Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

มนตรี ศรียงค์….ฉันทลักษณ์นั้นแค่ของเล่น

 

 
มนตรี ศรียงค์ กวีมือรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์คครั้งล่าสุด(2549)  เป็นหนุ่มใต้ผู้หลงใหลในการเขียนบทกลอน-กวี   แรกเริ่มเดิมที่เขาก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นทั่วๆไป ไม่ได้สนใจและไม่เคยได้คาดคิดมาก่อนว่า ชีวิตนี้จะมานั่งเขียนอะไรเพ้อฝันตามจินตนาการของตัวเองได้นานนับเป็นชั่วโมง  แถมเป็นการเขียนในแบบที่ไม่มีใครบังคับให้เขียน ตัวเองต่างหากเล่าที่เร่เข้ามานั่งจ่อมกับภวังค์นึกคิด สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนตรี ศรียงค์เดินหลงอยู่ในโลกน้ำหมึกอาจจะเป็นเพราะหนังสือของเสนีย์ เสาวพงษ์เพียงแค่สองเล่มที่เขาบังเอิญได้อ่านจากช่วงชีวิตที่สับสนของวัยรุ่น
 
                ครับวันนี้คุยนอกรอบของเว็บไซต์ประพันธ์สาส์นกับลังพาท่านมานั่งล้อมวงคุยกับ มนตรี ศรียงค์ มือกวีหมี่เป็ดแห่งทะเลสาบสงขลา
 
–  หันมาเขียนหนังสือได้อย่างไร
คุณประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์  เป็นผู้เอาหนังสือ ความรักของวัลยากับปีศาจ มาให้อ่านเมื่อขณะเรียนรามฯประมาณปี ๒๕๒๙ – ๒๕๓๐   ทั้งสองเล่มเขียนโดยเสนีย์ เสาวพงศ์   ๒เล่มนี้ถือเป็นหนังสือนำร่องในการทำให้เกิดการอ่านติดตามมา อ่านเป็นบ้าเป็นหลัง  อ่านอย่างหิวกระหายมากครับ   ส่วนการเขียนนั้นผมเขียนเอาจริงเอาจังมาตั้งแต่ม.ต้น เขียนกลอนอย่างเดียว  แต่ไม่กล้าให้ใครรู้ว่าเราเขียนกลอนนะ  มันรู้สึกว่ากลอนนั้นมันเหมาะกับเด็กผู้หญิงมากกว่า  ไม่อยากจะถูกเพื่อนๆล้อ  ผมเขียนใส่สมุดจนเต็มเล่มไม่รู้กี่เล่ม  เสียดายที่มันหายไปหมดแล้ว  ต่อมาเมื่อ ม.ปลาย ผมก็ยังเขียนสม่ำเสมอ  คราวนี้เขียนแล้วให้เพื่อนๆช่วยอ่าน  เพื่อนๆก็เอาบางชิ้นไปจีบสาว  ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จไปหลายคนครับ ยกเว้นผมเอง   ยังเขียนต่อเนื่องจนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ   จึงส่งไปที่สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์  ตอนนั้นคุณไพลินเป็นผู้คัดงานอยู่   ไม่ได้ลงพิมพ์ครับ แต่ได้กำลังใจจากบัญชรข้างคอลัมน์นั้นมาก  ต่อมาจึงเขียนอย่างหนักหน่วงแล้วยึดฐานที่มั่นที่ข่าวพิเศษที่นายพรานผีคุมคอมลัมน์จนเปลี่ยนหัวหนังสือเป็นอาทิตย์ครับ  ดอกเบี้ยรายสัปดาห์ที่กิริยากรคุมอยู่ก็ได้ลงบ่อย   ฐานสัปดาห์ก็ได้ลงบ่อยสมัยวรรณฤกษ์คุมครับ 
 
