Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ปิระมิดของข่าว

 

 
รายงานของศูนย์วิจัยสื่อ Pew แถลงว่า จากการศึกษาสื่อในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ ในระยะเวลาหนึ่ง ได้พบว่า 95% ของข่าวที่มีเรื่องใหม่ล้วนมาจากสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ 
 
งานวิจัยพบว่า 83% ในเนื้อหาของสื่อทางเลือก เช่น เว็บ, บล็อก, ทวิตเตอร์ ฯลฯ ล้วนซ้ำไปซ้ำมา โดยไม่มีข่าวซึ่งมีเนื้อหาใหม่เลย ส่วนอีก 17% ที่มีเนื้อหาใหม่ ก็ล้วนเป็นข่าวที่นำมาจากสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ทั้งสิ้น 
 
ในเมืองบัลติมอร์ ระหว่างเวลาที่เก็บข้อมูล หนังสือพิมพ์ที่มีข่าวทั่วไปเป็นผู้ผลิตข่าวใหม่ 48% หนังสือพิมพ์เฉพาะทาง 
 
ผลิต 13% ทีวีท้องถิ่นผลิตอีก 28% ในขณะที่สื่อทางเลือกทั้งหลายผลิตได้เพียง 4% เท่านั้น ซ้ำจำนวนไม่น้อยของ 4% นี้ ยังนำมาจากข่าวในเว็บไซต์ของสื่อกระแสหลักซึ่งไม่ได้รับการตีพิมพ์เสียอีก 
 
ทั้งหมดเหล่านี้ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะสื่อกระแสหลักมีประเพณีที่จะลงทุนกับข่าวมานาน และมากที่สุด จึงเป็นธรรมดาที่จะมีกำลังหาข่าวใหม่ได้มากกว่าสื่อทางเลือกทั้งหลาย สื่อทางเลือกส่วนใหญ่แทบไม่มีเงินจ้างนักข่าวออกไปหาข่าวเองสักคนเดียว ฉะนั้น จะหวังหาข่าวใหม่จากสื่อทางเลือกจึงเป็นไปไม่ได้ 
 
ผู้วิจัยได้แสดงความวิตกว่า ในขณะที่สื่อกระแสหลักกำลังประสบกับการหดตัวอย่างรวดเร็วของ "ลูกค้า" จนทำให้ต้องตัดงบฯของกองข่าวลงอย่างมาก สื่อจึงมีแนวโน้มจะเสนอข่าวที่รัฐป้อนให้ โดยมีการตรวจสอบน้อยลงและโดยแทบไม่ได้เจาะหามิติอื่นๆ ของข่าวราชการเลย งานวิจัยเองก็ได้พบอะไรที่น่าตระหนก เช่น ข่าวที่ตัดความจากเอกสารแถลงข่าวของรัฐอย่างคำต่อคำมาลงในหนังสือพิมพ์หน้าตาเฉย เป็นต้น 
 
รัฐจึงเป็นผู้จัดให้อะไรเป็นข่าว และอะไรไม่เป็นข่าวในสังคมได้สูงมากขึ้น และลงใครสามารถจัดให้อะไรเป็นข่าวและไม่เป็นข่าวได้ เขาย่อมมีอำนาจอันผู้อื่นไม่อาจตรวจสอบได้เลย ผมคิดว่าเราเห็นเรื่องนี้ได้ชัดในเมืองไทย ในระยะสัก 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยรัฐทักษิณสืบมาจนถึงสมัยรัฐต่อต้านทักษิณในปัจจุบัน กล่าวคือ รัฐเป็นผู้โยนประเด็นลงมาให้เหล่าประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้เถียงกัน เช่น เราควรตั้งไข่เอาด้านแหลมหรือด้านมนลงในถาดไข่กันแน่ 
 
ที่เชื่อกันว่าเสรีภาพของสื่อเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตย บัดนี้ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะคุกคามเสรีภาพของสื่อแล้ว เพราะสื่อยอมทอดกายลงเป็นเครื่องมือของรัฐ ด้วยหมดความสามารถจะทำหน้าที่ของตนได้ดีกว่านี้ 
 
ผมคิดว่าสภาพยอมจำนนโดยไม่เจตนาของสื่อเช่นนี้ เป็นปัญหาของไทยเสียยิ่งกว่าสหรัฐ เพราะปิระมิดของข่าวในสังคมไทย มีลักษณะยอดสูงฐานแคบมานานก่อนหน้าที่สื่อกระแสหลักจะถูกสื่อทางเลือกแข่งขันเสียอีก 
 
 
ปิระมิดของข่าวคืออะไร? 
 
