วัยรุ่นแห่งสยาม

วินทร์ ถึง ปราบดา
30 พฤศจิกายน 2550
อยู่ดีๆ ไม่รู้คิดอย่างไร หลายวันก่อนผมแวะไปดูหนังไทยเรื่อง “รักแห่งสยาม” ขณะซื้อตั๋วหนังก็ยังลังเลว่าจะดูหรือไม่ โชคดีที่ตอนเข้าโรงหนัง ไม่มีใครทักว่า “เข้าผิดโรงรึเปล่า ลุง” เปล่า! ผมไม่ได้เลือกดูหนังเพราะใบปิดหนังหวานแหววรูปหญิงชายวัยรุ่นหน้าตาน่ารัก สารภาพตรงๆ ว่าปกติผมใช้เวลาตัดสินใจเลือกดูหนังไทยนานกว่าดูหนังฝรั่ง และยิ่งนานเข้าไปอีกหากเป็นตระกูลหนังรักกระจุ๋มกระจิ๋มของวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติไทย เกาหลี หรือญี่ปุ่น ดังนั้นการเดินเข้าโรงไปดูหนังเรื่องนี้จึงค่อนข้างผิดธรรมชาติการดูหนังของผม
ผมเชื่อว่า เหตุผลหนึ่งที่เลือกดูหนังเรื่องนี้อาจเป็นเพราะลูกของผมอยู่ในวัยรุ่น จึงคิดว่าน่าจะทำความเข้าใจและรู้เรื่องเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของวัยรุ่นปัจจุบันมากขึ้นว่า พวกเขาทำอะไรกันบ้าง ใช่ครับ ลูกของผมอยู่ในวัยรุ่นแล้ว ไม่น่าเชื่อนะครับ ปราบดากับผมเริ่มคุยกันทางจดหมายตั้งแต่ลูกของผมยังเป็นเด็กไร้เดียงสาอยู่ ตอนนี้ผมก็ต้องเริ่มทำใจว่า วันหนึ่งเขาอาจพาแฟนมาแนะนำให้พ่อแม่รู้จัก แต่หวังอย่างยิ่งว่าคงไม่ใช่ในเร็ววันนี้!
ขณะเดินเข้าไปในโรงหนัง ผมกะว่าน่าจะเดินออกจากโรงหนังภายในสิบห้านาที ไม่ใช่เพราะเลือกปฏิบัติกับหนังไทยนะครับ แต่มันเป็นวิถีปฏิบัติของผมมาแต่ไหนแต่ไร หากหนังจับผมไม่อยู่ในสิบห้านาทีแรก (หรือที่ถูกคือผมจับหนังไม่อยู่) และเริ่มอ้าปากหาวเมื่อไร ผมก็มักเดินออกไปสูดออกซิเจนนอกโรงหนัง ไม่ใช่เพราะไม่เสียดายเงินค่าตั๋ว แต่เสียดายเวลาตัวเองมากกว่า หนังมีเป็นร้อยเป็นพัน ไม่รู้จะทนดูเรื่องที่น่าเบื่อทำไม จริงไหม?
แต่ผิดคาดครับสำหรับกรณีนี้ ผมดูจนจบ หนังเรื่องนี้ดีผิดคาด และในความเห็นส่วนตัว นี่ไม่ใช่หนังรักหวานแหวว ตรงกันข้าม มันเป็นหนังผู้ใหญ่ เนื่องจากประเด็นที่นำเสนอในเรื่องไม่ใช่ประเด็น “เด็กๆ” เลย
เมื่อผมยังอยู่ในวัยละอ่อน หนังวัยรุ่นที่โด่งดังที่สุดน่าจะหนีไม่พ้นเรื่อง “วัยอลวน” กำกับโดย เปี๊ยก โปสเตอร์ สร้างในปี พ.ศ. 2519 ก็สามสิบปีล่วงมาแล้ว
วัยอลวน เป็นหนัง “วัยรุ้น-วัยรุ่น” หวานแหวว สนุกสนาน ขบขัน ดูแล้วมีความสุข น่าแปลกที่ผมยังจำชื่อตัวละครคู่พระคู่นางได้คือ ตั้ม-โอ๋ รับบทโดย ไพโรจน์ สังวริบุตร กับ ลลนา สุลาวัลย์
หนังเรื่อง วัยอลวน แหกกฎหลายข้อของการทำหนังในยุคนั้นคือ
1 นักแสดงโนเนม เป็นวัยรุ่นที่ไม่มีใครในเมืองไทยเคยเห็นหน้า
2 พระเอกรูปร่างสะโอดสะอง ไม่ล่ำบึ๊กแมนๆ ตามสไตล์พระเอกในยุคนั้นที่ “ชายชาตรี” ต้องตัวใหญ่หมัดหนัก
3 เรื่องรักหวานๆ ใสๆ ไม่บู๊ ไม่มีการต่อยตีกัน ไม่มีการแย่งชิงมรดก ไม่มีนางอิจฉา ไม่มีคนร้าย ไม่มีนายร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา
