วันนี้ของนักเขียน ‘ดังตฤณ’ ‘ศรันย์ ไมตรีเวช’ ‘คนตายไม่ได้อ่าน’ ยังไม่จบ?
ในบรรดา “นักเขียน” ที่ไม่ใช่พระสงฆ์ เป็นฆราวาส แต่มีผลงาน- มีส่วน ปลุกกระแส “หนังสือแนวธรรมะ-แนวหลักธรรม” ให้แพร่หลาย ในสังคม ไทยได้มากขึ้น ต้องถือว่า ชายคนนี้ นักเขียน เจ้าของ ผลงาน “เสียดาย… คนตาย ไม่ได้อ่าน” ที่ได้รับความ นิยม อย่างสูง ยืนอยู่ แถวหน้า ได้อย่าง สง่าผ่าเผย วันนี้ ลองมาย้อนดู บางแง่ มุม ชีวิตจากวันวาน จนถึงวันนี้ ของ นักเขียน ที่ใช้นามปากกา ว่า “ดังตฤณ”
หรือชื่อ-นามสกุลจริง “ศรันย์ ไมตรีเวช”
เจ้าของนามปากกา “ดังตฤณ” หรือ “ศรันย์ ไมตรีเวช” ชายในวัย 40 ปี คนนี้ ในวันที่ ได้เจอ ใบหน้าด ูสงบเย็น มีรอยยิ้ม ที่เต็มไปด้วย ไมตรีจิต เขาคนนี้ ใช้เวลาสั่งสม ประสบการณ์ มานานกว่า 20 ปี ในแวดวงบรรณพิภพนี้
ศรันย์เล่าย้อนว่า เขาเป็นลูกคนที่สามของครอบครัว “ไมตรีเวช” เรียนจบปริญญาตรี Business Computer จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ซึ่งชีวิตของตนได้ถูกวางแผนไว้แบบหนึ่ง แต่มีพัฒนาการ และค่อย ๆ คลี่คลายมาตามลำดับ เรื่อยมาจนกระทั่ง มาเป็น อย่างทุกวันนี้ ใน ปัจจุบัน
เขาบอกว่า เมื่อเกิดความสนใจ เรื่องอะไร ไปรู้เรื่องอะไร ที่รู้สึกว่าดี ใจก็จะอยากให้คนอื่นรู้ตาม และมีแรงทะยาน ที่จะถ่ายทอด สิ่งที่รู้ และคิด ว่าดี ให้แก่คนอื่น ๆ
“ตอนแรกที่เกิด รู้สึก แบบนี้ขึ้น คือเมื่อ ป.6 คือไปอ่านอะไรมา แล้วรู้อะไร คิดอะไร ฝัน อะไร ก็อยากให้ เพื่อนรู้ ตาม ก็เขียนนิยายแบบ เด็ก ๆ นิยายน้ำเน่า แจกจ่าย ให้เพื่อน อ่าน รอบห้อง แล้วก ็รู้สึกดี มี ความสุข ยิ่งคนอื่น อ่าน แล้วบอก สนุกดี ขอยืม อ่าน หน่อยนะ มีการ จอง คิว มันเป็น เรื่องสนุก สำหรับเราในวัยนั้นมาก ๆ และกลาย เป็น พื้นฐาน นิสัย ตั้งแต่ บัดนั้น”
ชีวิตเขาคนนี้ มี พัฒนาการ อีกครั้ง ใน สมัย กำลัง จะจบ ชั้น มัธยม ปลาย ซึ่ง เจ้าตัว บอกว่า เป็นก้าว สำคัญของชีวิต เมื่อตอน ที่ อายุ 16 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.5 กำลังจะเอนทรานซ์ ก็เกิด คำถาม กับชีวิต ซึ่ง เด็กทั่วไป มักจะถามว่า จะเรียนอะไร แต่ ตนเอง มองข้ามช็อต ไป ว่า เรียนแล้ว จบออกมา จะทำอะไร