–  ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
ขายบะหมี่เป็ดตุ๋นที่หาดใหญ่ครับ  เป็นอาชีพที่ตกทอดมาจากสมัยเตี่ย  สมัยเตี่ยขายเมื่อสัก ๔๐ – ๕๐ ปีก่อนนั้นขายที่หน้าโรงหนังโอเดียน   ซึ่งเป็นย่านโต้รุ่งขึ้นชื่อของหาดใหญ่  เตี่ยหัดให้ผมค้าขายมาตั้งแต่เล็ก  แต่คงนัยว่าเป็นลูกชายคนเดียว  คนสุดท้องด้วยกระมัง  ผมจึงไม่ใส่ใจจะเรียนรู้การค้าการขายมาก  จนเมื่อกลับจากรามฯนั่นแหละจึงได้เริ่มต้นเรียนรู้การค้าและวิธีเตรียมของขายจนหมดสิ้น  ช่วยแรกๆก็ยังสับสนว่าจะเอายังไงกันดีแน่กับชีวิต  จนผ่านล่วงช่วงเปลี่ยนผ่านไปอย่างทุลักทุเลพอสมควรนั่นแหละ  ผมจึงยึดเอาอาชีพนี้เป็นงานการอย่างจริงจัง
 
–  เขียนบทกวีอย่างเดียวเหรอ
ก็ไม่เชิงครับ  แรกๆนั้นใช่ ผมให้ค่ากับทกวีมากกว่างานเขียนร้อยแก้ว มันเป็นความชอบส่วนตัว  ผมชอบในเสียงในสัมผัส  จนเมื่อได้เขียนร้อยแก้ว  พบว่ามันก็สนุกและรับใช้ความคิดเราได้เหมือนกัน  ว่าไปแล้วมันอิสระที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เราคิดแล้วอยากสื่อออกมาได้ดีกว่าร้อยกรอง  ร้อยกรองนี่มันจะติดตรงฉันทลักษณ์ที่คอยบังคับทั้งรูปและเสียงอยู่ไม่น้อย    ผมไม่ได้หมายความว่าฉันทลักษณ์ไม่ดีนะครับ  ผมชอบเสียด้วยซ้ำไป  แต่ก็เห็นหลายคนติดอยู่กับฉันทลักษณ์จนบทกวีที่อ่านแล้วมันน่าจะได้สวยกว่าที่ใช้ กลับติดขัดอธิบายได้ไม่ชัดเจนสวยงามอย่างน่าเสียดาย   ผมพูดเสมอว่าฉันทลักษณ์นั้นแค่ของเล่น  เป็นของเล่นของผู้ที่มีคำมากมายอยู่ในหัว และผลิตมันออกมาให้อ่าน   นึกออกไหมครับ อย่างเรามีคำมากมายในหัวทั้งบาลีสันสกฤตทั้งอังกฤษทั้งจีน  เราก็สามารถหยิบคำไหนก็ได้เอามาใส่ในตรงที่บังคับ  โดยดูบริบทของมันว่าเข้ากันได้ไหม ลงตัวไหม  และอาจจะสร้างแพทเทิร์นฉันทลักษณ์ใหม่เองเสียเลย     มันเป็นแค่รูปแบบเท่านั้น เป็นชุดฟอร์มว่าคุณทำงานอยู่บริษัทอะไรเท่านั้น  เพราะงานเขียนทุกชนิดมันมีใจความสำคัญตรงที่เนื้อหาและลีลาการถ่ายทอด  เพลง เรื่องสั้น นิยาย บทกวี ความเรียง นิทาน มุขปาฐะ   ทั้งนั้นครับที่ใจความสำคัญของมันคือการสื่อในสิ่งที่เราคิด  และการใช้ฉันทลักษณ์นั้นก็ควรใช้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเสียงกับคำด้วย  ไม่งั้นมันจะโดด  จะอีหลุกขลุกขลักเวลาอ่านครับ
 