เรื่องราวที่ถูกเสนอเป็นข่าวในทุกสังคมมีลักษณะเป็นปิระมิดเหมือนกัน คือเป็นเรื่องราวของคนจำนวนน้อยที่ถืออำนาจมากย่อมครอบงำพื้นที่ข่าวสูงสุด แล้วลดหลั่นลงมาสู่คนระดับล่างซึ่งแม้มีจำนวนมากที่สุด แต่ครอบครองพื้นที่ข่าวไว้น้อยสุด จึงเหมือนปิระมิดซ้อนกันสองอัน อันหนึ่งตั้ง อีกอันหนึ่งกลับหัว 
 
เฉพาะในเมืองไทย ปิระมิดของเรามียอดสูงฐานแคบเสียยิ่งกว่าอีกหลายสังคม หมายความว่า คนที่ครอบครองพื้นที่ข่าวไว้มากสุดกลับเป็นคนจำนวนน้อยอย่างยิ่ง ประกอบด้วยนักการเมือง, พ่อค้านายทุนใหญ่, ชนชั้นนำตามจารีต, และระบบราชการเท่านั้น ในขณะที่คนส่วนใหญ่กลับมีพื้นที่ข่าวในสื่ออยู่นิดเดียว 
 
ฉะนั้น เมื่อสื่อกระแสหลักจำเป็นต้องลงทุนน้อยลงในการทำข่าว ทำให้เกาะอยู่กับข่าวที่รัฐเป็นผู้ป้อนให้มากขึ้น ปิระมิดของข่าวอันตั้งจึงยิ่งมียอดเรียวแหลมขึ้น ในขณะที่ปิระมิดกลับหัวยิ่งมีฐานใหญ่มากขึ้น 
 
ในสภาพพิกลพิการนี้ สื่อทางเลือกจะเข้ามาทำอะไรได้บ้าง 
 
ที่เห็นได้ชัดจากงานวิจัยที่อ้างถึง สื่อทางเลือกไม่สามารถหรือยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่สื่อกระแสหลักได้ อย่างน้อยก็เพราะไม่มีสมรรถนะในการผลิตข่าวใหม่ การที่สื่อกระแสหลักพากันไปเปิดเวที (platform) ในอินเตอร์เน็ต เป็นฉบับออนไลน์กันทั่วไป ต้องเข้าใจว่าเตรียมการสำหรับการเปิด "เวที" ใหม่ ไม่ใช่เตรียมเปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตข่าวใหม่เป็นผู้ใช้ข่าวที่คนอื่นผลิตขึ้น 
 
อีกประเด็นหนึ่งที่ควรเข้าใจก็คือ สื่อทางเลือกไม่ใช่ "คู่แข่ง" ของสื่อกระแสหลักที่แท้จริง เพราะไม่สามารถผลิตข่าวใหม่ได้เท่ากับสื่อกระแสหลักดังที่กล่าวแล้ว การที่สื่อทางเลือกสามารถเข้ามาแทนที่สื่อกระแสหลักได้ส่วนหนึ่ง ผู้อ่าน (ซื้อ) หนังสือพิมพ์และดูทีวีน้อยลง ก็เพราะสื่อทางเลือกนำเอาข่าวของสื่อกระแสหลักมาเผยแพร่ ในขณะเดียวกัน สื่อกระแสหลักเองก็ยุติการเจาะลึกเรื่องราวให้เกิดความเข้าใจมิติอันหลากหลายของข่าว ทำให้ความจำเป็นต้องอ่านหรือดูสื่อกระแสหลักยิ่งน้อยลง อ่านและดูในเว็บไซต์ต่างๆ ก็เท่ากัน 
 
ดังนั้น เมื่อไม่มองสื่อทางเลือกเป็นคู่แข่ง ก็เป็นไปได้มากว่า สื่อกระแสหลักควรจะใช้สื่อทางเลือกเป็นตัวเสริมการทำงานของตน เพราะมีข้อดีสองอย่างเป็นอย่างน้อย อย่างแรกคือ ต้นทุนต่ำ ไม่ต้องเสียเงินจ้างผู้สื่อข่าวเพิ่มขึ้น และสอง ทำให้สื่อกระแสหลักสามารถเสนอเรื่องราวที่เป็นข่าวใหม่ โดยมีมิติที่หลากหลายขึ้นโดยเฉพาะมุมมองจากคนธรรมดาที่เป็นชาวบ้านร้านช่อง 
 
เว็บไซต์ของสื่อกระแสหลักไม่ควรเป็นเพียง "เวที" ใหม่สำหรับเสนอเนื้อหาซึ่งมีอยู่แล้วบน "เวที" กระดาษเท่านั้น นี่เป็นเพียงการเตรียมการสำหรับการทำมาหากินในโลกยุคใหม่เท่านั้น แต่ควรเป็นพื้นที่เปิดสำหรับการส่งข่าวและมุมมองนานาชนิดจากประชาชนทั่วไป ใครที่เข้าถึงเน็ตได้ ก็สามารถบอกเรื่องราวที่ตนได้พบเห็น ในรูปของตัวหนังสือ, รูปถ่าย, วิดีโอคลิปและอื่นๆ มาถึง บ.ก.สื่อ 
 