“ความรู้สึกตอนนั้นคือ งง และสับสน เพราะไม่อยาก จะทำงาน อะไร ไม่อยาก ทำ อาชีพขีด ๆ เขียน ๆ ไม่อยากจะนั่งโต๊ะ และตอบตัวเอง ไม่ได้ว่าเรา อยากเป็นอะไร ซึ่งหมายความ ว่า เลือกเรื่องเรียน ไม่ถูกด้วย”
ย้อนกลับ ไปตอน ม.5 เริ่ม เป็นทุกข์ อย่างยิ่ง ทุกเย็น ที่เดิน กลับบ้าน จะเฝ้าถาม ตัวเองว่า ชีวิตที่เหลือ จะทำอะไร บรรยากาศ ช่วงเย็น แสงไม่ค่อยมี แล้วจะค่อย ๆ มืด รถรา ก็วิ่ง ขวักไขว่ ณ เวลานั้น ชวน ให้เกิด ความรู้สึก ยิ่งกว่า คำว่าเบื่อ และไม่รู้ จะทำอะไร ให้ดีขึ้น ไม่ใช่ เบื่อแบบชั่วคราว แต่เป็นแบบ ค่อย ๆ กัดกร่อน ชีวิต ความ รู้สึก ค่อย ๆ แย่ลง ๆ และตื่นเช้าขึ้นมาแบบตอบตัวเอง ไม่ได้ว่า “จะตื่นขึ้น มา เพื่ออะไร เพราะไม่ได้ อยากทำอะไร”
พัฒนาการ อีกขั้น ของชีวิต คือ เข้าห้องสมุด ซึ่งปกติ เป็นคนชอบ เดิน เข้าห้องสมุด อยู่แล้ว วันนั้น เป็น วันแรก ที่มีความรู้สึก ว่าอยาก ได้คำตอบอะไร สักอย่างหนึ่ง ที่มันแปลกไปกว่า การอ่าน นิตยสาร อ่านหนังสือตลกโปกฮาก็เหลือบไปเห็นหนังสือ “เต๋าที่เล่าแจ้ง” แล้วก็ หยิบออกมา
มันมีความรู้สึกเลยนะ เหมือนในหนังเลย แบบที่เป็นอะไร ที่ มหัศจรรย์ น่ะ เป็นอะไรที่เป็นก้าวแรก เป็นอะไรที่ เป็นจุด เริ่มต้น ซักอย่างหนึ่ง คืออ่านแล้วเหมือนเราไม่ได้คำตอบหรอก แต่ได้ ความชุ่มชื่น ใจที่ไม่เคยได้มาก่อน เกิดความรู้สึก ว่าจะอ่าน อะไร ให้มากกว่านี้ เรื่อย ๆ แต่ตอนนั้น ก็ยังไม่ได ้สนใจ เรื่อง พระพุทธ ศาสนา”
ศรันย์บอกว่า เคยไปฝึกสมาธิ แบบธรรมสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิ แบบ อินเดีย เผยแพร่ตามโรงเรียน ซึ่งการทำสมาธ ิแบบธรรมสมาธินั้น ดีจริง แต่เมื่อไป ถึงจุดหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่า ไม่พอ มันไม่ได ้มีความสุข จริง ๆ
พัฒนาการขั้น ต่อมาของเขา คือ ตอนเรียน ม.6 อยู่ ๆ ก็เกิด อยาก จะลอง วิปัสสนา ขึ้นมาเฉย ๆ จึงไป ซื้อหนังสือ แล้วปรากฏว่า ไปเจอหนังสือ วิธีทำสมาธิและวิปัสสนา ของ พระอาจารย์ธรรมรักษา ราคาเล่มละ 20 บาท แต่มีค่ามาก อ่านแล้วน้ำหูน้ำตาไหล แล้วก็ ได้คำตอบกับชีวิตเลยว่า
“ชีวิตที่เหลือจะเอาอย่างนี้……..”
