“มหาวิทยาลัยเสมือนจริง” โลกของการศึกษาในยุคดิจิตอล

มีผู้เชี่ยวชาญและนักการศึกษาในสหรัฐอเมริกาหลายคน ออกมาแสดงความคิดเห็นในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมาว่า ระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงในอีกไม่ช้าไม่นาน
บางคนอย่างเช่น เซฟไฟร์ ทีชเอาท์ ศาสตราจารย์นิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของนายโฮเวิร์ด ดีน เมื่อปี 2004 ไปไกลถึงขนาดออกมาบอกว่า อีก 10-20 ปีข้างหน้า ห้องเรียน ชั้นเรียนอย่างที่เราเห็นอยู่เป็นอิฐ เป็นปูนนั้น จะไม่มีความหมายอีกต่อไป แต่ชั้นเรียนออนไลน์ ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จะเข้ามาแทนที่ทั้งหมด เธอยังทำนายเอาไว้ด้วยว่า ไม่แน่ เด็กๆ อเมริกันที่เพิ่งเข้าเรียนในปีนี้อาจเป็นรุ่นสุดท้ายที่จะได้เรียนในห้องเรียน มีครูบาอาจารย์ส่งเสียงปาวๆ อยู่หน้าชั้น
ศาสตราจารย์ทีชเอาท์มีเหตุผลประกอบอยู่หลายอย่างครับ ตั้งแต่เรื่องของค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยที่อยู่ระดับสูง แล้วก็ยังจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ที่สำคัญก็คือ การเรียนในแบบเดิมไม่ "ดึงดูดใจ" สำหรับ "ลูกค้า" คือ เด็กๆ ยุคใหม่กันแล้ว ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ตั้งแต่เรื่องการเดินทาง เรื่องเวลาในการเรียน ที่ต้องเสียเวลามากมายไปกับการไปเรียนในชั้นเรียน แทนที่จะใช้เวลาดังกล่าวทำงานหาเงินแล้วก็ศึกษาผ่านออนไลน์จากมหาวิทยาลัยเสมือนจริงได้ในยามที่มีเวลา
ข้อดีอีกอย่างของการศึกษาในระบบออนไลน์ก็คือ ลดการสอนที่ซ้ำๆ กันลง ศาสตราจารย์ทีชเอาท์บอกว่า ต่อไปนี้วิชาเบื้องต้นทั้งหลายของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง อย่างเช่น เศรษฐศาสตร์ 101 หรือสังคมวิทยา 101 ซึ่งตอนนี้ใช้ครูอาจารย์จำนวนมากสอนเนื้อหาเดียวกันอยู่ในทุกมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยทั่วสหรัฐอเมริกา อาจจำเป็นต้องใช้เพียงแค่การจัดทำเป็นวิดีโอเพื่อการศึกษาเพียงครั้งเดียวใน 1 ปีสอนเหมือนกันหมดในทุกสถาบันทั่วประเทศ ลดการซ้ำซ้อนลงมหาศาล
แต่นั่นก็หมายความด้วยว่า การศึกษาในระบบใหม่นอกจากจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กนักเรียน นักศึกษาแล้ว ครูบาอาจารย์ก็ถูกคุกคามตามไปด้วยและต้องปรับตัวเหมือนกัน
อย่างที่บอกครับ มีหลายคนไม่น้อยที่เห็นพ้องกับแนวความคิดดังกล่าว เควิน แครี่ย์ ผู้อำนวยการสถาบัน เอดูเคชั่น เซคเตอร์ ในกรุงวอชิงตัน ก็ยืนยันว่าค่าใช้จ่ายในการศึกษาในสหรัฐอเมริกาเวลานี้สูงกว่าในทศวรรษ 1990 หรือเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาถึงเท่าตัว แล้วก็แพงขึ้นไม่หยุดอีกต่างหาก ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้ผู้ที่น่าจะมีโอกาสได้รับการศึกษา ไม่ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง เช่น นักศึกษาที่มีรายได้น้อย นักศึกษาที่ต้องทำงานไปเรียนไป นักศึกษาที่เป็นคนอพยพย้ายถิ่นเข้ามาในสหรัฐอเมริกา พวกนี้ต้องการการศึกษาระดับมหาวิทยา ระดับวิทยาลัยทั้งสิ้นเพื่อให้ได้รับ "ความน่าเชื่อถือ" และมีอาชีพการงานที่ดี
