วัฒนธรรมส่งเสริมการอ่าน : ‘ ง่าย ‘ หรือ ‘ยาก’ หนังสือที่เด็กควรอ่าน
บางทีความคิดที่ว่า หนังสือที่เหมาะสำหรับเด็กนั้นควรจะเหมาะสมกับวัยของเขา เด็กควรอ่านหนังสือที่เข้าใจง่าย แล้วค่อยอ่านที่ยากขึ้นตอนโตอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป หากเราเชื่อที่อาจารย์ มาซารุ อิบุคะ ผู้เขียนเรื่อง กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว บอกว่า การให้ทารกฟังเพลงคลาสสิกนั้นทำให้เขาเกิดความคุ้นเคยและชื่นชอบ เนื่องจากสมองได้วางโครงสร้างทางดนตรีที่แสนจะซับซ้อน บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีนับร้อยชิ้นลงไป เป็นไปได้ไหมหากเราจะวางพื้นฐานกวีนิพนธ์ที่อาจดูวิจิตรและเข้าใจยากให้พวกเขาฟังแบบนั้นบ้าง โดยอาศัยหลักการเดียวกันและความรู้ด้านพัฒนาการเด็กที่ว่า ทารกและเด็ก1-2 ขวบนั้นชอบ สนใจ และมีศักยภาพรับรู้แยกแยะเสียงดีเป็นพิเศษ เราอาจจะทดลองนำวรรณคดี เช่นเรื่อง ขุนช้างขุนแผน หรือบทกวีของกวีซีไรต์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ , ไพวรินทร์ ขาวงาม หรือว่าอุชเชนี ไปอ่านให้เด็กฟังตั้งแต่แบเบาะ เพราะในวัยนั้น การเข้าใจความหมายไม่ใช่จุดมุ่งหมายหลักที่เราต้องการ หากแต่เป็นการหวังผลปลูกเมล็ดพันธุ์ภาษาไทยอันวิจิตรไพเราะ ผูกร้อยเข้าด้วยกันอย่างมีจังหวะจะโคน โดยเฉพาะหากพ่อแม่อ่านเป็นทำนองเสนาะแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ภายหลังก็คือ เด็กย่อมจะคุ้นเคยกับกวีนิพนธ์ และมีความกระหายใคร่อ่านเมื่อเขาเติบโตขึ้น โดยไม่รู้สึกติดขัด อ่านยาก ไม่รู้เรื่อง หรือต้องปีนกระไดเหมือนการเริ่มอ่านในวัยผู้ใหญ่
เด็กชายวัย 4 ขวบครึ่งคนหนึ่งในรัฐเทนเนสซี่จดจำบทกวีชุดหนึ่งของ ที เอส เอลเลียต กวีอังกฤษซึ่งได้รับรางวัลโนเบลได้ขึ้นใจ เนื่องจากพ่อของเขาอ่านให้ฟังตั้งแต่ 2 ขวบ * ผลลัพธ์นั้นเป็นเช่นเดียวกับที่อาจารย์อิบุคะนำบทกวีไฮกุ กวีนิพนธ์โบราณของญี่ปุ่นซึ่งซ่อนนัยทางศาสนาเซนอันลึกซึ้งมาอ่านให้เด็กปฐมวัยฟัง
แล้วสำหรับเด็กประถม หรือวัยที่เขาอ่านได้เองล่ะ เราควรเลือกเพียงหนังสือที่แต่งอย่างเหมาะสมตามวัยหรือไม่? จำพวกเรื่องราวของเด็กและปัญหาแบบเด็กๆที่เขาต้องเผชิญ เรื่องอย่างนั้นมีประโยชน์จริง และเด็กก็สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้าด้วยได้ แต่ก็ยังมีตัวอย่างอื่น ๆ เช่น หนูน้อยชาวออสเตรเลียวัย 6 ขวบที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเรื่อง พ่อมดน้อยแฮรี่ พอตเตอร์ อย่างขะมักเขม้นทั้งที่เล่มหนา และเนื้อเรื่องออกจะเกินวัยของเขา อาจารย์ท่านหนึ่งในประเทศออสเตรเลียเองได้จัดชั่วโมงอ่านวรรณกรรมคลาสสิกให้นักเรียนชั้น ป. 6 ฟังเป็นประจำทุกสัปดาห์ เรื่องที่เขาเลือกคือ เหยื่ออธรรม ของ วิคเตอร์ ฮูโก ผลปรากฏว่าเด็กๆ กระตือรือร้นมากในวันที่มีชั่วโมงอ่าน เด็กคนไหนที่ขาดเรียนจะเที่ยวค้นหาตอนที่ตัวเองขาดมาอ่านอย่างแทบคลั่ง จนเขาได้ข้อสรุปว่าเด็ก ๆ รักเรื่องราวแบบละคร สุขหรือโศกนาฏกรรม การต่อสู้ ความรัก ความเจ็บปวดความผิดหวัง รวมทั้งการลุ้นว่า ชะตากรรมของตัวละครจะดำเนินไปสู่จุดจบแบบใด* เช่นเดียวกับหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กมัธยมต้นในสหรัฐอเมริกา ที่เลือกนิยายคลาสสิกเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา อย่างเรื่อง วัตเตอริ่งไฮท์ แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวของความรักความเกลียดชัง มีความซับซ้อนทางอารมณ์แบบปุถุชน ซึ่งเด็ก ๆ ยังไม่มีประสบการณ์ก็ตาม
ฉะนั้น บางทีอาจต้องพิจารณากันให้ถี่ถ้วนถึงเรื่องความยากง่าย การพยายามคงเด็กให้เป็นเด็ก รับรู้โลกแบบใสสะอาด หรือว่าเชื่อในศักยภาพของเขา สนับสนุนให้อ่านโลกที่มีเบื้องลึกซับซ้อนรวดร้าวผ่านวรรณกรรม โดยมีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ข้างๆ