ช่วงที่เรียน ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วัน ๆ ก็อยากแต่จะเข้า ห้องสมุด อย่างเดียว เหมือนกับใจจริง ๆ
จะเข้า แต่ห้องสมุด เพื่อจะไปอ่าน หนังสือธรรมะ ตอนนั้นอ่านหมดเลย และที่ชอบที่สุดคือ “พระไตรปิฎก ฉบับ ประชาชน”
“อ่านแล้ว รู้สึกเฟรนด์ลี่มาก ๆ บาง คน บอกอ่านหนังสือ ธรรมะแล้ว เบื่อ แต่เรารู้สึกว่า เหมือนขนม เวลา ที่ได้ เข้าห้องสมุดเหมือนเวลาได้กิน ขนม……”
ส่วนวิชา ทางโลก หลังจากเรียนจบ ศรันย์ ทำงาน เกม-ดีไซเนอร์ ที่ บริษัท ซอฟท์แวร์เฮาส์ “ไอโซแฟกส์” เลย ได้โอกาส เขียน บทความ คอมพิวเตอร์ ลงหนังสือ ไมโคร คอมพิวเตอร์ จากนั้น จึงออก จากงาน มา เขียน อย่างเดียว ค่าตอบแทน คือ 5,000 บาท ต่อเดือน ถัดมา อีก 2-3 ปี ก็มาเขียน หนังสือ คอม พิวเตอร์ อาทิ ครบเครื่อง เรื่อง อินเทอร์เน็ต กะเทาะเปลือกไอซีคิว กะเทาะ เปลือกเพิร์ช ซึ่งใช้ชื่อ จริงเขียน
อย่างไร ก็ตาม งานเขียน ชิ้นแรก ของเขาที่ ได้ตีพิมพ์ใน หนังสือนั้น เกี่ยวกับ “ธรรมะ” ได้ ตีพิมพ์ก่อน บทความ คอมพิวเตอร์ เสียอีก คือ ตั้งแต่ตอน อายุ 22 ปี เขียนเรื่อง “ทางนฤพาน” เป็นนิยาย แบบรัก ๆ ใคร่ แต่อิงธรรมะ เป็นตอน ๆ ลงตีพิมพ์ ในนิตยสาร ค้นโลก ตอนนั้น อายุ 22 แต่ คนอ่าน นึกว่า แก่แล้ว จึงปิด ตัวมาก ๆ ศรันย์ เขียนบทความ เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ อยู่ประมาณ 5 ปี เขียนบทความ มาเรื่อย ๆ สะสม ประสบการณ์ แล้วได้เขียน หนังสือ เขียน เรื่องซอฟต์แวร์ฟรีมาตลอด พอเขียนมาระยะหนึ่งก็เลิก “รู้สึกว่าเหมือนไป ส่งเสริม ให้คนไปซื้อ ซอฟต์แวร์เถื่อน จึงไม่ทำ”
ช่วงนั้นก็มีคนมาชวนลงขั นให้ทำ “ทางนฤพาน” เขาจึงกลับมา ทบทวนว่า น่าจะมาเขียน ใน สิ่ง ที่ชอบ แล้วไม่ส่งเสริมให้คนทำผิดจะดีกว่า และ น่าจะอยู่ได้ เพราะไม่ได้หวังรวย ซึ่ง ตอน นั้น เป็นสิ่ง ที่ต้อง เลือก เพราะช่วงนั้นหนังสือคอมพิวเตอร์กำลังเป็นที่ต้องการมาก ราย ได้ดี แต่ การแข่งขัน ทางหนังสือ คอมพิวเตอร์ก็มีสูง และตัวเองก็ไม่ชอบ ที่จะไปแข่งขัน กับใคร ไม่ อยากไปรบกับใคร
“ต้องการแค่ พอกินพอใช้ จึงตัดสินใจ ว่าเขียน เกี่ยวกับธรรมะ แจกทาง อินเทอร์เน็ตดีกว่า”
พ.ศ. 2533 เป็นปีที่เริ่มเขียนทางนฤพานจริง ๆ จัง ๆ เป็นบทความลงในนิตยสารพ้นโลก แล้ว มาเป็นหนังสือเล่มจริง ๆ ตอนอายุ 30 ปี เพราะเพื่อนที่รู้จักกันอยากลงขันพิมพ์ประมาณ 5,000 เล่ม ทั้งแจกทั้งขาย เล่มละ 99 บาท คนก็ชอบ เพราะหนังสือเล่มใหญ่ และขายถูก คนเลย กว้าน ซื้อ ใช้เวลา 2 เดือนหมด
“ช่วงที่เขียนทางนฤพาน และได้รับ การยอมรับ ทางอินเทอร์เน็ต จึงลง ขันไป และคิดว่า จะได้ เงินคืน แต่ 3 ปียัง ไม่ได้ คืนเลย ถ้าคน มองเรา เมื่อช่วง 2 ปี ก่อน คน จะบอก ว่า นี่ มาเขียน หนังสือ ธรรมะ เพราะ อยาก รวยนะ แต่ที่ จริงเขียน ฟรีมา 10 กว่า ปี ด้วยซ้ำ เพราะใจรัก ตั้งใจ แค่ พอ กิน พอใช้ ไม่ได้ หวังรวยอะไร” ศรันย์กล่าว
