ยลญวน-ขอตั๋วหนึ่งใบกลับไปสู่วัยเด็ก 35 ปี สายสัมพันธ์เวียดนาม-ไทย

ในวาระเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเวียดนาม-ไทย สองสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ จึงขอส่งหนังสืออันเกี่ยวเนื่องกับเมืองลุงโฮขึ้นแผง เพื่อร่วมฉลองในมิติของวรรณกรรม
เมื่อสำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์ และนานมีบุ๊คส์ พร้อมใจกันเปิดตัวหนังสือซึ่งว่าด้วยประเทศเวียดนามทั้งสองเล่มโดยมิได้นัดหมาย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ณ ที่ทำการกระทรวงการต่างประเทศ วาระฉลอง 35 ปี ความสัมพันธ์เวียดนาม-ไทยในแง่มุมของวรรณกรรมจึงโดดเด่น มีสีสันขึ้นทันตา
แม้หัวใจหลักของหนังสือทั้งสองเล่มจะเล่าเรื่องเมืองเวียดนามอยู่ในที แต่รับรองได้เลยว่าไม่มีความคลึงคล้ายหรือใกล้เคียงกัน
0ยลญวน
หนึ่งเล่มนั้นคือ 'ยลญวน' บันทึกความทรงจำอดีตทูตไทยประจำประเทศเวียดนาม โดยสำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์ ซึ่ง พิษณุ จันทร์วิทัน รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศและอดีตทูตไทยประจำประเทศเวียดนาม ได้ให้คำจำกัดความแก่ 'ยลญวน' ว่า "ถ้าเป็นภาษาอังกฤษจะอยู่ในขอบข่ายไม่ใช่นวนิยาย (non fiction) และอยู่ในประเภทสารคดี จะเกี่ยวกับบันทึกการทำงาน ขณะเดียวกันก็อาจจัดอยู่ในประเภทหนังสือสารคดีด้วย ก็อาจมีท่องเที่ยวด้วย เพราะเล่าถึงการไปเที่ยวที่นั่นที่นี่"
เหตุที่ พิษณุ จันทร์วิทัน หยิบจับเรื่องราวของประเทศเวียดนามมาถ่ายทอดได้ชนิด 'ถึงกึ๋น' เพราะพิษณุเคยเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศเวียดนาม อีกทั้งก่อนนี้ยังดำรงตำแหน่งเกี่ยวกับการต่างประเทศอีกมาก เช่น กงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศปากีสถาน ฯลฯ และในทุกประเทศที่เขาเคยดำรงตำแหน่งและใช้ชีวิตย่อมมีเรื่องราวอันน่าประทับใจทั้งร้ายและดี ซึ่งสมควรถ่ายทอดสู่คนไทยได้รับรู้
นั่นทำให้จนถึงวันนี้ พิษณุคือนักการทูตที่มีผลงานเขียนตีพิมพ์แล้วกว่า 10 เรื่อง อาทิ รูปเก่าเล่าเรื่อง รวมบทความจากนิตยสารพลอยแกมเพชร, เมนูพระกระยาหารสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. 2440, ภูต, ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง, เสน่ห์พาสาลาว, กงสุลไทยในเมืองลาว,ในความทรงจำของพูมี วงวิจิต และใต้ฟ้าปากีฯ
"ผมมีผลงานก่อนหน้านี้ประมาณ 10 กว่าเล่ม ส่วนมากจะเป็นประวัติศาสตร์ รัชกาลที่ 5 และเรื่องของที่ปรึกษาชาวเบลเยียม และเมื่อเราอยู่ประเทศไหนก็จะเขียนเกี่ยวกับประเทศนั้น บันทึกความทรงจำของเอกอัครราชทูต เล่าสิ่งที่น่ารู้ ประวัติศาสตร์ เกร็ดความรู้ ธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ศาสนา อาหารการกิน"
