วัฒนธรรมส่งเสริมการอ่าน : การอ่าน และการศึกษา
นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ท่านหนึ่งอธิบายว่า เมื่อคนแต่ละคนอ่าน เขาได้สร้างความหมายตามแบบของตน ยกตัวอย่างคำว่า ‘ต้นไม้’ คนอ่านแต่ละคนจะคิดถึงต้นไม้ในรูปลักษณ์ที่ต่างกันออกไป แล้วเมื่ออ่านนิทาน นิยาย บทความหรือสารคดี สิ่งที่ผู้เขียนให้ความหมายไว้จะเป็นแนวทางเพียงกว้างๆ เท่านั้น เพราะผู้อ่านจะมีการสร้างความหมาย และให้รายละเอียดผ่านจินตนาการความคิดเห็นของตน ในโลกนี้มีสื่อเพียงชนิดเดียวเท่านั้นคือ หนังสือ ที่อนุญาตให้ผู้รับสารทำได้อย่างที่ว่า กระบวนการในสมองของคนอ่าน ถัดจากการสร้างความหมายคือการคิดหาเหตุผล สร้างตรรกะขึ้นสำหรับทำความเข้าใจ จากนั้นสรุปเป็นความรู้เก็บไว้ *
การศึกษาไทยซึ่งปรับเปลี่ยนความมุ่งหมายมาเป็น ให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็นนั้น แตกต่างไปจากเดิมที่มีครูคอยป้อนความรู้ แล้วให้เด็กท่องจำ รับเข้าไป ด้วยเหตุผลข้างต้น การส่งเสริมการอ่านจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กได้ฝึกคิด ฝึกทำความเข้าใจ และแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
นอกจากเด็กเล็ก ๆ แล้ว ตามปกติ การอ่านเป็นกระบวนการที่ทำกับตัวเองตามลำพัง และยังเป็นเหมือนการลองผิดลองถูกอีกด้วย หนังสือแต่ละเล่มจะสั่งสมข้อมูลความรู้ลงไปในตัวคนอ่าน โดยทั่วไป เด็กที่อ่านหนังสือมักจะมีความคิดความอ่านมากกว่าเพื่อนคนอื่น แต่บางครั้งก็อาจแหวกแนวจนทำให้ผู้ใหญ่สะอึก เนื่องจากความรู้ในหนังสือกับความรู้ในโลกจริงของเขายังไม่เชื่อมประสานกันดี หรือข้อมูลความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ของเขายังไม่มากพอ
ดังนั้น นอกจากครูหรือผู้ใหญ่จะส่งเสริมให้เด็กหรือเยาวชนหันมาอ่านหนังสือแล้ว ก็ควรจะสนับสนุนการคิด การให้เหตุผลของเขาด้วยท่าทีที่เปิดกว้าง แม้ว่าสิ่งที่เขาคิด ถาม หรือพูดออกมาอาจจะผิดเพี้ยน หรือขัดกับความเชื่อเรื่องเด็กดี หรือเด็กที่ควรจะเป็นของเรา เราควรอธิบายให้เขาฟังเรื่องความเหมาะสม ให้ความรู้เพิ่มเติม หรือแนะนำหนังสือที่เขาควรอ่านเพิ่ม ด้วยว่าการเรียนการสอนตามตำรา คือการทำความเข้าใจชุดความรู้ที่มักจะมีข้อสรุปอยู่ก่อนแล้ว ทว่า การอ่าน คือการเพิ่มโอกาสในการแสวงหาความรู้โดยตัวผู้เรียนเอง ยิ่งอ่าน ยิ่งคิด ยิ่งพบความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ กว้างไกลออกไป
เมื่อเปิดโอกาสให้เด็กแสวงหาความรู้แล้ว ผู้ใหญ่เองก็ควรที่จะอ่านด้วย เพราะลำพังความรู้ในสาขาวิชาชีพต่างๆ ที่เราแต่ละคนมีนั้นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับทำความเข้าใจโลก ผู้คน เรื่องราวซับซ้อนหลายหลาก และโดยเฉพาะเด็กๆ ท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ไม่มีใครแก่เกินเรียน และเราควรเป็นเพื่อนร่วมทางพวกเขาในการ ‘เรียนรู้ตลอดชีวิต’