ทั้งนี้ ผลงานเขียน หลังจาก ทาง นฤพาน ของเขา คนนี้ มีอาทิ กรรม พยากรณ์ ทั้ง 2 ภาค, เสียดาย…คนตาย ไม่ได้อ่าน ที่พิมพ์ซ้ำ ถึง 50 ครั้ง ในช่วง 3 ปี, วิปัสสนานุบาล, มีชีวิตที่คิดไม่ถึง, 7 เดือนบรรลุธรรม ฯลฯ และล่าสุด คือ “เสียดาย… คนตาย ไม่ได้อ่าน 2”
“ภาคภูมิใจ แทนพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรมครู เราเองเป็นเพียง แค่คน ที่มีความ ปรารถนาดี เป็น สื่อกลาง ถ่ายทอด ปัญญาของ พระพุทธเจ้าไปสู่ คนเท่านั้น โดยใช้งานเขียนเป็นสื่อกลาง ไม่ได้ เป็นอะไรมากไปกว่านี้” …เจ้าของนามปากกา “ดังตฤณ” กล่าว ทิ้งท้าย ถึงความรู้สึก ที่งาน เขียน ทำให้ คนรุ่นใหม่ หันมาสนใจธรรมะมากขึ้น. 'มหาสติปัฏฐานสูตร ฉบับสมบูรณ์'
กับ งาน เขียน หนังสือแนวธรรมะเล่ม ล่าสุดของ “ดังตฤณ-ศรันย์ ไมตรีเวช” คือ “เสียดาย.. .คนตายไม่ได้อ่าน 2” นั้น ยังมีอีก ชื่อคือ “มหาสติปัฏฐานสูตร ฉบับสมบูรณ์” คือ 2 ชื่อ 2 เล่มนี้ จะเป็น เรื่องเดียวกัน แต่เปลี่ยน ที่ชื่อเรื่อง ซึ่งศรันย์ บอกว่า คนที่เขาเคยอ่าน มหาสติ ปัฏฐาน สูตร ที่รอ อยู่ 6 ปี ยังถามหาอยู่ เพราะฉะนั้น กลุ่มคน อ่านนี้ จะเป็นกลุ่มท ี่บอกว่า เล่มนี้คือ มหาสติปัฏฐานสูตร ฉบับสมบูรณ์
และส่วนตัว ได้ทำแจกเป็นธรรมทาน ซึ่งได้รวบรวมชื่อ โรงเรียน และเรือนจำทั่วประเทศ สำหรับ โรงเรียน มัธยมฯ จะเป็น 2,600 แห่ง เรือนจำประมาณ 1,000 แห่ง อันนี้จะเป็น ภายใต ้ชื่อ “มหาสติปัฏฐานสูตร” ซึ่ง ทั้งโรงเรียน และเรือนจำ จะบริจาค ในชื่อ “เสียดาย…คนตาย ไม่ได้อ่าน 2” ส่วน “มหาสติปัฏฐานสูตร ฉบับ สมบูรณ์” จะนำ ไปถวาย พระ และแจก สำหรับ คนที่ได้ร่วม บริจาคเงิน ร่วมทำบุญมา
สำหรับเนื้อหาในหนังสือ จะเป็น แบบฮาวทู คือ ทำอย่างไร ถึงจะ มีสติ แบบไม่เป็น ทุกข์ และทำ อย่างไร ถึง จะมีความสุข อัน มหัศจรรย์ ซึ่งจะ เป็น หัว ข้อที่ไม่เฉียด เข้าไป ในเรื่อง จงมา ปฏิบัติธรรม แต่จะอ้างอิง ถึงพุทธพจน์ อย่างทำ อย่างไร ถึงจะม ีสติ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็น สิ่งที่ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้
เนื้อหา ในหนังสือ จะไม่โฆษณา เรื่องการ ปฏิบัติธรรม เพียงแต่ จูงใจ ว่าเป็นพุทธพจน์ และเอามา เรียบเรียง ด้วย ภาษา ที่ง่าย คนยุค ใหม่ทั่วไปเข้าใจ และคนทั่วไป สามารถ ที่จะทำ ได้จริงด้วย โดย ไม่จำเป็นต้อง ไปทำสมาธิ หรือ ไม่ จำเป็น ต้องปลีกตัวไปอยู่ที่ไหน
“ใช้เวลา เขียนนาน 6 ปี เป็นหนังสือ ที่ภูมิใจ มาก ที่สุด ทุ่มเทมากที่สุด และในชีวิต นักเขียน นี้ ถือว่า สุดยอดแล้ว ส่วน งานเขียน ต่อไป คงจะ เป็น การแตกกิ่งก้านสาขาจากความรู้ ความ เข้า ใจ ออกมา ในรูปแบบงานเขียน เล็ก ๆ” เจ้าของ นามปากกา “ดังตฤณ” กล่าว
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.au.edu/AU-Press/q-q.html