บ.ก.อาจเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงส่งผู้สื่อข่าว (หรือสติงเกอร์ในต่างจังหวัด) ไปตรวจสอบและขยายเนื้อหา เพื่อสื่อจะสามารถเสนอข่าวที่มีความรอบด้าน, มีมิติที่หลากหลาย, เจาะลึกมากขึ้น, และเป็นกลางได้ 
 
ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สื่อกระแสหลักอาจตั้งธงที่จะเสนอข่าวว่า "ใครคือคนเสื้อแดง" แน่นอนว่าคำตอบคงไม่ใช่หนึ่งคำตอบ แต่สามารถเจาะหาความหลากหลายของกลุ่มคนเสื้อแดง หลากหลายทั้งความไม่พอใจ, ทั้งความหวัง, ทั้งฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ ฯลฯ โดยผ่านการเสนอข้อเท็จจริงหรือการสื่อข่าวออนไลน์ ใช้เวลาระยะหนึ่ง ก็จะมีข่าวที่ทำลายมายาภาพซึ่งรัฐบาลพยายามสร้างให้แก่สังคม ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกขึ้น และเปิดทางออกที่จะแก้ปัญหาได้ดีขึ้นเป็นต้น 
 
สื่อกระแสหลักในปัจจุบัน มักทำงานแข่งกับเวลา (เพื่อจะแข่งกับคู่แข่งบน "เวที" เดียวกัน) จึงสร้างระบบการทำงานที่รวบรัด เพื่อสามารถเสนอข่าวที่มีเนื้อหาฉาบฉวยโดยปราศจากการวิเคราะห์อย่างสิ้นเชิง สังคมจึงอ่อนแอลงเพราะไม่มีความเข้าใจบริบทของเรื่องราวที่เกิดขึ้น มีแต่เหตุการณ์, เหตุการณ์ และเหตุการณ์ และดังที่กล่าวข้างต้น ในสภาพเช่นนี้ รัฐและชนชั้นนำสามารถสร้าง "เหตุการณ์" ให้เป็นข่าวได้มาก จนทำให้ปิระมิดของข่าวเอียงกระเท่เร่หนักขึ้นไปอีก 
 
อินเตอร์เน็ตไม่ใช่ผู้พิชิตสื่อกระแสหลัก แต่ลักษณะการทำงานแข่งกันเพียงเพื่อเสนอข่าวที่เป็นเหตุการณ์ของสื่อกระแสหลักเองต่างหาก ที่จะพิชิตตนเองได้ในอนาคตอันใกล้ ตรงกันข้าม หากสื่อกระแสหลักมองเห็นปัญหาของตนเอง นับตั้งแต่ปิระมิดของข่าวที่สร้างความไม่เป็นธรรมแก่สังคมตลอดมา และความล้มเหลวที่จะให้ความรู้ความเข้าใจที่ลึกพอแก่พลเมืองของรัฐสมัยใหม่ อินเตอร์เน็ตต่างหากที่เป็นมิตรของสื่อกระแสหลัก 
 
อินเตอร์เน็ตคืออีกส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงด้านเทคนิคการสื่อสารคมนาคมของโลกสมัยใหม่ ไม่ต่างจากถนนหนทางหรือแฟ็กซ์ ซึ่งสื่อกระแสหลักเคยมองอย่างเป็นมิตรและหาทางใช้ประโยชน์สิ่งเหล่านี้มาอย่างคุ้มค่า อินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน หากมองมันอย่างเป็นมิตร ก็มีช่องทางที่สื่อจะใช้ประโยชน์มันเพื่อเสริมคุณภาพของตนเองได้อีกมาก 
 
อินเตอร์เน็ตเป็นมากกว่าการเปลี่ยน "เวที" ถึงแม้จำเป็นต้องเปลี่ยน "เวที" สักวันหนึ่งข้างหน้า ก็เป็นแค่ "เวที" เท่านั้น แต่ตราบเท่าที่สื่อกระแสหลักไม่ปรับตัวในเชิงคุณภาพ การเปลี่ยน "เวที" จะหมายถึงความพินาศสูญสลายของสื่อกระแสหลัก 
 
ถึงตอนนั้น ทุกคนจะอ่านข่าวจากเว็บไซต์เดียวกันคือ got.or.th (government of thailand.organization.thailand) โดยไม่มีใครซื้อหนังสือพิมพ์อ่านอีกเลย นรกรออยู่ข้างหน้า 


โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ 
วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553 
จาก : มติชนสุดสัปดาห์