และมาถึง 'ยลญวน' ในวันนี้ —
เมื่อแง้มปกเผยให้เห็นเนื้อหาใจความภายในเล่ม มีเรื่องราวหลากหลายดังคำของพิษณุ จันทร์วิทัน ไม่ว่าจะเรื่องทั่วไปอย่าง ข้อมูลเพื่อการท่องเที่ยว อาหารการกิน ภาษา ไปจนถึงเรื่องระดับมหภาคอย่างระบบเศรษฐกิจ หรือความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ล้วนแต่มีจุดร่วมเดียวกันคือ เกี่ยวกับประเทศเวียดนามอย่างครบถ้วน ซึ่งมาจากการจดบันทึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาได้ประสบพบเห็น รวมทั้งคำบอกเล่าอันแสนจะมีค่าซึ่งจะกลายเป็นวัตถุดิบสำคัญยิ่งในการสรรค์สร้าง 'ยลญวน' ที่สำคัญเขาคิดว่าต้องการเล่าเรื่องเหล่านี้ให้คนไทยได้รู้ แง่หนึ่ง — เพื่อเป็นความรู้รอบตัว แต่อีกแง่ซึ่งเป็นภาคใหญ่กว่าคือคนไทยได้รู้จักเพื่อนบ้านในบริบทที่ถูกต้อง ไม่ต้องคาดหรือเดาเอาว่าคนเวียดนามคิดอย่างไร หรือเป็นอย่างไร
"เราจะเป็นอาเซียนด้วยกัน ผมคิดว่าคนไทยยังรู้จักประเทศเพื่อนบ้านด้วยกันน้อย แต่เพื่อนบ้านรู้จักเรามาก เช่น ลาว ผมเขียนเกี่ยวกับลาวไปสามเล่ม ภาษาลาว วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เวียดนามก็เช่นเดียวกันแต่คนละมุม สำหรับเวียดนาม เราคุ้นเคยกับเวียดนามใต้และภาคกลาง แต่ขณะที่ผมไปประจำการที่ฮานอยซึ่งเป็นเวียดนามทางเหนือ ก็จะแตกต่างกับภาคใต้ค่อนข้างแตกต่างกันมาก แม้แต่อาหารการกินก็มาจากภาคกลาง เวลาเราไปร้านอาหารเวียดนามจะรู้จักแต่ แหนมเนือง ขนมเบื้องญวน ทั้งหมดนี้คืออาหารภาคใต้และภาคกลาง แต่ที่จริงแล้วมีอาหารภาคเหนือเยอะแยะที่เราไม่รู้จัก
ความเข้าใจผิดๆ อีกมากมายที่ได้รับการคลายปมสงสัยใน 'ยลญวน' เช่นแท้จริงแล้วคนเวียดนามไม่ได้กินเนื้อสุนัขเป็นกิจวัตรหรือแพร่หลายแต่อย่างใด จะมีคนที่กินเนื้อสุนัขเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากประเทศไทย หรือความเชื่อผิดๆ ที่ว่า คนเวียดนามจะแข่งขันกับไทย และมีทีท่าจะชนะไปทีละด้านด้วย ฯลฯ
ชุดความเชื่อทั้งหมดนี้คือสาเหตุหนึ่งที่คอยสกัดยับยั้งให้ความไว้เนื้อเชื่อใจที่คนไทยมีต่อคนเวียดนามลดน้อยถอยลง ในที่สุดจะกลายเป็นรอยแผลที่เน่าเฟะ ไม่มีวันหาย ดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อกว่า 35 ปีก่อน — ไทยตัดความสัมพันธ์ต่อเวียดนาม
"หลังจากที่เราปิดสถานทูตไทยในเวียดนามใต้เมื่อปี 2518 พอหลังจากนั้นหนึ่งปี เวียดนามมีการรวมประเทศเป็นทางการเป็นเวียดนามเดียวในปี 2519 เราก็สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 2519 นับถึงตอนนี้ก็ 35 ปี และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์นี้ด้วย"