เมื่อแรกสร้าง หนังเรื่องนี้แทบไปไม่รอด คือหาโรงฉายไม่ได้ เพราะไม่มีนายทุนคนไหนอยากเสี่ยงด้วย (ไม่ค่อยต่างจากสมัยนี้นะครับ แม้จะผ่านมาสามสิบปีแล้ว!) แต่นอกจากหนังจะรอดชีวิตเพราะปากต่อปาก ยังเป็นหนึ่งในหนังทำเงินสูงสุดในช่วงนั้นคือแปดล้านบาท เงินจำนวนนี้เมื่อสามสิบปีก่อนก็เทียบเท่าร้อยล้านตอนนี้กระมัง วัยอลวนทำให้ชายไทยหุ่นบอบบางเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาทันใด คราวนี้ไม่ต้องเพาะกายล่ำบึ๊กก็เป็นพระเอกได้
ตัวเรื่องก็ง่ายๆ ครับ เป็นเรื่องของความรักของวัยรุ่น จีบกันโดยมีว่าที่พ่อตาขัดขวาง เล่นมุกขันๆ ทั้งเรื่อง จุดหนึ่งที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จคือ มันแหวกความจำเจของเนื้อเรื่องในยุคนั้น (ซึ่งมักจะมี 20 ธีม 20 รสในเรื่องเดียว!)
อีกจุดหนึ่งที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จก็คือเพลงประกอบ วัยอลวนมีเพลงไพเราะฝีมือของคุณชัยรัตน์ เทียบเทียม เช่นเพลง สุขาอยู่หนใด, น่ารัก ฯลฯ กลายเป็นเพลงฮิต ร้องกันทั่วบ้านทั่วเมือง หลายคนไปดูซ้ำ เอ้อ! ผมเองก็ดูเรื่องนี้หลายรอบ แสดงว่าเป็นคน “โมแรนติก” มานานแล้ว!
เช่นเดียวกับหนังที่ทำเงินทั่วโลก ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่าต้องสร้างภาคสอง แน่นอนครับ วัยอลวนสร้างภาคต่อตามมาอีกหลายภาค ภาคสองชื่อ รักอุตลุด ภาคสามชื่อ ชื่นชุลมุน และเมื่อสองปีก่อน ก็สร้างภาคสี่ คือ วัยอลวน 4 ตั้ม-โอ๋ รีเทิร์น
สำหรับเรื่อง รักแห่งสยาม นี้ แม้ตัวละครหลักของเรื่องจะเป็นวัยรุ่น ฉากก็เป็นสถานที่ที่วัยรุ่นชอบไปป้วนเปี้ยน (สยามสแควร์) แต่มันเป็นเรื่องรักที่พาไปสู่พื้นที่ที่คาดไม่ถึง นั่นคือ การตั้งคำถามเรื่องความรักแบบต่างๆ โดยเฉพาะความรักของเพศเดียวกัน นี่ทำให้เรื่องนี้หลุดจากตระกูลรักหวานแหววไปทันที พูดง่ายๆ คือ โปสเตอร์หนังกับตัวหนังเป็นคนละเรื่องกัน เชื่อว่าหลายคนถูกหลอกไปดูหนังเรื่องนี้เพราะโปสเตอร์แน่ แน่นอน หากสไตล์โปสเตอร์บอกว่าเป็นดรามาเข้มข้นเกี่ยวกับความรักที่มีประเด็นรักร่วมเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง คนดูอาจลดหายไปครึ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับที่หากพาดคำว่า “นิยายวิทยาศาสตร์” บนหน้าปกหนังสือ ยอดขายก็จะลดลงทันที
สยามในเรื่อง “รักแห่งสยาม” คือสยามสแควร์ สัญลักษณ์ของวัยรุ่นเมืองหลวงมาตั้งแต่สามสิบปีก่อน ผมจำได้ว่าตอนที่ผมยังละอ่อน ก็เดินสยามฯเหมือนกัน เพียงแต่เดินคนเดียว การไปเดินสยามฯก็คือการไปดูหนัง และเข้าร้านหนังสือ ไม่มีอะไรตื่นเต้น ไม่มีของซื้อของขายมากมายเช่นทุกวันนี้ และข้าวของก็ไม่แพงเหมือนตอนนี้
ยามนั้น สถานที่ผมร่ำเรียนอยู่ไม่ไกลจากสยามสแควร์ ดังนั้นพวกนิสิตจุฬาฯจึงมักไปเดินแถวนั้นบ่อยๆ สยามสแควร์เป็นพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์ เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯก็ว่าได้ อาจเทียบได้กับย่านชินจูกุของโตเกียวกระมัง?
