วรวิช ทรัพย์ทวีแสง ชายหนุ่มผู้หลงรักตัวอักษร
.jpg)
จากโพรไฟล์ที่เรารู้ ผู้ชายที่ส่งรอยยิ้มสดใสมาให้ตรงหน้านี้เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์ จบคณะวิศวกรรมศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เรียกว่าแทบไม่มีเส้นทางไหนที่เฉียดกรายไปใกล้เรื่องของศิลปะหรือการขีดๆเขียนมากนัก
แต่หลังที่เขาเรียนจบ แทนที่จะกลายเป็นวิศวกรหนุ่มหนึ่งอาชีพยอดฮิตของสังคม เรากลับได้รู้จัก “วรวิช ทรัพย์ทวีแสง” กับเพื่อนๆร่วมอุดมการณ์ ในสถานะของคนทำนิตยสารออนไลน์ “หมดปัญญา” ที่ขอบอกว่าเนื้อในของนิตยสาร แทบจะหอบปัญญาทั้งหมดมากองอยู่ตรงหน้าคนอ่าน ไม่มีไก่กาเลยสักนิด
น่าเสียดายที่ “หมดปัญญา” ต้องหมดอายุขัยลงด้วยหลายปัจจัย
ทว่าวรวิชก็ยังไม่หมดไฟ และยัง “เชื่อมั่น” ในสิ่งที่ตัวเองรัก
จนวันนี้สิ่งที่เขาเชื่อ ปรากฏอยู่ทั้งในรูปของเจ้าของรางวัลเรื่องสั้น สุภาว์ เทวกุลฯ ปี 2553คือ “โลกจากเราไป” ,รวมเรื่องสั้นเล่มแรกที่มาพร้อมความเซอร์เรียลอย่างแรงอย่าง “ผลงานของนักเขียนถนัดซ้ายผู้ด้อยพัฒนา” และ “สนพ.เข้าใจพิมพ์” สำนักพิมพ์ที่ลงทุนลงแรงคนเดียว
“จำได้ว่าเขียนเรื่องแรกอยู่ม.ปลาย เขียจากความฝันของตัวเอง ก็ออกมาเป็นเรื่องสั้นชวนฝันเรื่องความรักของหนุ่มสาวกุ๊กกิ๊กอะไรแบบนั้นแหละครับ แต่ก็เอามาแต่งเติมให้มันมีสีสันเข้าไปอีก ผมก็ส่งไปที่นิตยสาร Katch มันได้ลงผมดีใจมาก ผมก็ส่งไปอีกสองสามเรื่องก็ได้ลงอีก” วรวิชย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม
เพราะจุดเริ่มต้นดี เลยชักจะติดใจการเขียนการอ่าน วรวิชเลยคิดจะเบนเข็มจากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเรียนวิศวกรรมศาสตร์ แต่สุดท้ายก็สอบติด เลยตัดสินใจว่าเรียนก็ได้ แต่ยังไงก็จะไม่เป็นวิศวกรแน่ๆ จบมาจะทำงานที่อยากทำ
“ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่าถ้าเราทำอะไรอย่างจริงจังมันเลี้ยงตัวเองได้ทั้งนั้น ผมอาจจะยังไม่ใช่นักเขียนที่เลี้ยงตัวเองได้จากการเขียนเพียงอย่างเดียว แต่ผมก็หางานที่พอทำได้อย่างอื่นทำไปด้วย เพื่อเลี้ยงตัวเอง ทำให้เราอยู่ได้ มันก็ทำให้เรามีเวลาที่จะเขียนงานของเราอย่างต่อเนื่องได้”
แต่เมื่อมองย้อนกลับไป จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นข้อดีส่วนหนึ่งที่ส่งผลถึงวิธีการเขียนและระบบคิดของเขา