รองปลัดพิษณุยืนยันว่าวันนี้ เวียดนาม – ไทย กำลังก้าวเข้าสู่สายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่สุดอีกครั้ง
"ตอนนี้ความสัมพันธ์ดีมาก เรามองไปถึงข้างหน้าที่เราจะเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ภายในสี่ปีข้างหน้า เราเองก็ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในหนังสือ 'ยลญวน' ก็จะตอบคำถามของประชาชนเหมือนกัน ที่พูดกันว่าเวียดนามจะแข่งกับไทยจริงหรือไม่ เวียดนามแซงไทยแล้วหรือเปล่า ส่งข้าวมากกว่าไทยหรือ สิ่งเหล่านี้เราก็ได้เห็นว่ามันไม่ใช่ เราจะร่วมมือกัน เราไม่ได้แข่งกัน และเราก็เข้าใจกันมากขึ้น สุดท้ายคือการไปมาหาสู่ของพี่น้องประชาชนนี่สำคัญที่สุด ถ้าประชาชนพบกันมากๆ ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นเอง แต่ถ้าประชาชนไม่ได้สัมผัสซึ่งกันและกันก็ไม่มีประโยชน์อะไร"
เสน่ห์อย่างหนึ่งของ 'ยลญวน' หรือจะเรียกให้ถูกต้องคือ เสน่ห์ของรองปลัดพิษณุ คือลีลาภาษาที่ค่อนไปทางเรียบง่าย อ่านสบาย ได้ความรู้สึกเหมือนเล่าให้ฟังด้วยคำพูด พิษณุให้เหตุผลว่าเดิมทีคนจะติดภาพว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นเรื่องวิชาการไปเสียหมด แต่คนอ่านของพิษณุคือประชาชนที่อยากรู้เรื่องราว เขาจึงใช้ภาษาเรียบง่าย เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย
"อย่างเล่มที่แล้วเกี่ยวกับปากีสถาน เล่าถึงความขัดแย้งในกลุ่มต่างๆ ก็มีคนมาบอกว่า เล่าเรื่องความขัดแย้งได้เข้าใจง่าย แม้มันจะเป็นเรื่องซับซ้อน"
เราอาจคุ้นตากับการที่วรรณกรรมต่างประเทศรวมถึงเวียดนามถูกแปลเป็นภาษาไทย แต่ถ้าหวังจะเห็นวรรณกรรมไทยไปปรากฏบนแผงหนังสือประเทศเวียดนามแล้วล่ะก็ — ยาก !
เท่าที่พอนึกออกก็มีเพียงหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติคนไทยที่ประสบความสำเร็จใหญ่โตอยู่สองสามคนเท่านั้นที่คนเวียดนามสนใจและนำไปแปล ตีพิมพ์ขาย แต่ 'ยลญวน' ก็ทำได้ —
"ตอนที่เขียนเสร็จแล้วผมไม่แน่ใจการสะกดและการออกเสียงภาษาเวียดนาม ไม่แน่ใจว่าข้อมูลบางอย่างที่ไปถามและฟังมามันถูกหรือเปล่า ผมก็ให้คุณลุงเติม ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอ่าน พอท่านอ่านเสร็จ ก็บอกว่าอยากให้คนเวียดนามได้อ่านสิ่งที่ท่านทูตเขียน ผมก็ถามว่าทำไม ท่านก็บอกว่าเป็นมุมมองของเอกอัครราชทูตไทยที่คนเวียดนามน่าจะรู้ คุณลุงเติมก็ตัดสินใจแปลเอง ตอนที่ไปยื่นให้หน่วยงานของรัฐบาลเวียดนามดู เขาก็บอกว่าจริงๆ แล้ว หลายอย่างเขาก็เพิ่งรู้จากหนังสือของผม ไม่ได้หมายความว่าผมรู้ดีกว่าคนเวียดนาม แต่บางอย่างเขาอาจจะมองข้ามไป แต่เราสนใจก็ถามเขา เหมือนธรรมเนียมความเชื่อบางอย่าง แม้แต่ของไทยเราเอง ถ้าไม่สนใจก็ไม่รู้ แต่ฝรั่งเขาอาจจะไปศึกษา ไปถาม"