– สถานการณ์การเล่มรวมบทกวีกับสนพ.เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนในปัจจุบัน
วันที่ผมส่งหนังสือ “การพังทลายของทางช้างเผือก” เข้าร่วมรางวัลเซเวนบุคส์อวอร์ดนั้น  ผมถามทางประชาสัมพันธ์ว่าทำไมบทกวีจึงทำเป็นหนังสือทำมือได้  เขาตอบมาว่าทางกองประกวดเข้าใจดีว่าบทกวีนั้นหาสำนักพิมพ์ได้ยากนัก  การอนุญาตให้เป็นหนังสือทำมือได้จึงเป็นทางออกหนึ่งให้กับกวี   และในวันที่รับรางวัล คุณวัฒน์ วรรลยางกูร ได้ถามผมว่ามีวางจำหน่ายแล้วหรือยัง  เมื่อทราบว่าทำเป็นหนังสือทำมือคุณวัฒน์ก็อุทานออกมาว่า “อนิจจา  ชะตากรรมกวี”  คำตอบของทั้งสองท่านที่ยกมาอ้างน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนสุดสำหรับคำถามนี้ครับ   ทำไมสำนักพิมพ์จึงไม่ค่อยพิมพ์บทกวี?  เรามักจะพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเพราะหนังสือบทกวีมันขายยาก  ก็จริงอยู่ไม่น้อย   แต่กวีลืมตั้งคำถามเอากับตัวเองหรือไม่   ว่าเราเขียนอะไรอย่างไรกันอยู่    ไทยเป็นเจ้าบทเจ้ากลอน  ทำไมจึงไม่มีคนอ่าน  เราไม่เคยหาคำตอบอื่นใดนอกจากโยนไปให้กับกระแสทุนนิยม   เป็นคำตอบสำเร็จรูป ฉีกซองแล้วรินน้ำร้อนพร้อมกินได้ทันที   กวีต้องดิ้นรนด้วย  ดิ้นรนเพื่อพัฒนางานของตนให้พ้นไปจากความซากซ้ำจำเจมานับทศวรรษๆ   เช่นที่ พนม นันทพฤกษ์ ได้ดิ้นรนมาเมื่อหลายสิบปีก่อน  เป็นความแปลกใหม่เป็นความลงตัวใหม่   และดำรงอยู่ให้กวีรุ่นใหม่ๆศึกษา  ภาระของเราไม่ใช่การเดินซ้ำรอยเท้าคนมาก่อน  แต่เราต้องสร้างรอยเท้าใหม่  มันยาก  แต่หากให้กวียังมีชีวิต  เราต้องทำ
 
–  ตอนเป็นวัยรุ่นโลดโผนมามากบทกวีช่วยอะไรเกี่ยวกับอารมณ์ได้บ้าง
ผมไม่ใช่คนใจร้อน  ไม่ว่าจะเมื่อช่วงอายุเท่าไร   แต่เมื่อความอดทนสุดกลั้นผมก็อาจระเบิดได้อย่างรุนแรงแม้ในเรื่องเล็กน้อยไม่เป็นเรื่อง   ยิ่งการออกไปเช่าบ้านอยู่ที่สงขลาเมื่อเรียน ม.ปลาย กับเมื่อเรียนรามฯ  มันอิสระมาก   มากจนไม่เคยคิดว่ากรอบใดจะมาขวางเรา    ผมยืนยันว่าผมเป็นคนใจเย็นแม้จะไม่ค่อยสุขุมนักก็ตาม   ความรักเตี่ยกับแม่นี่แหละครับที่เป็นน้ำเย็นรดหัวใจยามมันลุกเปลว   และยิ่งมาประกอบอาชีพค้าขายที่ต้องพบลูกค้าร้อยพ่อพันแม่ร้อยสีพันอย่างด้วย  การค้านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งครับที่ทำให้ผมต้องยิ้มเมื่อยามหงุดหงิด  เตี่ยสอนผมว่าอยากได้เงินจากกระเป๋าเขา  เราต้องอดทนให้ได้ในทุกสภาวการณ์   ส่วนบทกวีนี่ว่าไปแล้วไม่ได้มีผลมากน้อยนักกับอารมณ์ของผม 
 