ผมไม่ใช่คนเดินสยามฯมานานแล้วครับ เพราะสยามสแควร์ในปัจจุบันดูวุ่นวายมากเมื่อเทียบกับสยามสแควร์เมื่อสามสิบปีก่อน การเดินสยามฯในยุคก่อนเป็นไปอย่างเรียบๆ ไม่พลุกพล่านหนวกหู โรงหนังก็มีเพียงสามโรงคือ สกาลา ลิโด้ และสยาม ศูนย์การค้ามาบุญครองก็ยังไม่ถือกำเนิด บรรยากาศจึงสบายๆ ไม่เร่งร้อน เวลานี้สยามสแคร์เป็นพื้นที่ที่มองไปทางใดก็เห็นแต่ศูนย์การค้า บางแห่งอัดร้านค้าเสียแน่น จนมองปราดเดียวก็รู้ว่าผิดหลักความปลอดภัยทางสถาปัตยกรรม และเชื่อว่าเป็นแหล่งที่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดจุดหนึ่งของเมืองไทย
กลับมาที่เรื่อง “รักแห่งสยาม” อีกครั้ง บางภาพของหนังเรื่องนี้สะท้อนวัยรุ่นที่จับกลุ่มกินเหล้าเมายา ผมไม่แน่ใจว่าภาพชีวิตวัยรุ่นที่ผ่านความเหงา (หรือเปล่า?) ด้วยการกินเหล้า หรือหาแฟนสามารถใช้เป็นตัวแทนวัยรุ่นในสมัยนี้ได้หรือไม่ บางทีปราบดาอาจเห็นภาพนี้ชัดเจนกว่าผม เพราะอายุน้อยกว่าเล็กน้อย (แฮ่ม!)
ในสมัยของผมนั้น ผู้ใหญ่มองวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาที่ต้องระวังไม่ให้เสียคน ราวกับว่า หาก “เดินหมาก” ผิดในช่วงนั้น จะหมดอนาคตอะไรทำนองนั้น
ผู้ใหญ่สมัยก่อนเชื่อว่า วัยรุ่นเป็นเวลาที่ชีวิตอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนดว่า เด็กจะเติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่ดีหรือไม่ดี และสรุปว่าวัยรุ่นจำนวนมากเสียคนก็ในช่วงนี้
วัยรุ่นจะเป็นวัยที่เข้าใจยากหรือง่ายก็คงอยู่ที่หลายปัจจัย ทางด้านกายภาพ เป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกำลังเปลี่ยนแปลง ทางด้านจิตใจ พวกเขาเริ่มมองเพศตรงข้ามต่างไปจากเดิม อีกทั้งเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่การศึกษาแบบผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ผู้ใหญ่เป็นห่วงเด็กในช่วงเวลานี้ และอาจเป็นช่วงเวลาที่ช่องว่างระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กถ่างออกจากกันกว่าปกติ
พ่อแม่จำนวนมาก (รวมทั้งพ่อแม่ผมด้วย) ห้ามลูกในวัยรุ่นมีแฟน วัยรุ่นคือวัยเรียน ไม่มีการคบหาสมาคมที่ก้าวเลยจากความเป็นเพื่อนโดยเด็ดขาด มิพักเอ่ยถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ชาย-หญิง
ผมเรียนในโรงเรียนชายจนถึงชั้นเตรียมอุดมศึกษา จึงค่อยสัมผัสการเรียนแบบสหศึกษา ช่วงวัยรุ่นจึงเป็นครั้งแรกที่ผมเรียนชั้นเดียวกับนักเรียนหญิง แต่ก็ไม่เคยคิดไปจีบใคร เพราะเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่อย่างเคร่งครัด อย่าว่าแต่จีบเลยครับ แม้แต่พูดจากันก็ยังไม่ทำหากไม่จำเป็นจริงๆ ถือคติ “รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน”
ครั้นเข้าเรียนชั้นมหาวิทยาลัย นิสิตหญิงสวยๆ มีไม่น้อย หลายคนแต่งหน้าตาปากเหมือนผู้หญิงที่ทำงานแล้ว มีเสน่ห์น่าดึงดูดใจ แต่ก็ไม่เคยคิดเข้าไปใกล้ มองไปรอบตัว เพื่อนนิสิตที่มีแฟนในช่วงเรียนมีสัก 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจัดว่าต่ำมาก (ที่เหลืออาจจะมีแฟนแล้วไม่ยอมแสดงตัวก็ได้!)