เสรี เบ้าสาธร (ดาว วัน เติม) หรือที่รองปลัดพิษณุเรียกขานว่า ลุงเติม คือ ล่ามกิตติมศักดิ์ประจำสถานทูตไทยประจำประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นทั้งล่ามให้แก่พิษณุ และเป็นคนแปล 'ยลญวน' สู่สายตานักอ่านเวียดนาม
"ในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงอดีตที่ลุ่มๆ ดอนๆ ของไทยกับเวียดนาม แต่มาถึงปัจจุบันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนามดีขึ้น ณ จุดนี้ถือว่าดีที่สุด ความร่วมมือระหว่างสองประเทศนี้แน่นแฟ้นในทุกเรื่อง พอผมอ่านก็อยากแปล เพราะความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ นั้น ถ้าไม่เขียน คนรุ่นใหม่ก็ไม่รู้ ถ้ารู้แล้วมาดูปัจจุบันที่ดีขนาดนี้จะเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ และช่วยกันทะนุถนอม บำรุงให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปในทุกด้าน" ลุงเติมอธิบาย
เชื่อว่าในการรับรู้ของคนไทย ย่อมเข้าใจว่า คนเวียดนามอ่านหนังสือมาก และมีสถิติการอ่านเหนือกว่าคนไทยเป็นไหนๆ แต่แท้จริงแล้วจะเป็นเช่นไร ด้วยความสนใจวงการวรรณกรรมและเป็นหนึ่งในนักอ่านตัวยง รองปลัดพิษณุจึงคำนวณทิศทางลมในวงการวรรณกรรมของเวียดนามได้พอตัว
"ผมคิดว่าเวียดนามเขาอ่านหนังสือค่อนข้างเยอะ แน่นอนว่าหนังสืออาจจะต้องดูแลโดยรัฐบาล อาจจะไม่เสรีเต็มที่เท่ากับเรา อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เขาก็ไม่ให้พิมพ์ แต่โดยเฉลี่ย คนเวียดนามอ่านหนังสือมาก โดยเฉพาะคนในเมือง
ถ้าเทียบกับคนไทย ผมไม่เคยเทียบ ไม่รู้นะ เพราะว่าจริงๆ แล้ว เรามองกันไม่ได้ เวียดนามมีป่ามีเขามาก เขามีชนเผ่ามาก คนที่รู้หนังสือจริงๆ ในเวียดนามไม่ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ มีคนไม่รู้หนังสือมาก อย่างภาคกลางและภาคเหนือนี่มีชนเผ่ามาก คนเหล่านี้ไม่อ่านหนังสืออยู่แล้ว แต่ถ้าภาพที่ผมมองโดยทั่วไป เห็นว่าเขาอ่านหนังสือกันเยอะ คนที่อ่านได้จะอ่านเยอะมาก อีกอย่างที่ผมเชื่อแต่ไม่รู้จริงหรือเปล่า ผมว่าเขามีสาระมากกว่าเรา อย่างหนังสือที่เป็นหนังสือขายดีและมีสาระจริงๆ ในยุโรปหรือในอเมริกา เกือบจะทันทีที่มีการแปลเป็นภาษาเวียดนาม แสดงว่ามีคนอ่านเยอะ"
หรือนั่นแปลว่า 'ยลญวน' คือหนึ่งในหนังสือดี — ?
"ผมเชื่อว่าอย่างนั้น หนังสือที่จะมีคนแปลก็ต้องมีคนอ่าน มีคนลงทุนพิมพ์…ใช่ไหม" พิษณุ จันทร์วิทันกล่าว
0'ขอตั๋วหนึ่งใบ กลับไปสู่วัยเด็ก'
อีกเล่มที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แม้จะเป็นคนละแนวทางก็ตามที คือ 'ขอตั๋วหนึ่งใบ กลับไปสู่วัยเด็ก' นวนิยายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศเวียดนาม ประจำปี 2010 โดย เหงวียน เหญิต อั๋นห์ ซึ่งนานมีบุ๊คส์ได้หยิบมาแปลให้คนไทยได้อ่าน โดยอาจารย์นักแปล มนธิรา ราโท มุ่งหวังว่าอาจพาคนอ่านให้หวนรำลึกความทรงจำในวัยเยาว์อันหอมหวาน และฝาดขม