–  วรรณกรรมคืออะไร  งานประพันธ์แบบปลุกใจเสือป่าในมุมมองของมนตรี ศรียงค์ถือว่าเป็นวรรณกรรมด้วยไหม
วรรณกรรมคืออะไร ?   คงตอบกว้างๆได้ว่าเป็นการเขียนขึ้นมาเพื่อสื่อสิ่งที่เราคิดอยู่ตามลำพัง  มันเป็นการสื่อสารชนิดหนึ่ง  ที่ต้องอาศัยศิลปะในการถ่ายทอด  ผมไม่ค่อยสนใจในเรื่องทฤษฎีอะไรมากนัก  เข้าใจเอาตามที่จะเข้าใจได้เอาเอง  ถูกบ้างผิดบ้างก็เรียนรู้มันไปเรื่อยๆ   หนังสือปลุกใจเสือป่าเป็นวรรณกรรมไหม?  คำตอบก็อยู่ในข่ายที่ผมว่าไว้นั่นแหละ   ถ้าอากังฟูเขียนเรื่องวาบหวิวได้อย่างไม่ลามก   มันก็น่าจะจัดเป็นวรรณกรรมได้อยู่เพราะมันมีศิลปะมาช่วยลดความแรงของเนื้อเรื่อง   เราต้องดูว่าแต่ละเรื่องนั้นเขียนมาเพื่ออะไรด้วย  ถ้าอากังฟูเขียนมาเพื่อให้คนสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง  ก็คงจัดเป็นเพียงแค่หนังสืออ่านเอามันเท่านั้น  แต่ถ้า ต๊ะ ท่าอิฐ เขียนเรื่องบนเตียงได้อย่างสวยงามไม่ว่าจะรุนแรงหรืออ่อนโยนก็ตาม  คนอ่านแล้วไม่เกิดอาการคลุ้มคลั่งกำหนัดเพราะแก่นของเรื่องไม่ได้หมายถึงการร่วมเพศ   งานของ ต๊ะ ท่าอิฐ ก็เป็นวรรณกรรมครับ  อย่าไปดูกันเพียงรูปแบบ  มันแค่เครื่องมือแค่ของเล่นเท่านั้นครับ
 
–  งานชิ้นไหนใช้เวลาเขียนนานที่สุด
จำไม่ได้ครับ  บางชิ้นยาวๆของผมก็เขียนเสร็จภายในไม่กี่วัน  งานบางชิ้นก็เขียนเมื่อไหร่ก็เสร็จเมื่อนั้นทันที  หลายชิ้นที่ทิ้งไว้ข้ามไปเป็นปีปีแล้วเอามาต่อใหม่  หลายครั้งที่ต้องเปลี่ยนประเด็นของเรื่องเมื่อพบว่าเรามีประเด็นใหม่  ผมเขียนตลอดเวลาครับ  ตอนลวกหมี่ผมก็เขียนในหัว   ว่างเมื่อไหร่ก็นั่งลงจับปากกา   ก่อนนี้ผมทำเส้นบะหมี่เอง  เครื่องก็ตีดังปังปังไป  ผมก็เขียนในหัวไป  ฟังวิทยุไป  พอคิดวรรคใดได้ก็วางมือจากงานมาจดไว้กันลืม   หลายชิ้นก็เสร็จในห้องทำเส้นบะหมี่  หลายชิ้นก็เสร็จเอาในยามเที่ยงที่ลูกค้ากำลังพัก  ลูกค้าจะคุ้นกับภาพที่ผมนั่งหน้าร้านเขียนหนังสือ  หลายคนถามว่าผมกำลังเรียนต่อหรือ  ได้แต่ยิ้มครับ 
 
