Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ผ่านแล้ว ไม่ผ่านเลย : ชุมชนวรรณกรรม 2550

 

 
ปี 2550 ที่กำลังจะผ่านไป มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในแวดวงวรรณกรรม ทั้งดี-ร้าย ทั้งได้-เสีย แต่ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ในแง่มุมใด ทุกสิ่งก็ใช่ว่าจะผ่านแล้วผ่านเลย เพราะล้วนแต่มีส่วนสร้างความเข้าใจร่วมกันให้เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาวงการหนังสือไทย ให้ยืนหยัดต่อสู้กับคลื่นลมทั้งจากปัจจัยภายในอย่างเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบอยู่ไม่น้อย รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างกระแสโลกาภิวัตน์ที่กำลังถาโถมอย่างรุนแรง ทั้งจากเทรนด์การอ่านที่กำลังเปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่เข้ามาสนับสนุนความเปลี่ยนแปลง และการไหลบ่าทางวัฒนธรรม 
 
ลองมาไล่เรียงกันดูว่า อะไรบ้างที่ผ่านแล้ว ไม่ผ่านเลย 
 
1.เมื่อช่อการะเกด หวนคืนผลิบาน 
 
การมีอยู่ของสถาบันเรื่องสั้น นิตยสารช่อการะเกด ภายใต้การดูแลคัดสรรของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การเขียนเรื่องสั้นของนักเขียนรุ่นใหม่เติบโตแบบก้าวกระโดด 
 
แต่ในปี 2542 พื้นที่สำคัญที่เคยเปิดกว้างให้นักเขียนหลากรุ่นได้ประชันฝีมือ ก็จำเป็นต้องปิดตัวลงเป็นครั้งที่ 2 
 
ทว่าปีนี้ ช่อการะเกดก็ได้หวนคืนผลิบานอีกครา โดยยังมีสุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นคนสวนที่คอยดูแลรดน้ำพรวนดินให้เจริญเติบโตเช่นเดิม และได้รับปัจจัยสนับสนุนค่าปุ๋ยจาก เวียง-วชิระ บัวสนธิ์ และเช็ค-สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ที่หวังจะเห็นความคึกคักของเรื่องสั้นไทยอีกครั้ง 
 
ส่วนจะยัดยืนได้นานเพียงใด ในกระแสที่คนอ่านหนังสือแบบฉาบฉวยเช่นนี้นั้น ไม่มีใครรู้ แต่เวียง-วชิระ เคยพูดไว้ว่า 
 
"สัญญาได้เลยว่าการกลับมาครั้งนี้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3 ปี ไม่ใช่ทำเล่นๆ ต่อให้ขายไม่ได้สักเล่มก็จะทำ" 
 
2.เส้นบางเบาในถ้อยคำ ศิลปะ ปะทะ อนาจาร 
 
มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อช่วงงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 12 ที่ผ่านมา ถึงจะมีไม่กี่บรรทัด แต่เนื้อหาได้ก่อเกิดเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย 
 
เมื่อตำรวจสันติบาลได้บุกจับนวนิยายแปลแนวโรมานซ์หลายพันเล่ม ของสำนักพิมพ์สายน้ำและภัทรา ด้วยข้อหาเผยแพร่สื่อสิ่งพิมพ์ลามกอนาจาร 
 
หลังจากที่ 8 สำนักพิมพ์ คือ อินลัค, อนิทพับลิชชิ่ง, พลอยจันทน์, ณ ถนน, อีแร้ง, ดอกหญ้ากรุ๊ป, พาเพลิน และดวงกมลเชียงใหม่กรุ๊ป เพิ่งจะถูกจับกุมไปในข้อหาเดียวกัน 
 
