทางวรรณศิลป์ของงานสารคดี บางชิ้นเหนือกว่างานวรรณกรรมกระแสหลักด้วยซ้ำไป แน่นอน บางชิ้นมันมีงานคุณภาพขนาดนั้น
 
ล่าสุด คุณมีงานเขียนสารคดีต่างแดนออกมา มีความแตกต่างกับเล่มอื่นๆ หรือไหมอย่างไร?
‘ทิเบต ที่เป็น-ไป’ เป็นเล่มที่ผมตั้งใจและรอคอย  เพราะว่าไปแล้วผมก็มีฐานมาจากงานสารคดีแนวบันทึกการเดินทาง เพียงแต่ที่แล้วมาเป็นพื้นที่ในประเทศ และมักเป็นเรื่องราวของชาวชนบทหรือไม่ก็ชนเผ่าที่ลึกเร้นอยู่ในดงดอยกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม  จนมีโอกาสได้เดินทางเข้าไปทิเบต ตั้งแต่ขอบแดนด้านตะวันออก ตามเส้นทางร่วม 2,000 กิโลเมตร ไปจนถึงกรุงลาซา อันเป็นศูนย์กลางของประเทศและศูนย์กลางความศรัทธาของพลเมืองทิเบต  ตลอดการเดินทางร่วมสอง สัปดาห์ ได้เห็นโลกที่ไม่เคยเห็น  เทือกเขาที่สูงใหญ่และกว้างไกลอย่างไม่มีที่ไหนเหมือน  ทุ่งโล่งจนดูเหมือนหาขอบเขตไม่ได้  ฟ้าโปร่งแจ่มใสแต่อากาศหนาวเหน็บ  รวมทั้งวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน ซึ่งคล้าย ๆ กับชนเผ่าปกาเกอะญอมากๆ ทั้งในด้านหน้าตา การแต่งกาย และวิถีชีวิต ทุกสิ่งที่ได้ผ่านพบกระทบใจอย่างมาก และตั้งใจว่าจะกลั่นกรองออกมาให้เนี้ยบและแนบเนียน  นี้เป็นความตั้งใจของผู้เขียน แต่เมื่อได้ปรากฏออกมาเป็นเล่มแล้ว คงต้องเป็นผู้อ่านเท่านั้นที่จะตัดสิน
 
มาถึงตอนนี้คุณวางเป้าหมายชีวิตยังไงบ้าง ?
ไม่มีเลย ยังไม่ได้วาง เพราะว่าตั้งแต่โตเต็มวัยเหมือนกับจินตนาการ เรื่องแผนชีวิตนี่ มันก็หายไปเหมือนกันนะ สมัยที่เรียนมัธยมเคยวางแผนฝันแหละ แต่มันไม่ค่อยเป็นไปตามแผนที่วาง แล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้วางแผนของชีวิตเลย จะใช้ชีวิตแบบปีต่อปี จะวางหนึ่งปี จะทำอะไรประมาณนี้ ไม่เกินสองปี ผมไม่เห็นด้วยกับการมีความฝันแล้วให้รีบทำ ให้รีบไปให้ถึง บางทีเพื่อนฝูงมันมักชอบคุยกัน อย่างเช่น ฝันว่าจะมีชีวิตเล็กๆ อยู่ในชีวิตชนบทก็รีบกลับไปซะ เพราะชีวิตคนมันไม่ยาวหรอก ตายวันนี้วันพรุ่งนี้ก็เป็นไปได้ คือตายไปโดยที่ไม่ได้ทำความฝัน ก็ไม่เป็นไร 
 
…แต่ผมคิดว่าจุดที่สำคัญ คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ว่ามันจะไปวันนี้ วันพรุ่งนี้ มันก็ดีอยู่นั่นเอง!
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