–  ใช้เวลาคิดเวลาเขียนงานตั้งนานพอโดนลอกรู้สึกยังไงและมีมุมมองในการลอกเลียนงานเขียนเป็นยังไงบ้าง
 “คนบริสุทธิ์” ขโมยงานผมไปแอบอ้างในพันทิบเมื่อปี ๒๕๔๗ นั้น  เขาแอบอ้างสมอ้างอวดอ้างว่าเขาเป็นผู้เขียนขึ้นมาด้วยความยากลำบากยิ่ง   ดูได้จากhttp://www.softganz.com/meeped/index.php?&obj=forum(1232)      ความเห็นที่ ๘  และตรงความเห็นที่ ๑๕ โดยเฉพาะตรงที่เขาว่า “ความจริงที่ว่า สัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสใจ อะไรน่าสัมผัส
จึงมาเป็นเหตุแห่งบทนี้ ในอดีต”    มันไม่ใช่แค่การลอกธรรมดาแล้วครับ แต่มันเป็นการพยายามจะเป็นผมให้ได้เสียด้วยซ้ำไป  จำนวนที่เขาขโมยไปนั้นเท่าที่ผมเสริชหาเจอนะครับ  ที่เหลือจะมีอีกเยอะมากน้อยแค่ไหนนี่ผมก็ไม่ทราบได้  และมีคนเชื่อว่างานเหล่านั้นเป็นของเขาจริงๆเสียด้วยสิ  ตามลิงค์ไปที่ทุกลิงค์ที่มีไว้นะครับ  นั่นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๔๗    บอกตรงๆว่าแค่ขำๆ  ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เนื่องจากเขากระทำผิดต่อผมแล้วดันโดนผมจับได้   เขาก็ควรจะมีค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆสำหรับกรณีที่น่าละอายเช่นนี้   ข่าวเขาเป็นหัวขโมยจึงเป็นที่รับรู้กันทั่วในพันทิบ   หน้ากากอันสวยงามของคนพูดหวานรัญจวนใจถูกฉีก      ผมจับได้ว่าเขาขโมยของผม  ผมประกาศและแฉ  เขาก็ไม่เคยออกมาตอบอะไรเลยว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น    ครั้นเมื่อผมตั้งกระทู้ดังกล่าวที่เวบของผมในอีก ๒ ปีต่อมา   เนื่องด้วยจากการเสริชหาว่ามีใครลอกหรือขโมยงานผมไปที่ไหนบ้าง  ก็พบว่ามีอีกเยอะ   ที่ไม่ได้เอามาลงให้ดูในกระทู้ก็เพียงแค่ยกเอามาเป็นตัวอย่างเท่านั้นเอง และคนอื่นๆไม่ได้แอบอ้างว่าเขาเขียนเองด้วยความยากลำบากเหมือน “คนบริสุทธิ์” เลย  ปรากฏว่าเขาเข้ามาตอบคำถามที่ผมถามไว้มาสองปีแล้วในความเห็นที่ ๒๗ กระทู้ดังกล่าว  ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ  ซ้ำเขายังดูดีมาก   เรื่องอย่างนี้นั้นกฎหมายก็ไม่สามารถป้องกันให้เราได้  เพราะการจะเขียนงานเสร็จชิ้นหนึ่งแล้วไปลงบันทึกประจำวัน  มันก็เป็นเรื่องยุ่งยาก  ทั้งยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเขาจะไม่ลอกไม่ขโมยไม่ดัดแปลง      ผมไม่เชื่อว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์เขาจะสอนให้เขาเป็นขโมยเป็นนักก็อปปี้งานชาวบ้าน  แต่อะไรล่ะที่เขาต้องกระทำการอันน่าละอายเช่นนี้   ต้องการการยอมรับแต่ไม่มีปัญญาเขียนเองใช่หรือไม่?   มันเข้าข่ายหลอกลวงไหม?   เขาและหลายคนที่อยู่ข้างเขาย้อนผมกลับมาว่าไม่ใช่กระทำเพื่อการค้าสักหน่อย   นั่นเป็นความเข้าใจผิดยิ่ง  ละเมิดคือละเมิด  จะเพื่อการค้าหรือโอ้อวดก็อีกเรื่อง  แต่ความผิดได้เกิดขึ้นแล้วด้วยการละเมิด   เหตุแห่งการละเมิดน่าจะอยู่ที่เขาขาดจิตสำนึก  เขากล้าหลอกชาวบ้านได้ว่าเขาเขียนขึ้นมาเอง   มันน่ากลัวว่าเขาจะหลอกอะไรชาวบ้านที่มันใหญ่ยิ่งกว่าหลอกเรื่องบทกวีของผมหรือไม่    และปัจจุบันกรณีละเมิดในอินเทอร์เนตมีมากมายเหลือคณานับ  น่าเศร้า  น่าละอาย  น่าเบื่อหน่าย   เราจะสร้างจิตสำนึกชั่วดีถูกผิดและรับผิดชอบให้คนพวกนี้อย่างไรกันดี?  แต่ผมไม่ได้ให้ค่าอะไรพวกแบบนี้มากนัก  มันก็แค่กาฝากวัชพืชวรรณกรรมเท่านั้น   แค่โลนเล็นที่อาศัยอยู่ตามหว่างขานักเขียน – กวีเท่านั้น  
 