“คงมีส่วนอยู่บ้างที่ทำให้ผมคิดอะไรแบบเป็นเหตุเป็นผลโดยไม่รู้ตัว”เขาว่า
แต่ที่สุดแล้ววิชาความรู้4-5ปี ก็ไม่มีผลมากเท่าสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมาทั้งชีวิต
“ผมว่าวิธีคิดที่เป็นเหตุเป็นผลส่วนใหญ่ที่ได้มานั้น ผมได้มาจากที่บ้านมากกว่า และอีกอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะมีผลต่อวิธีสร้างงานและวิธีคิดของนักเขียนทุกๆคนก็คือ หนังสือที่อ่าน”
ไม่แน่ใจว่าอ่านงานประเภทมามากเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่ใน “ผลงานของนักเขียนถนัดซ้ายผู้ด้อยพัฒนา” กลิ่นอายของความเป็นเซอร์เรียลอวลอยู่ในแทบทุกบรรทัด
“ถ้ามองรวมๆอาจจะเห็นว่าเป็นงานเหนือจริงอย่างที่ว่า เพราะจะบอกว่ามันเป็นงานแบบสัจนิยมแบบเพื่อชีวิตมันก็ไม่ใช่
แรกๆผมคิดว่าผมเขียนงานแนวนี้อยู่ แต่ถ้าดูเป็นเรื่องๆ แต่ละเหตุการณ์จะเห็นว่ามันไม่ใช่งานเหนือจริงซะทีเดียว มันยังอ้างอิงจากหลักเหตุผลของความจริง และอาจจะเกิดขึ้นได้ในโลกของความจริง เพียงแต่เราไม่ทำกันแบบนั้นแต่มันเป็นจริงได้” วรวิชอธิบายในสิ่งที่คิด
“ผมเขียนงานในฐานะที่ผมเป็นผู้อ่านคนหนึ่ง ผมเขียนสิ่งที่ผมอยากอ่าน ผมเองเป็นผู้อ่านที่เสียเปรียบด้วยซ้ำ เพราะเมื่ออ่านงานของตัวเองก็จะได้ความคิดเดิมๆเพราะผมรู้ว่าผมเขียนถึงอะไร แต่ผู้อ่านคนอื่นๆหากได้ย้อนกลับมาอ่านงานผมซ้ำ อาจจะมีความคิดต่างไปจากการอ่านครั้งก่อนๆก็ได้”
ส่วนคำวิจารณ์ที่กลับมานั้น วรวิชก็ว่าพร้อมน้อมรับ รวมถึงความเห็นตรงๆของคนที่อาจไม่คุ้นเคยงานสไตล์นี้ว่า งานของวรวิชค่อนข้างอ่านยาก เพราะซับซ้อน และต้องตีความหลายชั้นก็ตาม
“คำวิจารณ์ ความคิด ความเห็นต่างๆ มันก็คือปฏิกิริยาหลังจากผู้อ่านได้รู้จักกับงานผม ผมชอบฟังและอยากรู้ว่าผู้อ่านคิดอย่างไรมองอย่างไรกับงานผม ถ้าเป็นแง่บวกมันก็คงไม่เท่าไหร่แต่ถ้าเป็นแง่ลบเรามักจะไม่ค่อยกล้าพูดกันตรงๆ ผมถือว่าเสียงจากผู้อ่านเป็นที่อ้างอิงเสมอ คือผู้อ่านคิดอย่างไรแสดงว่างานเราเป็นอย่างนั้นในสายตาผู้อ่าน แต่เราในฐานะคนเขียนก็ต้องชัดเจนว่ากำลังทำอะไรอยู่”
นอกจากสถานะนักเขียนแล้ว ตอนนี้วรวิชยังลุกมาทำสำนักพิมพ์เล็กๆเองอีกด้วย ด้วยความตั้งใจว่า “อยากทำหนังสือที่เชื่อว่าดีและอยู่ได้นาน”