มาถึง พ.ศ. นี้ ผมถามลูกว่าเพื่อนในชั้นเดียวกันมีแฟนกันบ้างหรือยัง คำตอบคือ “มีแล้วครับ”
“งั้นเอ็งไม่ต้องเอาอย่างคนอื่นนะ”
ผมสังเกตพฤติกรรมของวัยรุ่นและลูก พวกเขาจับกลุ่มกันแน่น ไปไหนมาไหนด้วยกัน เล่นดนตรีด้วยกัน นึกถึงสมัยผมก็เป็นอย่างนี้ ตอนทำงานที่ต่างประเทศ ผมก็ขลุกกับเพื่อนผู้ชายนานหลายปี
ถ้าถามผมว่า กลัวไหมว่าลูกอาจเป็นเกย์เพราะขลุกกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายนานๆ ผมไม่กลัวครับ เพราะไม่เชื่อว่าความเป็นเกย์เกิดจากสิ่งแวดล้อม ผมอ่านหนังสือด้านพันธุกรรมศาสตร์มาไม่น้อย และออกจะคล้อยตามหลักฐานว่า ความเป็นรักร่วมเพศถูกกำหนดมาโดยยีน หากไม่มียีนตัวนี้ ก็เหมือนใส่ถ่านไฟฉายผิดด้าน ทำอย่างไรก็ไม่สว่าง
ช่องว่างระหว่างพ่อแม่กับลูกที่เป็นวัยรุ่นก็คือ เด็กวัยนี้มีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน ชอบขลุกกับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ เมื่อมีปัญหาก็ไม่ค่อยบอกพ่อแม่ แช็ตกันวันละหลายชั่วโมง จนบางทีก็ไม่รู้ว่าเอาเรื่องอะไรมาคุยกันนักกันหนา เวลาเดียวที่พ่อแม่ลูกได้คุยกันก็คือเวลาอาหารเช้าและเย็น ทางที่ดีที่สุดก็คือ อย่าเปิดโทรทัศน์ในช่วงกินข้าว
ผมเองยอมรับว่า การเลี้ยงลูกในวัยนี้ยากกว่าที่คิด ตัวแปรหรือสิ่งเร้าที่กระทบต่อวัยรุ่นก็ดูเหมือนมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่บอกเด็กว่า “ไม่” “อย่า…” หรือ “ห้าม…” ต้องมีเหตุผลมารองรับเสมอ ช่างต่างจากสมัยของผม เพียงพ่อแม่บอกว่า “ไม่” ก็จบแค่นั้น ไม่มีการตั้งคำถาม ไม่มีการแย้ง
ผมเองก็คงไม่ต่างจากพ่อแม่อื่นๆ ที่ชอบเทศน์ลูก แต่เด็กไม่อยากฟังหรอกครับ เทศน์สักพักหนึ่งก็จับเคล็ดได้ว่า เด็กไม่ชอบให้พ่อแม่เล็กเชอร์ จำต้องหาวิธีสอนทางอื่น ซึ่งก็ยากนะครับ
หลายคนบอกว่า มีลูกชายสบายใจกว่ามีลูกสาว เพราะปัญหาน้อยกว่า ผมว่าปัญหามันไม่ได้น้อยกว่าหรอกครับ ยังไงๆ เลี้ยงวัยรุ่นหญิงหรือชายต่างก็ยากกว่าเลี้ยงลูกแมวลูกหมาอยู่แล้ว เหนื่อยอลวนพอกัน
บางทีผมก็ไม่รู้ว่า เรากังวลมากเกินจริงหรือไม่ อาจเป็นเพราะสังคมของเรามีภาพแย่ๆ ให้ต้องกลัว สิ่งเร้ารอบตัวมีมากมาย เปิดโทรทัศน์ช่องไหน ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือ มิวสิก วิดีโอ ก็เห็นแต่ฉากสังวาสหรือยั่วยวนชวนสังวาส อินเทอร์เน็ตก็เต็มไปด้วยขยะ
ดังนั้นถ้าจะโทษคนที่ก่อให้เกิดปัญหาวัยรุ่นใจแตกง่ายขึ้น ก็อาจต้องโทษผู้ใหญ่ที่ไม่มีความรับผิดชอบ สื่อที่เอาแต่ได้ ฯลฯ ไปจนถึงบริโภคนิยมที่กัดกลืนเราไปจนหมดตัว
……………….
