พาโบล เนรูด้า(Pablo Neruda) กวีเอกของชิลี เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณศิลป์ประจำปี 1971

พาโบล เนรูด้า(Pablo Neruda) กวีเอกของชิลี เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณศิลป์ประจำปี 1971 นอกจากฝากผลงานด้านวรรณกรรมอันทรงคุณค่าไว้แก่นักอ่านเป็นจำนวนมากแล้ว เนรูด้ายังฝากผลงานชิ้นสำคัญคือบ้านพักทั้ง 3 หลัง ไว้เป็นสมบัติของชาวชิลีด้วย ซึ่งทุกวันนี้บ้านทั้ง 3 หลังดังกล่าว ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งผู้ที่เดินทางมาเยือนชิลีต้องหาโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียน
บ้านหลังแรกของเนรูด้า อยู่ที่ตำบลอิสลา นีกร้า (Isla Negra) หรือเกาะดำ ติดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1939 ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ ห่างไกลจากชุมชน ทำให้เนรูด้าใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิตกับการเฝ้ามองทะเลและเขียนบทกวีที่บ้านหลังนี้ แม้ว่าอิสลา นีกร้า จะสร้างให้กับภรรยาคนที่สอง คือเดยาเดล คาริน (Della del Caril) จิตรกรชาวอาร์เยนตินา แต่ชายหาดแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ซึ่งฝังร่างของเขาและภรรยาคนที่สาม
บ้านหลังที่สองของกวีเอก คือบริเวณซัน คริสโตบัล (San Christobal) ซึ่งเป้นแหล่งชุมนุมของนักเขียน ศิลปิน และจิตรกร ของกรุงซันติอาโก และมีลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกับคาปรีในอิตาลี เนรูด้าสร้างบ้านหลังนี้ในปี 1953 เพื่อเป็นของขวัญแก่ภรรยาคนที่สาม คือมาทิลด้า อูรูเทีย (Matilda Urrutia) ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าเขา 20 ปี และเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่คาปรีเป้นเวลาหลายเดือน ภายหลังจากหย่าขาดจากภรรยาคนที่สอง ในปี 1955 เนรูด้าได้แต่งงานใหม่กับมาทิลด้าและพำนักอยู่ที่นี่ จนวาระสุดท้าย เนรูด้าตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่า ลา ชาสโคนา (La Chascona) ซึ่งหมายถึงลักษณะที่ยุ่งเหยิง เพื่อล้อเลียนเส้นผมที่หยิกของมาทิลด้า
มาทิลด้ารำลึกความทรงจำว่า ในเย็นวันหนึ่งที่เธอกับเนรูด้าเดินเล่นตามเนินเขาในบริเวณนี้ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพงไพร สิ่งที่ทำให้เนรูด้าเกิดความประทับใจเป็นอย่างมากก็คือเสียงน้ำที่ไหลลงมาจากยอดเนิน และได้เขียนถึงความรู้สึกนี้ไว้ในบทกวีชื่อ “ลา ชาสโคนา” ว่า“สายน้ำที่รินไหลเขียนบทกวีอันไพเราะด้วยภาษาของมันเอง”
บ้านหลังสุดท้าย อยู่ที่เมืองบาไพไรโซ ลงมือสร้างใน ค.ศ.1959 และแล้วเสร็จในปี 1961 ลักษณะเป็นบ้าน 4 ชั้น เนรูด้าตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่าเซบาสเตียนา (Sebastiana) เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เซบาสเตียน คอยาโด ผู้เจ้าของโครงการก่อสร้าง ซึ่งเสียชีวิตก่อนที่จะทัได้เห็นผลงานของตนเป็นรูปเป็นร่างโดยสมบูรณ์ เนื่องจากบ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่มาก เนรูด้าจึงชวนเพื่อนมาซื้อบ้านในส่วนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 แต่ในปี 1991 มูลนิธิพาโบล เนรูด้า