บางคนว่าสมควรแล้วที่เจออย่างนั้น เพราะเนื้อหาภายในหลายเล่มมันรับไม่ได้เลยจริงๆ 
 
แต่หลายเสียงก็สงสัยว่า หลายเล่มที่เคยอ่านกันอยู่นี่ เป็นหนังสือลามกอนาจารตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยเฉพาะหนังสือของนักเขียนชื่อก้องอย่าง อีแร้ง หรือยิ่งศักดิ์ โควสุรัตน์ ที่เจอแจ๊คพ็อตไปถึง 3 เล่ม คือ วันเวลาของกะหรี่คนหนึ่ง กลิ่นรักในเมืองดิบ และโมแรนติก 
 
ทำให้เกิดคำถามโลกแตกว่า ความหมายของ ศิลปะและลามกอนาจารในตัวอักษร มีเส้นแบ่งขอบเขตเช่นไรกันแน่ และใครกันแน่ที่เป็นคนตัดสิน
 
ถึงวันนี้จะแว่วมาว่า มีการประชุมหลายครั้งหลังจากเกิดเรื่อง เพื่อหาบทสรุป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการจัดเรตติ้งหนังสือขึ้นมาก็ได้ในอนาคต แต่แทบทุกความเห็นก็ยังสับสนหาทางออกไม่เจอเรื่อยไป 
 
ลองเปิดตาไม่ปิดใจ และรับฟังความเห็นจากส่วนที่แตกต่างดูบ้างดีไหม เพื่อจะพบทางออกร่วมกัน 
 
3.ซีไรต์ VS ประชาคมวรรณกรรม 
 
ระหว่างการตัดสินรางวัลซีไรต์ในปีนี้ มีเหตุการณ์ให้ต้องติดตามด้วยความระทึกใจ 
 
เมื่อประชาคมวรรณกรรมนำโดย วรภ วรภา, กานติ ณ ศรัทธา เปิดฉากโจมตีกรรมการซีไรต์รอบคัดเลือก โดยเฉพาะพิเชฐ แสงทอง,วชิระ ทองเข้ม, พินิจ นิลรัตน์ และ ผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา ด้วยการออกแถลงการณ์ในประเด็นที่ว่า กรรมการมีผลประโยชน์ทับซ้อน, เล่นพรรคเล่นพวก, มีอคติ ไม่เข้าใจกวีนิพนธ์, ผูกขาดอำนาจ, กรรมการไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง และเรียกร้องไปยังสมาคมนักเขียนฯและสมาคมภาษาฯให้รับผิดชอบต่อการแต่งตั้งกรรมการ, เปิดโอกาสให้บุคคลในแวดวงมีส่วนร่วมคัดสรรกรรมการด้วย, ให้กรรมการรางวัลต่างๆ ที่ทั้ง 2 สมาคมเกี่ยวข้อง มีวาระการดำรงตำแหน่ง, คณะกรรมการทั้ง 2 สมาคมก็ควรมีวาระการดำรงตำแหน่ง เพื่อไม่ให้มีการผูกขาดอำนาจ และทั้ง 2 สมาคมควรจัดประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดรายละเอียดข้างต้น ซึ่งในท้ายแถลงการณ์ได้มีผู้ร่วมลงชื่อเป็นจำนวนหนึ่ง บ้างก็เห็นชอบทุกข้อ บ้างก็ลงชื่อว่าเห็นชอบเฉพาะข้อเรียกร้องบางข้อ 
 
เรื่องที่เกิดขึ้น แม้หลายคนจะพยายามพูดว่า เป็นความขัดแย้งธรรมดาๆ แถมเป้าที่ถูกโจมตียังใช้ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เหตุการณ์ครั้งนี้คงทิ้งรอยหมางไว้ในความรู้สึกของใครหลายคนไม่น้อย 
 
และหลังจากวันประกาศผลซีไรต์ ซึ่งมนตรี ศรียงค์ ได้พา โลกในดวงตาข้าพเจ้า ฝ่าฝันจนได้รับผลสำเร็จแห่งวิญญาณกวี สมาคมภาษาฯและสมาคมนักเขียนฯก็ถือโอกาสครบรอบ 30 ปีซีไรต์ เปิดเวทีให้เหล่านักคิด นักเขียน กวี เสนอแนะความคิดเห็นในประเด็นที่ว่าด้วยเรื่องวุ่นๆ ของซีไรต์ 
 