ปราบดา ตอบ วินทร์
๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๐
สัปดาห์ที่ภาพยนตร์เรื่อง “รักแห่งสยาม” เริ่มเข้าฉาย ผมเดินทางอยู่ในประเทศลาวครับ แต่น่าทึ่งตรงที่ข่าวคราวและความฮือฮาเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ล่องไหลไปถึงตาของผม (ทางอินเทอร์เน็ต) จนทำให้เกิดอาการอยากดูขึ้นมาตะหงิดๆ ขณะกำลังเปิบข้าวเหนียวแกล้มเบียร์ลาวอยู่ริมน้ำโขงนั่นเชียว
เมื่อได้ไปดูแล้วก็ไม่ถึงกับซาบซึ้งหรือประทับใจเท่ากับหลายๆคนที่ชื่นชอบหนังเรื่องนี้ แต่อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีคือ “รักแห่งสยาม” เป็นหนังไทยที่มี “เนื้อหา” มีประเด็นเกี่ยวกับชีวิตจริงของคนในสังคมที่สื่อสารกับยุคสมัยอย่างชัดเจน ต่างจากหนังไทยในกระแสนิยมส่วนใหญ่ที่มักจะเน้นแนวเหนือจริงหรือบันเทิงขำขันเพียงอย่างเดียว (ผมเหมารวมหนังผี หนังเขย่าขวัญ หนังตลก หนังบู๊แอ๊คชั่น เป็นหนังเหนือจริงทั้งหมด) อย่างน้อยประเด็นพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นไทย โดยเฉพาะเพศที่เรียกว่าเกย์ ก็ไม่ค่อยมีให้เห็นในหนังไทยบ่อยนัก ทั้งๆที่คำว่า “หนังกะเทย” แทบจะเป็น “แนวเฉพาะ” ของหนังไทยในระดับดังกระฉ่อนไปทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่เป็นการนำกะเทยมาสร้างเสียงหัวเราะ มาเป็นตัวตลก โดยไม่พูดถึงสาระในความเป็นเกย์แต่อย่างไร
ที่น่าเศร้าคือเมื่อบางคนรู้ว่า “รักแห่งสยาม” เป็นหนังที่พูดถึงความเป็นเกย์ ก็มีการต่อต้าน มีการตักเตือนไม่ให้คนอื่นไปดู ด้วยเหตุผลเพียงเพราะ “มันเป็นหนังเกย์นะโว้ย” หรือ “เป็นเกย์หรือไงถึงได้อยากไปดู” หรือ “เห็นฉากเกย์แล้วอ้วกจะแตก” ในขณะที่ทุกคนพร้อมใจกันไปดูหนังกะเทยเพื่อหัวเราะเยาะพฤติกรรมน่าขบขัน (ตามบทหนัง) ทั้งหลาย ชอบที่ได้เห็นกะเทยพูดจากวนประสาท ใช้คำหยาบคาย แต่งกายพิสดาร วิ่งไล่ตามผู้ชายพลางสะบัดมือไม้ดัดจริต แต่เมื่อเป็นหนังที่พูดถึงประเด็นความเป็นเกย์อย่างจริงจัง และเป็นภาพสะท้อนด้านหนึ่งของสังคม หลายคนกลับรังเกียจและรับไม่ได้ขึ้นมาทันที
เกือบจะสรุปได้ไหมครับว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบความจริง ไม่ชอบสาระ และไม่ยอมรับความแตกต่างทางทัศนคติและรสนิยมของคนอื่น ถึงขั้นต้องโวยวายว่ากล่าวกันอย่างเอิกเกริก
อีกประเด็นหนึ่งที่มีคนพูดถึงมากเกี่ยวกับ “รักแห่งสยาม” แต่ไม่ใช่เนื้อหาของหนัง นั่นคือเรื่องการโปรโมตหนังที่ดูเหมือนจะเป็นหนังคนละเรื่องกันเลยด้วยซ้ำ เมื่อครั้งที่ผมและเพื่อนเห็นโปสเตอร์ เห็นหนังตัวอย่างของ “รักแห่งสยาม” เราต่างคิดว่าเป็นหนังรักกุ๊กกิ๊กระหว่างวัยรุ่นชายหญิงสองคู่ สาเหตุที่อาจทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้คือความน่ารักของนักแสดงล้วนๆ เราไม่สามารถคาดเดาจากการโปรโมตได้เลยว่า “รักแห่งสยาม” จะมีการพูดถึงปัญหาครอบครัวอย่างจริงจัง ไม่ต้องพูดถึงประเด็นเกย์ ที่ไม่มีแม้แต่วี่แววให้เดาออก ขนาด “Brokeback Mountain” ยังมีภาพสองคาวบอยหนุ่มกอดรัดกันให้เห็นพอหอมปากหอมคอ