ได้ซื้อทั้งสองส่วนคืนมา เพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ เมื่อมองออกไปจากบ้านจะเห็นท้องฟ้าอันสดใสของชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ดังเช่นที่เนรูด้าเขียนไว้ในบัตรเชิญเพื่อน ๆ มาร่วมงานขึ้นบ้านใหม่หลังนี้ว่า รายการอาหารประกอบด้วย “เอมพานาดา (อาหารพื้นเมืองของชิลี เป็นแป้งแบบกระหรี่พั๊บใส่ไส่ชี้สหรือเนื้อสับ) ไวน์แดง และท้องฟ้าสีคราม” เซบาสเตียนาเคยได้รับผลกระทบ
จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่บาพาไรโซในปี 1960 ซึ่งยังเหลือร่องรอยให้เห็นได้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะบริเวณห้องครัวที่เนรูด้าเรียกว่าเป็นอาณาจักรส่วนตัวของมาทิลด้า
ความเป็นคนโรแมนติก และหลงใหลในเสน่ห์ของทะเล ทำให้เนรูด้าสร้างบ้านทุกหลังให้มีสภาพเหมือนเรือ ไม่ว่าจะเป็นพื้นไม้ เพดานที่ค่อนข้างเตี้ย พื้นที่ห้องต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างจะจำกัด หน้าต่างทรงกลม รวมถึงการตบแต่ง และเฟอร์นิเจอร์ สิ่งสำคัญในบ้านทั้งสามหลังก็คือสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งเนรูด้าสะสมไว้เป็นจำนวนมากจากการทำงานและเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกกว่าค่อนชีวิต นับตั้งแต่เปลือกหอยนานาชนิด ซึ่งบางอันเป็นสิ่งที่หายากยิ่งในปัจจุบัน ตุ๊กตาไม้จากรัสเซีย รูปสลักของแอฟริกัน จนถึงพระพุทธรูปจากพม่าและทิเบตภาพเขียนของจิตรกรชั้นนำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์แปลก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหัวเรือเดินทะเลในสมัยโบราณที่แกะสลักเป็นรูปต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตจริงเนรูด้าว่ายน้ำไม่เป็น
ที่ ลา ชาสโคนา นอกจากเหล็กดัดอักษรย่อ MP ซึ่งมาจากชื่อของมาทิลด้าและพาโบล ตามหน้าต่างแล้ว ยังมีสัญญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ดวงกลมมีรัศมีเป็นแฉก ๆ แทนผมหยิก ๆ ของมาทิลด้า ภายในบ้านจะมีรูปเขียนของมาทิลด้าจากฝีมือของเพื่อน ๆ จิตรกร ติดอยู่ทั่วไป
ภายหลังการรัฐประหารเพื่อโค่นล่มรัฐบาลฝ่ายซ้ายของประธานาธิบดีอัลเยนเด้ ในวันที่11 กันยายน 1973 เนรูด้าเก็บตัวอยู่ในลา ชาสโคนา ก่อนจะสิ้นชีวิตที่โรงพยาบาลซานตามารี ในกรุงซันติอาโก ในอีก 12 วันต่อมา – ลา ชาสโคนา เผชิญกับการคุกคามของทหารและฝ่ายขวาจัด บ้านถูกค้นกระจุยกระจาย ข้าวของเสียหาย และผลงานส่วนหนึ่งของเขาถูกทำลายหรือโยนทิ้ง ทางระบายน้ำถูกอุดตันเพื่อปล่อยให้น้ำจากเนินเขาไหลลงมาท่วมบ้าน สายน้ำที่เคยรินไหลบทกวีอันไพเราะ ทำให้ ลา ชาสโคนา จมอยู่ในปลักโคลนเกือบ 20 ปี
หลังการสิ้นอำนาจของรัฐบาลเผด็จการทหาร มาทิลด้าได้ก่อตั้งมูลนิธิพาโบล เนรูด้า ขึ้น เพื่ออนุรักษ์บ้านพักของเนรูด้าทั้งสามหลัง รวมทั้งเก็บรักษาทรัพย์สมบัติส่วนตัวและของสะสมของสามี และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แก่สาธารณชน
และแม้ว่าพาโบล เนรูด้า จะจากโลกนี้ไปกว่า 30 ปีแล้ว แต่ทุกซอกมุมของบ้านทั้งสามหลังของเขา ยังเต็มไปด้วยเรื่องราว เสี้ยวชีวิต และจิตวิญญาณ ที่ไม่มีวันสูญหายไปไหนเลย
ประภัสสร เสวิกุล
ซันติอาโก ชิลี, 9 เมษายน 2550