– การเกิดของนักเขียนสมัยนี้ยากไหม? (เห็นมีนักเขียนเกิดใหม่แทบเป็นรายวัน)
สมัยนี้มีอินเทอร์เนตเป็นสื่ออย่างหนึ่ง  ที่เปิดโอกาสและพื้นที่ให้นำเสนอ   มันเป็นทางเลือกทางออกทางหนึ่ง   และผมชื่นชมเสมอที่เห็นพวกเขาเขียนกัน  จะดีจะด้อยจะมีคุณค่าหรือไม่นั่นว่ากันทีหลัง   แต่การเขียนมันคือการขบคิดชนิดหนึ่ง  ไม่ว่าจะเขียนเรื่องอะไรก็ตาม  คุณต้องผ่านกระบวนการการคิดอย่างหนักหน่วงเท่าที่คุณทำได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน   แต่การเขียนในอินเทอร์เนตแล้วได้รับเสียงชื่นชมนั้น มันไม่ได้หมายความว่างานของคุณจะดีเด่นเสมอไป   เพราะเท่าที่เห็นมักจะเป็นเสียงชื่นชมเพื่อให้กำลังใจเท่านั้นเอง   หากตีความความเห็นชื่นชมนั้นพลาดไปนิด  มันอาจจะทำให้งานของคุณไม่อาจพัฒนาได้ มันจะน่าเสียดายนัก แต่อินเทอร์เนตก็สร้างนักเขียนที่น่าจับตาดูอยู่มากมายเหมือนกัน  เท่าที่ผมรู้จักก็มีคุณชิดชบา, คุณ จสอ.โจ,คุณพระเจ้า ,คุณภูหรือที่ยังเป็นเยาวชนก็อย่าง ศุภวัลยา ปรางแก้ว, SUPERGIRL.,ผีเสื้อปีกบาง  มันจึงต้องระวังในเรื่องของเสียงชื่นชมให้มากครับ     หนังสือทำมือก็คือทางเลือกหนึ่ง   แต่ผมยังเชื่อมั่นในระบบบรรณาธิการ   ไม่ใช่เป็นพวกที่ปล่อยไม่ไปนะครับ  แต่เนื่องด้วยเชื่อว่างานของเราเราย่อมจะชื่นชม  และอัตตาอาจจะก่อขึ้นมาเงียบๆอย่างหยิ่งยะโสเกินชิ้นงาน   การมีใครมาคอยอ่านและชี้แนะข้อด้อยของงานมันน่าจะดีกว่าทำเองยอเอง   แต่ผมไม่ได้รังเกียจหนังสือทำมือนะครับ  เพียงแค่เตือนๆกันว่าอย่าละเลยระบบบรรณาธิการเลยเท่านั้น   ส่วนบนแผงที่มีดาษดื่นนั้น   บางส่วนเป็นเรื่องของธุรกิจที่เราจำเป็นต้องเข้าใจด้วย  เราไม่อาจมีแต่หนังสือภูมิปัญญาอย่างเดียวได้บนแผง  และมันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นด้วย  สังคมควรจะมีโอกาสได้อ่านอะไรที่ผ่อนคลายที่ต้องกับรสนิยมตน  เราต้องใจกว้าง   แล้วเร่งพัฒนาตนเองเพื่อไปเบียดยืนระยะเวลาบนแผงให้นานให้ได้    มันยาก  แต่เราต้องทำ
 