“คุณสมบัติแบบนี้อาจจะโน้มเอียงมาทางเรื่องเล่านิทานหรือเรื่องแต่ง หากมีเรื่องที่ไม่มีใครพิมพ์เพราะอาจจะขายไม่ได้ ผมก็ยินดีพิมพ์มัน หากมันขายไม่ได้อย่างน้อยผมได้พิมพ์มันออกมา ก็นอนตายตาหลับ
ผมไม่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะพิมพ์งานตัวเองเป็นเล่มแรก แต่พอผมรวมรวมต้นฉบับเรื่องสั้นของผมได้และพยายามส่งไปตามสำนักพิมพ์ไม่ว่าเล็กใหญ่ แนวไม่แนว ผลคือไม่ผ่าน เลยคิดว่าถ้าผมไม่พิมพ์เองคงไม่มีสำนักพิมพ์ไหนมาเสี่ยงพิมพ์งานของผมแน่แล้ว ก็เลยตัดสินใจพิมพ์งานของตัวเองวางตลาดเสียเลย แล้วมันก็พลอยได้ส่งเข้าประกวดรางวัลโน้นรางวัลนี้บ้าง”
แต่พอทำจริงๆ ก็ต้องมีระบบธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ใช่หรือ เราสงสัย
“มันต่างไปจากตอนที่ตั้งใจ” วรวิชพยักหน้า
“พอได้ติดต่อกับสายส่งเป็นเรื่องเป็นราวแล้วผมกลับคิดถึงเรื่องยอดขาย เพราะต้องลงทุน กลายเป็นว่าลึกๆเราก็หวังกำไรจากมันเสียแล้ว ผมก็มาคิดทบทวนว่าอะไรที่จะทำให้เราไม่ห่วงเรื่องนี้เกินไป ไม่อย่างนั้นเราก็จะเข้าไปทำการตลาดเพื่อผลิตหนังสือที่ขายได้ตามความต้องการ ซึ่งก็มีคนเขาทำเยอะแล้ว เพราะเราก็ไม่ได้มีทุนมากขนาดที่จะพิมพ์อะไรก็ได้ คำตอบก็ออกมาว่า ถ้าเราทำหนังสือที่คิดว่าดี มันก็คุ้มค่าที่ได้ทำแล้ว ทุกวันนี้ถ้าเป็นในนามสนพ.เข้าใจพิมพ์ ผมก็รับงานทำสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อหาเลี้ยงตัวผมเอง เพราะมีผมทำงานอยู่คนเดียว”
ฟังแล้วก็ช่างพยายามเสียจริง ไม่เคยท้อบ้างเลยหรือไง
“จำได้ว่ามีนะ” ว่าแล้วก็หัวเราะเสียงดัง
“ตอนนั้นผมทำงานนิตยสารรายเดือนอยู่ แล้วเราก็ใช้เวลาเรื่อยเปื่อย เพราะมีงานมีเงินชีวิตสบายแล้ว แต่กลับมีคำถามใหญ่ของชีวิตการงานเกิดขึ้นว่า หรือผมไม่ได้รักงานเขียนจริงๆ คำถามนี้มันอาจจะทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนทิศอีกก็ได้ แต่พอเวลาผ่านไปผมถึงเข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงรู้สึกแบบนั้น” เขาว่าก่อนอธิบายเพิ่ม
“ก็เพราะว่าเราเขียนงานซ้ำๆซากๆ เขียนอวยลูกค้าไปเดือนต่อเดือน ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรในการเขียน ปล่อยตัวให้ไหลไปตามความสบายนั่นเอง ผมก็ลาออกจากงานไปหางานที่มันท้าทายขึ้น
พอผ่านมันมาได้ ก็ยังไม่เคยสงสัยในเส้นทางการเขียนของตัวเองอีกเลย”
มติชน 8 พฤษภาคม 2554 ฉบับที่ 12111 ปีที่ 34
หน้า: บันเทิง-วรรณกรรม
โดย: แป้งร่ำ