ไม่แน่ใจว่าข้อคิดเห็น ที่หลายคนแลกเปลี่ยนในวันนั้น จะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด แต่ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป เนาวรัตน์กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ทุกคนในแวดวงเป็นพี่น้องกัน มีกันอยู่แค่นี้ มีอะไรก็พูดจากัน รักกันไว้จะดีกว่า 
 
เพราะซีไรต์ ไม่ใช่รางวัลที่ดีที่สุด หรือรางวัลเดียวในโลก จิระนันท์ พิตรปรีชา บอกเอาไว้ 
 
4.Blog+Book= Blook 
 
ทุกวันนี้การสร้าง Blog กลายเป็นเรื่องง่ายๆ แถม Blog ยังเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลไม่แพ้สื่ออื่นเลย นักเขียนชื่อดังหลายคนนิยมที่จะบันทึกเรื่องราวลงใน Blog ซึ่งทำให้แฟนหนังสือยิ่งรู้สึกใกล้ชิดนักเขียนมากกว่าเดิม ไม่เพียงแค่นั้น Blog ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้าง Blogger ให้กลายเป็นนักเขียนหน้าใหม่อีกด้วย เพราะเมื่อมีคนสนใจมากๆ ข้อเขียนจากหน้าจอก็อาจจะกระโดดสู่หน้าหนังสือก็เป็นได้ และเกิดสื่อที่เรียกว่า Blook ขึ้น 
 
ซึ่งเทรนด์นี้กำลังเริ่มติดหูติดตาคนอ่านขึ้นเรื่อยๆ โดยในไทยเองก็มีหนังสือหลายเล่มที่พิมพ์ขึ้นจาก Blog อย่าง Blog Blog ผลงานของ ปกป้อง จันทวิทย์, โลกนี้มันช่างยีสต์ ของ แทนไท ประเสริฐกุล ทั้งสองเล่มวางจำหน่ายขณะที่คำว่า Blook ยังไม่แพร่หลายในบ้านเรามากนัก 
 
ที่ใกล้ๆ มาหน่อยก็ต้องงานวิจารณ์หนัง หนังสือรัก ผลงานของเจ้าของนามปากกา ผมอยู่ข้างหลังคุณ หรือ พีรพล ภัทรนุธาพร จิตแพทย์หนุ่มผู้ชื่นชอบและหลงใหลในแผ่นฟิล์ม 
 
และ Blook ฉบับคนไทยเล่มล่าสุดคือ ผลงานของ โดม วุฒิชัย อย่าง ห่างไกล ไม่ห่างกัน ซึ่งรวบรวมเรื่องราวมาจาก http://porpayia.bloggang.com ที่ถ่ายทอดความรู้สึกระหว่างโดมและลูกสาวด้วยตัวอักษรในโลกไซเบอร์ 
 
