Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ผมไม่อยากเป็นอย่างอื่น นอกจากนักเขียน

 

 
 
วันที่ประกาศผลซีไรต์ หลายคนคงนั่งไม่ติดที่ แต่สำหรับผู้ชายร่างสูงโปร่ง เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ หรือ "โย" กวีหนุ่มเจ้าของรางวัลซีไรต์วัย ๓๙ บ่งความรู้สึกแค่
 
          "รู้สึกแปลกๆ มันไม่ได้ทำให้เราตื่นเต้น แต่ใจเต้นแรง กินเหล้าได้มากขึ้น" เรวัตร์ กล่าวยิ้มๆ
 
          หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ การเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เราได้ตาม "กวี" เจ้าของรางวัลซีไรต์จากกวีนิพนธ์ "แม่น้ำรำลึก" ไปเยือนถึง ขนำน้อย "โปร่งใส" ท่ามกลางสวน (ป่า) ดอกกระดุมทองเหลืองสด ตัดกับใบไม้สีเขียวครึ้มตารายรอบบริเวณบ้าน
 
          บนพื้นที่ขนาด ๕๐ ไร่ ใน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี หากไม่มีใครแวะเวียนมาหา ก็คงจะมีเพียง ๒ หนุ่ม ต่างวัยแต่หัวใจเดียวกัน นั่งสนทนาพลางดื่มน้ำอำพัน บ้างก็นอนเปลญวนอ่านหนังสือ หรือเขียนงานไปตามประสา
 
          หนุ่มแรกนั้นคือ ดลสิทธิ์ บางคมบาง คู่ชีวิตของ ไพลิน รุ้งรัตน์ หรือชมัยภร แสงกระจ่าง อีกหนึ่งหนุ่มเป็นเรวัตร์ ผู้ติดตามหนุ่มใหญ่รายแรกด้วยความเคารพนับถือ มาตั้งแต่ทำสวนทำไร่อยู่ที่ จ.ระยอง
 
          แต่ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน เรวัตร์ก็ยังเหมือนเดิม เขามักจะทอดหุ่ย นอนเปลญวน มองท้องฟ้า ใช้ชีวิตอย่างสันโดษเรียบง่าย พร้อมๆ กับการเขียนหนังสือไปเรื่อยๆ ตามแต่ใจจะอยากเขียน แม้จะมีสายตาดูแคลนจากบางคนที่ไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
 
          "บางคนเขาเห็นเราสำมะเลเทเมาไปวันๆ เขาก็สงสัยว่ามันทำมาหากินอะไร เขาไม่รู้หรอกว่าเราทำอะไร แค่เรารู้ว่าเราทำอะไรก็พอ บางคนเขาก็มองเราเหมือนคนบ้า ได้ค่าตอบแทนน้อยนิด เขียนลงนิตยสารก็ใช่ว่าจะได้ตีพิมพ์ตลอด เรื่องหนึ่งก็ได้ค่าตอบแทนแค่เจ็ดแปดร้อย ต้องรอนานถึงจะได้ เราก็ไม่คิดจะร่ำรวย ไม่มีใครบังคับให้เขียน ทั้งหมดนี้เราเลือกเอง เรากระโจนเข้าไป เราก็ต้องยอมรับผล" นับว่าเป็นประโยคที่ยาวที่สุดของเขาแล้ว
 
          และเชื่อหรือไม่ว่า บทกวีอันสวยงามลุ่มลึก ผู้เขียนไม่มีปริญญาใดๆ มาการันตีความสามารถทางภาษา หรือว่าความรู้สาขาไหนทั้งสิ้น เขาใช้เวลานั่งซึมซับสายลม แสงแดด นอนเขียนผลงานบนเปลญวน ท่องโลกกว้างโดยไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง แต่จะไม่น่าแปลกใจเลย หากว่าเรวัตร์ไม่มีใจมุ่งมั่นที่จะเป็นนักเขียนให้ได้
 
          "ผมไม่ได้อยากเป็นอย่างอื่น นอกจากนักเขียน และคิดว่าเราซื่อสัตย์กับมันมาตลอด" เป็นคำยืนยันถึงเจตนารมณ์ของกวีหนุ่ม
 
* * * *
 
          เรวัตร์เกิดที่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ในครอบครัวชาวไร่ชาวนา ที่บ้านหลังเล็กๆ ริมคลอง เติบโตมากับท้องไร่ชายทุ่ง และสภาพแวดล้อมแบบชาวบ้าน ที่มักมีการดื่มเหล้าและเล่นการพนันให้เห็นอยู่เจนตา
 
          เรวัตร์ในวัยเด็กมักเลือกที่จะขลุกตัวอยู่ในห้องสมุดโรงเรียน สนุกสนานไปกับงานนักประพันธ์ที่หลากหลาย จนกระทั่งได้อ่านกวีนิพนธ์เรื่อง "วารีดุริยางค์" ในหนังสือเรียนทักษะสัมพันธ์ โดยกวีซีไรต์คนแรกอย่างเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตเขาในขณะนั้นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าให้เขาหัดขีดเขียนแล้ว ต่อมาในภายหลัง เขายังได้ตั้งชื่อลูกสาวว่า "เพลงน้ำ" ตามแก่นและชื่อของบทประพันธ์อีกด้วย
 