จริงๆ แล้วในสหรัฐอเมริกาตอนนี้มีคอร์สวิชาเรียนที่สอนกันอยู่แบบออนไลน์หลายพันวิชานะครับ ในการสำรวจจากนักศึกษาเกือบ 4 ล้านคนเมื่อไม่นานมานี้มากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่า ผ่านวิชาบางวิชาจากการเรียนออนไลน์อย่างน้อย 1 วิชา แต่นักการศึกษาทางไกลโดยเฉพาะอย่าง ดร.เจเน็ท โพลีย์ กลับเห็นว่า ในอนาคตอันใกล้ ลักษณะของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างการเรียนด้วยตัวเองผ่านอินเตอร์เน็ตกับการเรียนในสถาบันศึกษาจริงๆ ส่วนหนึ่งของวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาพื้นฐานสำหรับนักศึกษาชั้นปี 1-2 อาจกลายเป็นการเรียนการสอนออนไลน์โดยสมบูรณ์ ในขณะที่การเรียนวิชาเอก วิชาบังคับ หรือการเรียนในระดับปริญญาโท อาจต้องเข้าไปรับการศึกษาในสถาบัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เจเน็ท โพลีย์ บอกว่า ไม่ใช่เป็นเพราะการศึกษาออนไลน์รองรับไม่ได้หรอกนะ สาเหตุสำคัญจะมาจาก "วัฒนธรรมมหาวิทยาลัย" เช่นการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน การเล่นกีฬาเพื่อแข่งขันในนามของมหาวิทยาลัย ฯลฯ เหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ หลายคนเลือกที่จะไปมหาวิทยาลัยอยู่ดี
ในแง่ของมาตรฐานการศึกษา เควิน แครี่ย์ บอกว่า พัฒนาดีขึ้นตลอดเวลา แล้วก็สะท้อนให้เห็นได้ชัดจากการสำรวจกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐอเมริกาที่ว่าจ้างบริษัทเอสอาร์ไอ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้สำรวจพบว่า ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา คนที่เรียนในสภาพแวดล้อมออนไลน์นั้นมีขีดความสามารถสูงกว่าคนที่ผ่านการเรียนการสอนแบบเห็นหน้าค่าตากันเสียอีก ดังนั้น คุณภาพของการศึกษาไม่น่าจะเป็นเหตุปัจจัยสำคัญต่อการยอมรับปริญญาออนไลน์ "แนวความคิด" ในเรื่องนี้ต่างหากที่สำคัญและต้องเปลี่ยนแปลง
มีบางคนครับที่ไม่เห็นด้วยกับระบบการเรียนการสอนแบบใหม่นี้ ถึงขนาดที่เชื่อว่า การมาถึงของมันคือ "จุดจบ" ของการศึกษาเลยก็มี บางคนอย่าง แดน โคลแมน อาจารย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กลับเชื่อว่า คงอีกนาน อย่างน้อยก็เกินกว่า 20 ปีที่ "มหาวิทยาลัยเสมือนจริง" จะเกิดขึ้นได้และได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์
นั่นเป็นเรื่องของสหรัฐอเมริกาครับ ส่วนในเมืองไทยถึงจะมีการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ แต่ก็อยู่ในแวดวงจำกัดและเป็นกระแสรอง มากกว่ากระแสหลัก ดังนั้น คงอีกนานไม่น้อยทีเดียวที่เราต้องมานั่งกังวลกับการปรับตัวครั้งใหญ่ของระบบการศึกษาเหมือนอย่างในบ้านเขา
เอาแค่เรื่องอัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ในเมืองไทยเรา ก็ยังน้อยอย่างยิ่ง แค่ราวๆ 10-13 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองครับ
คิดแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว!
โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ pairat@matichon.co.th
วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11550
จาก : มติชนสุดสัปดาห์