ในความรู้สึกของผม สิ่งที่พัฒนาขึ้นมากที่สุดในวงการหนังไทยคือการตัดต่อหนังตัวอย่างและการโปรโมต หนังตัวอย่างที่ผมได้ดูในโรงมักทำได้น่าตื่นตาตื่นใจเสมอ ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินพิธีกรรายการโทรทัศน์ออกความเห็นแกมประชดประชันว่า “ถ้าหนังไทยทำได้สนุกเท่ากับที่เห็นในหนังตัวอย่างได้ก็ดีน่ะสิ” ฟังแล้วผมต้องตบเข่าเห็นพ้องด้วยอย่างไม่มีข้อแม้ หลายต่อหลายครั้งที่ผมอยากดูหนังไทยเพราะเชื่อการจูงใจของหนังตัวอย่าง และหลายต่อหลายครั้งเช่นกันที่ผมต้องผิดหวัง เสียดายเงิน เสียดายเวลา และเสียกำลังใจในการอยากติดตามหนังไทยเรื่องอื่นๆ (ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าผมพอใจกับการดูหนังชาติอื่นๆมากกว่าหรอกนะครับ บ่อยครั้งก็ผิดหวังเหมือนกัน) ทำให้ผมสงสัยว่า หรือจริตของการสร้างสรรค์งานศิลปะของคนไทยจะเหมาะกับการทำอะไรสั้นๆ เร็วๆ รวบรัด สร้างความตื่นเต้นแบบจานด่วน เหมือนที่คนไทยเก่งกาจกันเหลือเกินกับการทำหนังโฆษณา แต่เมื่อต้องจัดการกับอะไรยาวๆ ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ต้องการศิลปะของการเล่าเรื่องมากกว่าการขายของ กลับทำกันยังไม่ค่อยดีนัก หรือที่ทำได้ดีก็ไม่ค่อยเป็นที่สนใจในระดับกว้าง ถูกมองว่า “ติสท์แตกเกินไป” ทั้งๆที่ว่ากันตามตรง หากใช้มาตรฐานสากลเป็นตัววัด ผมเห็นว่าคนไทยที่ “ติสท์แตกเกินไป” นั้นมีน้อยเต็มที หรือกระทั่งอาจจะยังไม่มีเลยก็เป็นได้
ในกรณีของการโปรโมต “รักแห่งสยาม” ผมเห็นด้วยกับคนที่ไม่พอใจกับกลยุทธ์ล่อลวงคนดูของทีมโปรโมตหนัง แม้ว่าผมจะผิดหวังกับหนังเรื่องต่างๆที่ไม่สนุกเท่ากับหนังตัวอย่าง แต่ผมก็ไม่ค่อยรู้สึกแย่ถึงขั้นเหมือน “ถูกหลอกเข้าไปดู” เพราะความสนุกหรือไม่สนุก ดีหรือไม่ดี เป็นรสนิยมและทัศนคติของแต่ละบุคคล นั่งดูหนังเรื่องเดียวกันอยู่ข้างๆกัน คนหนึ่งอาจจะชอบ อีกคนอาจจะเกลียด หากผมผิดหวังกับหนังเรื่องไหนที่ผมคาดการณ์พลาด ผมถือว่าเป็นความซวยของผมเอง ไม่ใช่เพราะหลงเชื่อหนังตัวอย่าง แต่การโปรโมตหนังเรื่อง “รักแห่งสยาม” ผมรู้สึกว่าเป็นความจงใจสร้างภาพที่ค่อนข้างเข้าข่ายหลอกลวงต้มตุ๋น แม้แต่โปสเตอร์หนังก็ไม่ได้สะท้อนอารมณ์หรือเนื้อหาของหนังแม้แต่น้อย นักแสดงสาวคนหนึ่งใน “รักแห่งสยาม” ที่เห็นหน้าถี่ทั้งในหนังตัวอย่างและในการโปรโมตทางสื่อต่างๆ ความจริงมีบทบาทในเรื่องเพียงน้อยนิด ปรากฏตัวบนจอเพียงไม่กี่ฉาก แต่ละฉากก็โผล่มาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในขณะที่นักแสดงรุ่นใหญ่อย่างสินจัย เปล่งพานิช มีบทบาทชนิดเรียกได้ว่าเป็น “ดารานำฝ่ายหญิง” ได้ง่ายๆ ใบหน้าของเธอควรจะได้อยู่บนโปสเตอร์มากกว่าใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นเสียอีก
เท่าที่ผมทราบ การโฆษณาชวนเชื่อที่บิดเบือนความจริงหรือกล่าวอ้างสรรพคุณที่เลยเถิด ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ถ้าจำไม่ผิด เป๊ปซี่เคยเจอปัญหากับการใช้สโลแกนว่า “เป๊ปซี่ ดีที่สุด” เพราะคุณเอาอะไรมาวัดว่าเป๊ปซี่ดีที่สุด ดีที่สุดในแง่ไหน แบบนี้โค้กก็ซวยสิครับ จะบอกว่า “โค้ก ดีกว่าที่สุด” ก็ไม่ได้