–  ทำงานส่วนตัวด้วยแบ่งเวลาในการเขียนยังไงบ้างครับ
ผมเขียนตลอดเวลาครับ   อย่างที่ได้บอกไว้ก่อนหน้าแล้ว   เขียนให้เสร็จในหัว แล้วมาลงรายละเอียดทีหลัง  เมื่อก่อนเมื่อเก็บร้านเลิกงานเสร็จ  ผมจะเขียนอย่างเอาเป็นเอาตายในช่วงกลางคืน  ไม่ก็อ่านหนังสืออย่างหามรุ่งหามค่ำ   จนมามีอินเทอร์เนตนี่แหละครับที่ทำให้การเขียนในช่วงเวลานี้มันลดน้อยลงไป   แต่ผมชดเชยมันด้วยเวลากลางวัน  โดยไม่ให้งานหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณนี้ไปกระทบงานหล่อเลี้ยงชีวิต  
 
– เวลาเขียนงานไม่ออกทำยังไงครับ
ปล่อยมัน   เขียนไม่ได้ก็ไม่เขียน   อาจจะสบถแรงๆเอากับตัวเอง   แล้วหันไปสนใจอย่างอื่น  ลืมมันให้ได้   การลืมที่ดีที่สุดของผมคือเล่นกีฬา   เมื่อก่อนเตะบอล  ตอนนี้เตะบอลไม่ไหวแล้วครับ วิ่งไม่ทันเด็ก  แรงกระแทกก็ไม่ได้เท่า  เลยหันมาปั่นจักรยานแทน ได้เที่ยวไปในตัวด้วย   แต่การปั่นมันเป็นกีฬาที่เงียบเหงาที่สุดชนิดหนึ่ง   ไม่มีการพูดคุยไม่มีเสียงหัวเราะ  ไม่มีการพักครึ่งแล้วนั่งหยอกล้อกับเพื่อนฝูง   ไปไกลแค่ไหนก็ต้องรู้ด้วยว่าจะปั่นกลับไหวหรือไม่   ผมไม่ซีเรียสเวลาเขียนไม่ออก   ผมไม่เคยเร่งงานของผม   ทุกชิ้นที่ออกมามันจะต้องดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ   เท่าที่จะพยายามทำได้
 
– เวลาว่างนอกจากเขียนหนังสือแล้วทำอะไรเป็นงานอดิเรกบ้าง
การเขียนหนังสือของผมเป็นงานหลักอย่างหนึ่งครับไม่ใช่งานอดิเรก   เป็นงานที่ผมรักและภูมิใจเสมอ    และการเล่นอินเทอร์เนตก็ไม่ใช่งานอดิเรก  เพราะมันเป็นการเล่น  ส่วนการเล่นกีฬาคิดว่าไม่น่าจะใช่งานอดิเรกนะครับ   ชีวิตประจำวันของผมมันเป็นบล็อกเซท   ตื่นเช้าเตรียมของขาย  ไปจ่ายตลาด  ขายหมี่  เก็บร้าน   เย็นประมาณ ๕ โมงเย็นก็เล่นกีฬาไม่ก็เล่นอินเทอร์เนตหรืออาจจะพักผ่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง   กินข้าวเย็น ๖ โมง หรือ ๑ ทุ่ม  เสร็จก็ประมาณ ๒ หรือ ๓ ทุ่ม  ละเลียดเบียร์ไปด้วยในมื้อนั้น   กลับบ้านก็เปิดเนตเล่นอีกครั้ง   ๔- ๕ ทุ่มก็นอน   เพื่อตื่นเช้าอีกวัน  มันเป็นอยู่อย่างนี้ทุกวันๆเป็นปีๆ   และจะยังคงเป็นไปอีกนานเท่านานเลยครับ
 