เรื่องราวใน 'ขอตั๋วหนึ่งใบ กลับไปสู่วัยเด็ก' กล่าวถึงตัวละครเอกที่ชื่อว่า 'หมุ่ย' เด็กชายวัยแปดขวบ แสนซนที่ผู้เขียนยอมรับว่า นั่นคือตัวเขาเองถึงครึ่งหนึ่ง
"เจ้าหมุ่ยคือตัวผมเองถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นตัวผม 100 เปอร์เซ็นต์ ผู้ปกครองคงปวดหัวมาก เช่น ตัวอย่างตอนหนึ่งในเรื่อง ที่เจ้าหมุ่ยคัดลอกข้อความ sms ของผู้ใหญ่ส่งไปให้เพื่อนผู้หญิง ชวนออกไปกิน ไปเที่ยว แต่สุดท้ายดันไปคัดลอกข้อความที่บอกว่า 'คืนนี้ไปนอนด้วยกันไหม ?' สุดท้ายเจ้าหมุ่ยก็ได้ขึ้นไปนอนบนเตียงจริงๆ แต่เป็นการนอนให้แม่หวดก้น"
ความแสบเซี้ยวของเจ้าหมุ่ยปรากฏอยู่ในทุกตอนของเรื่อง ซึ่งนั่นเสมือนการฉายภาพวัยเด็กของคนหลายคนที่กำลังประกาศต่อตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่ แท้จริงแล้วทุกคนล้วนเคยเป็นเด็ก เพียงแต่หลงลืมไปแล้วว่าตอนเป็นเด็กเคยคิดอย่างไร เคยทำอย่างไร
อั๋นห์ บอกว่าไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้สำหรับเด็ก แต่เขียนสำหรับผู้ที่เคยเป็นเด็กมาก่อน มีประโยคหนึ่งในหนังสือเล่มนี้กล่าวว่า 'ก่อนที่เราจะเป็นผู้ใหญ่ เราต้องเรียนรู้ที่จะเป็นเด็กก่อน'
นี่เป็นคำอธิบายเชิงสัจธรรมที่ถูกต้อง แต่หากลองทบทวนความคิดของตนกัน ณ ปัจจุบันนี้ ว่าเรากำลังเป็นผู้ใหญ่โดยไร้ซึ่งความเข้าใจความเป็นเด็กหรือเปล่า ?
เชื่อว่ามีผู้ใหญ่มากมายกำลังตอบใจตัวเองว่า "ใช่ !"
ไม่ว่าจะเป็นวีรกรรมอันน่าตื่นเต้น ตลอดจนก่อความลำบากใจแก่พ่อแม่ผู้ปกครอง เช่น ปีนต้นไม้จนตกลงมา ชกต่อยกับเพื่อนจนฟกช้ำดำเขียว หรือเที่ยวเล่นจนลืมเวลากินข้าว ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุผล ทว่าเหตุผลนั้นผู้ใหญ่ 'ไม่เข้าใจ'
"ผู้ใหญ่มีปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น ต้องคิดคำนวณว่าชีวิตเป็นอย่างไร ผลประโยชน์เป็นอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร ความคิดของผู้ใหญ่จึงไม่เหมือนเด็ก ไม่รู้ว่านิสัยเด็กไทยเป็นอย่างไร แต่สำหรับเด็กเวียดนาม ผมคิดว่าเด็กที่เป็นเพื่อนที่ดีคือเด็กที่นิสัยเสียที่สุด สมมติว่าตอนที่ทำการบ้าน หรือเรียนหนังสืออยู่ มีเพื่อนมาบอกว่า เรียนไปทำไม ทำการบ้านทำไม ไปเที่ยวกันเถอะ หรือว่าเราจะนอน เพื่อนมาบอกว่าไปเที่ยวสิ รีบนอนแต่หัวค่ำทำไม ส่วนคนที่มาเตือนว่าให้ขยันเรียน พวกนี้ไม่จำเป็น จะเห็นได้ว่าที่คนไทยเคยมองว่าคนเวียดนามอยู่ภายใต้อิทธิพลของขงจื๊อ คืออยู่ในกรอบกฎระเบียบ อาจต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ความคิดขบถนั้นมีอยู่ในเด็กเหมือนกัน"