ผมว่าการตรวจสอบแบบนี้น่าจะครอบคลุมถึงการโฆษณาชวนเชื่อในวงการอื่นๆด้วย เช่น ถ้าผมประกาศบนปกหนังสือของตัวเองว่า “นวนิยายที่มีคุณค่าทางวรรณกรรมที่สุดของเมืองไทย” ตำรวจก็ควรจะมาจับผมเข้าคุกเสียเลย (และจะช่วยทำให้หนังสือผมขายดีขึ้นอีก!) ในกรณีของการโปรโมต “รักแห่งสยาม” แม้ว่าจะไม่ได้หลอกลวงเลยเถิดถึงขั้นนั้น แต่คนที่เข้าไปดูหนัง ย่อมต้องรู้สึกภายในไม่กี่นาทีว่าหนังตัวอย่างและโปสเตอร์โปรโมต “รักแห่งสยาม” เป็นหนังคนละเรื่องกับ “รักแห่งสยาม” ที่ฉายในโรงโดยสิ้นเชิง เมื่อรู้สึกอย่างนี้ แปลว่าเป็นการโปรโมตที่เกินคำว่า “จูงใจ” มากกว่าคำว่า “ชี้นำ” และล้ำเส้นคำว่า “ชวนเชื่อ”
อาจต้องเรียกว่าเป็นการโปรโมตที่ “ผิดจรรยาบรรณ”
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพฤติกรรมบิดเบือนความจริงเช่นนี้จะมีมากขึ้นทุกทีในหลายๆแวดวง และกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทำไม่รู้สึกเขินอาย ความต้องการที่จะ “ขายให้ได้” กลายเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด ยิ่งกว่าความถูกต้องเหมาะสม จะว่าไป ความจริงโฆษณาโทรทัศน์ส่วนใหญ่ก็เข้าข่ายการหลอกลวงต้มตุ๋นทั้งนั้น จะต่างก็เพียงปริมาณมากน้อยของการต้ม ร้อยทั้งร้อยของโฆษณาแชมพูคือการใช้เทคนิคพิเศษให้ผมของนางแบบดูมันวาวสะท้อนแสง ร้อยทั้งร้อยของโฆษณาผงซักฟองคือการปรับระดับความขาวของภาพให้ดูสะอาดใสผิดธรรมชาติ ในยุคสมัยนี้ผมสงสัยเหลือเกินว่าจะมีคนดูทางบ้านสักกี่คนที่เห็นภาพโฆษณาแบบนั้นแล้วหลงเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นความจริง ยาสีฟันยี่ห้อไหนจะโง่ถ่ายภาพฟันของคนตามธรรมชาติ ที่มีรอยด่างเหลืองเล็กน้อยพองาม ร้อยทั้งร้อยต้องปรับภาพให้ขาวเว่อหมดจดจนไม่เหลือร่องรอยของความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ให้สงสัยต่อไปว่าเหตุไรคนจึงยังดูโฆษณาได้ทุกวันโดยไม่รู้สึก “เหลืออด” กับการถูกประเมินเป็นผู้บริโภคที่หลอกลวงง่าย ให้ดูอะไรก็ตื่นเต้น อยากวิ่งออกไปซื้อไปหามากิน มาถู มาทา มาแปรง มาซัก เสียจนขาวใสวาววับหอมกรุ่นไปทั้งประเทศชาติ
ผมเองยังไม่มีลูก (เท่าที่รู้นะครับ!) จึงเดาไม่ออกว่าความรู้สึกของการเลี้ยงลูกของตัวเองให้โตขึ้นในสังคมจะเป็นอย่างไร ผมมักมองตัวเองเห็นคนฝักใฝ่อิสระเสรี นั่นคือถ้ามีลูกก็ไม่อยากเป็นผู้ปกครองแนวบังคับเคี่ยวเข็น หรือพยายามวางกรอบให้ลูกเป็นไปตามที่ผมต้องการ ผมมีความเชื่อว่า ถึงจะเป็นสายเลือดเดียวกัน คนเราก็มีสัดส่วนที่เป็น “ตัวตน” และไม่เกี่ยวข้องกับคนรอบข้างอยู่ด้วย พ่อแม่จึงมีอิทธิพลเพียงในระดับหนึ่ง บางคนอาจเชื่อว่าพ่อแม่สอนมาอย่างไร ลูกก็โตเป็นอย่างนั้น แต่ผมคิดว่าไม่จริงไปเสียทั้งหมด การมีพื้นฐานครอบครัวที่ดี การมีผู้ปกครองที่ดี คงดีกว่าการเติบโตในครอบครัวที่มีปัญหา แต่ก็คงไม่อาจสะท้อนครอบคลุมทิศทางชีวิตของใครสักคนได้ครบถ้วน คนที่มีพ่อแม่แสนดี แต่ตัวเองกลายเป็นคนแสนชั่ว ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่จริงเสมอ ส่วนคนที่มีพ่อแม่เหลวแหลก แต่ตัวเองสามารถเติบโตเป็นคนมีคุณภาพ ก็มีอยู่ถมเถไปเช่นกัน