          เมื่อตั้งใจแน่วแน่บวกกับความที่ไม่ชอบอยู่ในสังคมเมือง จึงไม่ลังเลที่จะใช้ชีวิตหลังจบมัธยมปลาย เพื่อเส้นทางสายนักเขียนอย่างเต็มที่ โดยการเพียรส่งบทกวี เรื่องสั้น ไปตามหน้านิตยสารอยู่เสมอๆ
 
          "ผลงานเรื่องแรกที่ได้ตีพิมพ์ คือเรื่องสั้นในฟ้าเมืองทอง เมื่อประมาณปี ๒๕๒๙ เราก็วนเวียนมาที่ตลาดบ่อยๆ มาเปิดๆ หนังสือดู ถึงได้รู้ว่านี่มันงานเราลงแล้วนี่หว่า แต่ตอนนั้นไม่มีสตางค์ ก็บอกให้คนขายช่วยเก็บไว้ให้ก่อน เดี๋ยวมาเอา" กวีหนุ่มรำลึกความหลัง แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าได้ค่าเรื่องเท่าไร เพราะไม่ได้รับ ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับเขา
 
          ช่วงหนึ่งเรวัตร์ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์อยู่ถึง ๒ ปี โอกาสนี้ เขาได้ใช้ความลำบาก ความเงียบเหงาของชีวิตทหาร กลั่นเป็นผลงานร่อนไปตามพื้นที่วรรณกรรมในยุคนั้นเหมือนเคย
 
          "เราส่งผลงานไปที่คอลัมน์ลมหายใจของบทกวี ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ตอนนั้นไพลิน รุ้งรัตน์ เป็นคนดูแลอยู่ แกให้การตอบรับดี บอกว่าเป็นทหารเกณฑ์ที่เขียนหนังสือหวานเหลือเกิน" ถ้าได้มาเห็นดวงตาเขาตอนนี้ จะรู้ว่างานเขียนไม่ต่างจากตัวจริงเลย
 
          เมื่อปลดประจำการ เรวัตร์ไปเป็นหนุ่มโรงงานผลิตรองเท้า แต่ด้วยปัญหาหลายอย่าง เขาจึงเขียนจดหมายไปหาไพลิน ต่อมาได้เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นหัวหน้าคนงานให้กับ ดลสิทธิ์ ที่เอ็นดูเขาเหมือนน้องชาย กระทั่งได้มาเป็นคนเฝ้าสวนอยู่ในปัจจุบัน
 
* * * *
 
          สำหรับผลงานของกวีหนุ่มแม้จะมีไม่มากเล่ม แต่ถือว่ามีคุณภาพคับแก้ว นับจาก "บ้านแม่น้ำ" "พันฝน เพลงน้ำ" กระทั่งรวมเรื่องสั้น "ชีวิตสำมะหาอันใด" ที่เข้ารอบ ๗ เล่มสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปี ๒๕๔๕
 
          และสำหรับ "แม่น้ำรำลึก" เสมือนบทบันทึกเรื่องราวชีวิตของผู้เขียนเอง ตั้งแต่วัยเด็ก การทำงาน ชีวิตคู่ที่ล้มเหลว บางบทกลอนเขียนถึงลูกสาว แม้งานเขียนของเขาดูจะลึกซึ้ง เต็มเปี่ยมไปด้วยรายละเอียดต่างๆ แต่เรวัตร์ก็แจงว่า สิ่งที่เขาเขียนเป็นเพียงสิ่งที่เขาอยากจะพูด อยากจะระบายเท่านั้น
 
          "วัยเด็กคือต้นทุนชีวิต เราสามารถเก็บเกี่ยวได้ ผมอ่านงานผมแล้วเข้าใจ บอกข้อสรุปไม่ได้ แต่จะบอกตัวเองก่อน ไม่ได้เขียนโดยสอดแทรกปรัชญาที่ยิ่งใหญ่"
 
          เรวัตร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อีกสัก ๕ ปี คงจะมีผลงานอีกสักเล่ม อาจจะเป็นนวนิยาย เหตุที่ไม่เร่งรีบ เพราะเขาพอใจที่จะดูแลงานอย่างละเมียด ที่สำคัญเขาไม่หวั่นที่จะเป็นนักเขียนไส้แห้ง ก็ทำไมคนรวยยังไม่เห็นมีความสุข แล้วคนจนๆ จะมีความสุขบ้างไม่ได้
 
          "การทำงานของผมไม่มีจุดสูงสุด ทำงานไปเรื่อยๆ อย่างที่เรารักมันจริงๆ ตายเมื่อไร คนอ่านก็ประเมินเอง"