อย่าแปลกใจ ถ้าคนข้างๆ ของคุณนั่งพิมพ์ Blog อย่างตั้งอกตั้งใจ 
 
5.พจนานุกรมคำใหม่ รองรับบริบทที่เปลี่ยนแปร 
 
พูดถึงพจนานุกรมแล้ว หลายคนคงจะจินตนาการไปถึงความเป็นวิชาการแบบสุดสุด โดยเฉพาะฉบับราชบัณฑิตยสถาน แต่ปีนี้ราชบัณฑิตยสถานได้ก่อกระแสฮือฮา เมื่อประกาศจะจัดทำ พจนานุกรมคำใหม่ โดยรวบรวมคำที่ปรากฏระหว่างวันที่ 10 สิงหาคม 2548-26 เมษายน 2550 ซึ่งหลายคำเป็นภาษาวัยรุ่น หรือที่เรียกกันว่า คำสแลง ที่มีลักษณะเฉพาะคือเปลี่ยนแปลงสภาวะไปตามยุคสมัย อาทิ จ๊าบ เด็กแนว ตลกบริโภค โคโยตี้ ป๋าดัน เอ๊าะๆ เป็นต้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงตามมา เพราะถึงราชบัณฑิตจะยืนยันว่า นี่ไม่ใช่พจนานุกรมสำหรับวัยแอ๊บแบ๊วทั้งหลาย เป็นแค่การรวบรวมคำใหม่ตามปกติเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เข้าใจบริบทสังคมได้ดียิ่งขึ้นเมื่อมองย้อนกลับมา แต่หลายคนก็ห่วงเหลือเกินว่า จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ภาษาไทยวิบัติเร็วขึ้น ต่างคนก็ต่างความคิดกันไป 
 
6.จตุคาม VS โลกร้อน 
 
กวาดตามองแผงหนังสือในช่วงปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับเลยว่ากระแสจตุคามและกระแสโลกร้อนมาแรงจริงๆ เพราะทั้งครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลัง หนังสือแนวนี้จากสำนักพิมพ์ต่างๆ ได้พิมพ์ออกมาเพื่อแบ่งพื้นที่และรายได้ทางการตลาดอย่างเพียบ ถ้าให้ยกตัวอย่างคงเปลืองพื้นที่น่าดู และที่แน่ๆ กระแสนี้สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ใครหลายคนไม่น้อย ส่วนปีหน้าอะไรจะมา อะไรจะไป ก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปล่ะ 
 
7.เมื่อการอ่าน (อาจจะ) เป็นวาระแห่งชาติ 
 
ปีนี้มีข่าวดีๆ ที่ทำให้นักอ่านรู้สึกชื่นใจอยู่ข่าวหนึ่ง หลังจากที่ต้องทนฟังว่าคนไทยอ่านหนังสือคนละกี่บรรทัดมาหลายปี เมื่อหลายหน่วยงานอาทิ สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ, เครือข่ายหนังสือเพื่อเด็ก เยาวชน และครอบครัว และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เป็นต้น ได้ร่วมกันผลักดันการอ่าน ให้บรรจุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่ทันรัฐบาลในชุดนี้ แต่หลายพรรคการเมืองก็ได้ให้สัญญาไว้ถ้าได้จัดตั้งเป็นรัฐบาลจะผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จ ซึ่งก็ถือเป็นแนวโน้มที่ดี แต่นั่งรออย่างเดียวคงจะไม่ได้ คนในแวดวงสิ่งพิมพ์ก็ต้องพยายามผลักดันให้สัมฤทธิผลด้วย เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า เวลาหาเสียงน่ะ อะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น 
 
8.อาลัยรัก…สุวัฒน์ วรดิลก, เพ็ญศรี พุ่มชูศรี, นพพร ประชากุล และ จเรวัฒน์ เจริญรูป 
 
บรรทัดนี้ไม่ต้องว่าอะไรกันมาก เพราะแวดวงวรรณกรรมไทยได้สูญเสียบุคคลทรงคุณค่าไปมากมายเหลือเกิน ทั้งเหตุจากโรคภัยและอุบัติเหตุ ขอทุกคารวะดวงวิญญาณด้วยความเคารพ ถึงตัวจะจากไป แต่ผลงานและความดีงามยังสถิตอยู่เสมอ 
 
เหล่านี้คือความเป็นไปในใจความใหญ่ๆ ซึ่งมีทั้งหม่นบ้างสดใสบ้าง ตามสัจธรรมของโลก แต่อย่าให้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผ่านเลยไปโดยไร้ประโยชน์ก็แล้วกัน พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ต่อยอดสิ่งดีงามให้ยิ่งเติบโต เพื่อสรรค์สร้างบรรณพิภพให้มั่นคง 
 
วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10878 
มติชนสุดสัปดาห์