เช่นเดียวกับคุณวินทร์ ผมไม่เชื่อว่าการเป็นเกย์คือความผิดปกติที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดพร้อมกับการจัดสมดุลและความหลากหลายของธรรมชาติ ไม่ใช่ความผิดปกติ แต่เป็นความปกติที่เป็น “อีกทาง” หนึ่งของการมีชีวิตและการมีความรัก ผมจึงไม่เคยรู้สึกว่าเกย์คือมนุษย์ประหลาดที่น่ารังเกียจหรือน่ากลัว นอกจากนั้น ยังเป็นที่รู้ๆกัน (แต่ไม่ค่อยอยากจะยอมรับ) ว่าผู้มีอิทธิพลต่อสังคมมนุษย์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีมากมายที่เป็นเกย์ หรือเป็นไบเซ็กซ่วล ผมเคยนึกสงสัยอีกเหมือนกันว่า ถ้าสังคมไม่มีความรู้สึกต่อต้านเกย์ ไม่มีทัศนคติด้านลบต่อเกย์ ดังที่ยังเป็นอยู่ แต่เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เป็นอิสระทางการใช้ชีวิตที่ไม่ต่างจากการอยู่ร่วมกันระหว่างชายและหญิง เป็นไปได้ไหมว่าผู้ชายจะมีพฤติกรรมเป็นไบเซ็กซ่วลกันมากขึ้น นั่นคือเราอาจเกิดความรู้สึกรักเพื่อนผู้ชายมากกว่าความเป็นเพื่อนที่มีกรอบขวางกั้นไว้ก็ได้
ฝรั่งบางคนที่มาเมืองไทย เมื่อเห็นหนุ่มไทยเดินกอดคอกัน เดินจูงมือกัน หรือนั่งแนบชิดติดกัน ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเกย์ เป็นต้องตั้งคำถามด้วยความแปลกใจทั้งนั้น ดูเหมือนว่าความจริงสังคมผู้ชายไทยจะมีความสนิทสนมระหว่างกันมาช้านาน มากกว่าที่เราจะสนิทกับผู้หญิงด้วยซ้ำ ความเป็นเพื่อนรักของผู้ชายไทยคือทำอะไรด้วยกันได้หมด อาบน้ำด้วยกัน นอนด้วยกัน เป็นเรื่องปกติ และผมเชื่อว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศของคนไทยก็มีมานานแล้วเช่นกัน อย่าว่าแต่คนไทย กระทั่งกรีกยุคโบราณ ที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในสังคม ก็เป็นยุคที่ผู้ชายจำนวนไม่น้อยนิยมมี “แฟน” เป็นผู้ชาย บางคนอาจมีเมียมีลูกแล้ว แต่ก็มี “แฟนหนุ่ม” เป็นกิ๊กพ่วงเข้าไปด้วย เพราะต้องทำกิจกรรมอยู่แต่กับผู้ชายทุกวัน ถึงขนาดที่ปราชญ์ต้องเขียนหนังสือตักเตือนผู้ชายออกมาว่าการมีกิ๊กหนุ่มจะนำความวุ่นวายมาให้ชีวิตมากมายเพียงไร
ผมอาจจะคิดเข้าข้างความเป็นคนง่ายๆของตัวเอง แต่ผมคิดว่าถ้าผมมีลูกชาย แล้ววันหนึ่งผมบังเอิญเดินไปเห็นลูกกำลังแลกจูบอย่างดูดดื่มกับเพื่อนชายของเขา ผมคงไม่เสียใจหรือรู้สึกผิดหวังในตัวลูกแต่อย่างไร ผมอาจจะไม่ค่อยชอบที่บ้านของผมจะต้องเต็มไปด้วยเด็กหนุ่ม (เพราะผมชอบเห็นเด็กสาวมากกว่า) แต่ผมคงไม่คิดว่าลูกผมผิดปกติ หรือนึกสงสัยว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ลูกถึงได้เป็นอย่างนั้น
คงสนุกดีด้วยซ้ำ ที่จะได้ชี้ผู้ชายให้ลูกดู แล้วถามว่า “หล่อมั้ยๆ”
ในฐานะของพ่อ อาจจะมีเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้ผมผิดหวังในตัวลูก
นั่นคือ ถ้าลูกของผมไปมีส่วนร่วมในขบวนการหลอกลวงสังคม ไม่ว่าจะด้วยการทำหนังตัวอย่างบิดเบือนเนื้อหา การทำหนังโฆษณาเว่อๆ หรือการเป็นนักการเมืองที่เล่นการเมืองเพื่อเงิน ก็ตามที
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : นิตยสาร GM ฉบับเดือนมกราคม 2551