อันที่จริงความคิดขบถซึ่งฝังอยู่ในสมองเด็ก อาจไม่ได้มีอยู่จริง เป็นเพียงนามธรรม ผู้ใหญ่เองหรือเปล่าที่กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกให้มีแบบแผน ทำให้การกระทำใดๆ ที่ไม่ตรงเส้น หรือหลุดกรอบไป มักถูกตัดสินว่าผิด
มีเนื้อความท่อนหนึ่ง ปรากฏอยู่ในตอน 'ผมคือเจ้าหมุ่ย' ความว่า ทุกอย่างที่ผู้ใหญ่สอนล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่บนหลักทฤษฎี เด็กๆ ก็รู้อย่างนั้นเหมือนกัน แต่ความปรารถนาจากภายในที่มองไม่เห็นทำให้พวกเขาอยากทดลองทำในสิ่งที่ต่างไปจากเดิม หากเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่แล้ว โลกของเด็กคงมีบรรยากาศและแสงสว่างที่ต่างไปจากโลกผู้ใหญ่ ในโลกของเด็ก พวกเขามีวิธีมองสิ่งต่างๆ ตามแบบของตน นั่นคือไม่เคยมองวัตถุรอบตัวจากลักษณะการใช้งานของมันเท่านั้น และประเด็นนี้อาจเป็นความแตกต่างขั้นพื้นฐานระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่
สำหรับผู้ใหญ่ ความหมายและคุณค่าของทุกอย่างบนโลกนี้ถูกลดทอนลงมาอยู่ในคำสองพยางค์คือ 'หน้าที่' ถ้าคุณไม่เชื่อ ลองเปิดพจนานุกรมของผู้ใหญ่ดูสักเล่มหนึ่ง พวกเขาให้คำจำกัดความสรรพสิ่งในโลกตามหน้าที่ของมัน เสื้อเอาไว้ใส่ เก้าอี้มีไว้นั่ง ฟันมีหน้าที่เคี้ยว และลิ้นคอยรับรส…
เห็นได้ชัดว่า อั๋นห์ กำลังส่งต่อข้อความบางอย่างในหัวใจเด็กเวียดนามหรืออาจหมายรวมไปถึงเด็กทุกคนทั่วโลกไปยังผู้ใหญ่ว่า สิ่งที่พวกเขาทำ เป็นเพียงเรื่องธรรมดา ไม่ได้มีตรรกะหรือนัยซ่อนเร้นประการใด ผู้ใหญ่ต่างหากที่กำลังจับผิดพฤติกรรมของเด็กเพียงต้องการให้ตนเองสบายใจเท่านั้น
แม้แต่ชื่อเรียกสิ่งของต่างๆ บนโลก ยังถูกผู้ใหญ่กำหนด จนทำให้ เจ้าหมุ่ย ต้องหาวิธีเล่นแผลง ชักชวน ยัยตี๋ฟันหลอ เจ้าฮายแคระ และยัยตุ่น เพื่อนซี้มาเปลี่ยนชื่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของพวกเขา ในตอน 'ตั้งชื่อให้โลก' สะท้อนภาพความคิดของเด็กๆ ว่าไม่มีสิ่งใดที่จำเป็นต้องถูกหรือผิดในโลกแห่งจินตนาการ ทุกคนได้เปลี่ยนเป็นสิ่งที่ตนพึงพอใจ มีความคิดของ หมุ่ยที่ทำเอาผู้ใหญ่บางคนถึงกับต้องมาทบทวนตัวเองกันเลย —
"หรือทั้งหมดทั้งมวลที่พวกผู้ใหญ่ห้ามผมทำโน่นทำนี่ ก็เป็นเพราะพวกเขาอิจฉาผม"
สุดท้ายคนผลิตตั๋วใบนี้อย่าง เหงวียน เหญิต อั๋นห์ เปิดเผยว่า "ถ้าผมได้ตั๋วหนึ่งใบนี้กลับไปสู่วัยเด็ก ผมจะทำอย่างไรก็ได้ให้หัวใจได้สัมผัสถึงความบริสุทธิ์ของวัยเยาว์ แต่ไม่ต้องการกลับไปเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับวัยเด็กของผมแล้ว"
หนังสือ 'ขอตั๋วหนึ่งใบ กลับไปสู่วัยเด็ก' จึงเป็นดั่งตั๋วใบหนึ่งที่จะพาคนอ่านย้อนกลับไปในวัยเด็กได้จริงๆ
— ที่สำคัญไม่มีคนตรวจตั๋ว 0
โดย : ปริญญา ชาวสมุน