 –  เป้าหมายในการเป็นนักเขียน
เขียนต่อไป  
 
– ตอนนี้เขียนอะไรอยู่บ้าง
ความเรียงให้กับสมิหลา ไทม์ ที่เพิ่งติดต่อมาให้พื้นที่ในเดือนธันวาคมนี้   มีเรื่องสั้นที่วางโครงไปได้ครึ่งเรื่อง   มีบทกวีซีรีย์อีกชุด  เป็นซีรีย์บทกวีดิจิตอล เรื่องราวของอินเทอร์เนต    เขียนมันทุกอย่าง  ดีไม่ดีไม่รู้  รู้แต่ว่าผมต้องเขียน  อย่างน้อยเพื่อฝึกทักษะตัวเอง  ทักษะเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง สำคัญมาก สำคัญที่สุดในการเป็นนักเขียน   โรนัลดิลโญต้องเดาะบอลทุกวันเพื่อฝึกทักษะการครองบอลของเขาฉันใด นักเขียนก็ต้องจับปากกาทุกวันเพื่อฝึกทักษะตนเองครับ  การซ้อมเป็นหัวใจหลักของทุกๆสิ่ง   เพราะเมื่อเราลงสนาม  สิ่งแรกที่เราได้เลยคือความมั่นใจ   ทุกนัดที่เบคแฮมลงเล่น  เขามีความมั่นใจยิ่ง เพราะเขาฝึกซ้อมมาตลอดเวลา  ส่วนผลออกมาจะเป็นยังไงก็ต้องมาดูกันอีกที  เหมือนบัลลัคทำเกมได้ดีมากน้อยแค่ไหนนั้น มันมีองค์ประกอบอื่นๆอีกมากมายร่วมอยู่ด้วย 
–  ฝากถึงคนอยากเป็นนักเขียน
ก็ต้องเขียนกันไปล่ะครับ  เขียนๆไปเถอะ  ทางใครทางมัน  คุณไม่สามารถเป็นนักเขียนที่คุณชื่นชอบได้หรอก  มันไม่มีทางให้คุณเดินไปได้เลยแม้น้อย  ทุกคนมีลายมือเป็นของตัวเอง  มีสำเนียงส่วนตัว มีวิธีพูดของตน  ต่อให้คุณมีความสามารถพิเศษที่จะร้องเพลงให้เหมือน ชาย เมืองสิงห์ ได้เพียงไรก็ตาม  แต่คุณก็ไม่ใช่ ชาย เมืองสิงห์ แน่ๆ  
–  มีอะไรอยากเพิ่มเติมอีกไหม?
ไม่มีครับ  พูดไปหมดแล้ว อ้อ ตามอ่านงานของผมได้ที่เวบนะครับ www.softganz.com/meeped/index.php   เป็นเวบที่คุณหมี ภานุมาศ เพื่อนผู้น่ารักของผมแบ่งพื้นที่ให้และดูแลให้อยู่ครับ   แล้วหากใครอยากมีพื้นที่เก็บงานของตน  ผมก็ขอเชิญชวนที่นี่ครับ http://www.bookgang.net/  
 
ขอบคุณข้อเขียนดีๆจาก http://www.praphansarn.com